เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 160 ผิดหวัง
เล่มที่ 6 บทที่ 160 ผิดหวัง
“วันนี้ก่อนฟ้าสาง มีรายงานด่วนแปดร้อยลี้จากชายแดนว่า ชายแดนถูกโจมตีแตก ฝ่าบาทจึงได้ทรงส่งพี่ใหญ่ออกเดินทางทันที เดิมพี่ใหญ่คิดจะมาบอกลาท่านก่อนเดินทาง แต่ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยอย่างกะทันหันในการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กองทัพ และเสด็จมาส่งด้วยพระองค์เอง พี่ใหญ่จึงไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้จริงๆ ขอให้แม่นางอย่าได้โกรธเคืองพี่ใหญ่เลยขอรับ”
กล่าวจบ เซียวชีก็นำจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอก “แม่นางโปรดดู”
“รอข้า เมื่อกลับมาจะต้องมอบคำอธิบายให้เจ้าแน่ เฉิน”
คำสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ หลิงมู่เอ๋อร์เห็นอยู่กับตา เพลิงโทสะที่เดิมมีอยู่เต็มอกพลันมอดดับลงไปครึ่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แต่นางยังคงโมโหอยู่ เป็นครั้งแรกที่นางร้องขอ แต่เขากลับมิได้ให้คำตอบในทันที ยังมีฮ่องเต้ เหตุใดเขาจึงได้ให้ความสำคัญกับพี่ใหญ่ถึงเพียงนั้น? หรือว่า ฐานะของเขาเป็น…จริงๆ
หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขายังจะสามารถอยู่ด้วยกันได้อยู่อีกหรือไม่?
หลิงมู่เอ๋อร์สูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง ในยามที่ช้อนตาขึ้นมา ในก้นบึ้งของดวงตาก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนและสูญเสีย
“ช่วยข้าส่งคำพูดให้พี่ใหญ่ของเจ้า ให้เขารักษาตัว”
โยนจดหมายเข้าไปในอกของเซียวชี หลิงมู่เอ๋อร์ก้าวเท้ายาวจากไป ท่าทางที่โดดเดี่ยวทระนงนั้น เทียบกับเหยียของเขาแล้วยังกดดันผู้คนเสียยิ่งกว่า
พี่สะใภ้ตัวน้อยผู้นี้อารมณ์รุนแรงเกินไปแล้ว นี่คือไม่คิดจะอภัยแล้วหรือ?
เซียวชีรีบตามติดไป “พี่สะใภ้ ฮ่าๆ พี่สะใภ้น้อยอย่าได้โมโห พี่ใหญ่มิได้ตั้งใจจะผิดนัดจริงๆ พี่ใหญ่บอกแล้วว่า กลับมาจะต้องมอบคำอธิบายให้ท่านอย่างแน่นอน ท่านรู้จักพี่ใหญ่มานานขนาดนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจเขาอีกหรือ?”
ก็เป็นเพราะเข้าใจมากเกินไป ในยามปกติเขาปฏิบัติต่อนางอย่างตามใจเกินไป คำขอร้องในวันนี้มิได้รับปาก จึงทำให้ในใจของนางไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ เขายังมีอีกฐานะที่เก็บซ่อนอยู่ตลอดมิได้บอกนาง แต่ยังปล่อยให้นางค่อยๆ ครุ่นคิดค่อยๆ คาดเดาทีละนิด ความรู้สึกนี้ย่ำแย่เกินไปแล้ว
นางไม่ชอบราชวงศ์ ชาติที่แล้วก็ไม่ค่อยชอบ นางไม่ชอบถูกควบคุมไว้ในที่ใดที่หนึ่ง หากซั่งกวนเซ่าเฉินมีฐานะเช่นนั้นจริงแล้วละก็ นางคิดว่า โอกาสเกิดใหม่ครั้งที่สองที่สวรรค์มอบให้นางนี้ จะทำให้นางโมโหจนตายทั้งเป็นแล้ว
“สองปีที่พี่ใหญ่จากหมู่บ้านสกุลหลิงไปนั้น เป็นเจ้ากับเหล่าพี่น้องคอยปกป้องข้ากับคนในครอบครัวอย่างลับๆ กระมัง ยังมีเพลิงไหม้ในครั้งนั้น ก็เป็นเจ้าที่หยุดข้าไว้ได้ทันเวลา หลิงมู่เอ๋อร์ขอขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือไว้ ณ ที่นี้ แต่เรื่องของข้ากับพี่ใหญ่ เจ้าไม่อาจไกล่เกลี่ยได้”
เซียวชีมิได้ไล่ตามขึ้นไปอีก เพียงแต่มองแผ่นหลังของนางแล้วถอนหายใจออกมาตรงๆ
ภารกิจที่พี่ใหญ่มอบหมายให้ล้มเหลวแล้ว รอจนถึงค่ายทหารแล้วก็ยากที่จะเลี่ยงบทลงโทษรอบหนึ่งได้ เฮ้อ
วันนี้ผู้ป่วยที่มาตรวจอาการค่อนข้างมาก หลิงมู่เอ๋อร์ยุ่งจนไม่มีเวลาว่าง ซางจือและเจี้ยงเซียงโดยพื้นฐานสามารถตรวจด้วยตนเองโดยไม่มีอาจารย์ได้แล้ว ช่วยได้ไม่น้อย มิเช่นนั้นนางคงได้แต่ทำงานจนสลบไป
“ใกล้จะสิ้นปีแล้ว เหตุใดยังมีผู้ป่วยมากมายเช่นนี้อีก อีกทั้ง ยังมีจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยเป็น” ซางจือด้านหนึ่งเก็บโต๊ะตรวจ อีกด้านกล่าวอย่างสงสัย
“เช้าวันนี้ตอนที่ข้าออกไปซื้อของ ได้ยินว่ามีคนจำนวนมากหนีมาจากชายแดนน่ะ ที่นั่นต่อสู้กันขึ้นมาแล้ว ราษฎรไม่อาจอยู่ต่อได้ มีคนจำนวนมากล้วนพลัดถิ่นไร้ที่อยู่ ลำเค็ญ” เจี้ยงเซียงส่ายศีรษะ พูดไปพูดมา ตนเองก็อดสั่นสะท้านไม่ได้
หลิงมู่เอ๋อร์พลันวิตกขึ้นมา “แคว้นข้างเคียงร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ซางจือและเจี้ยงเซียงยังไม่รู้ว่า ผู้ที่นำทัพออกศึกในครั้งนี้คือซั่งกวนเซ่าเฉิน
“อื้ม ได้ยินที่พวกต่างเผ่าส่งออกมาในครั้งนี้คือแม่ทัพฉางเซิ่ง ที่รบครั้งใดก็ได้รับชัยชนะ เชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ ทันทีที่ชายแดนถูกตีแตก เหล่าราษฎรก็จะเดือดร้อนแล้ว พวกที่ลี้ภัยมาที่เมืองหลวงก่อนนี้ คาดว่าน่าจะได้รับข่าวล่วงหน้าจึงหนีออกมาก่อน น่าสงสารเหล่าชาวบ้านยากจนที่ยังคงอยู่ในหมู่บ้าน” เจี้ยงเซียงเชื่อในศาสนา ในยามที่กล่าวคำพูดนี้ นางก็วิงวอนต่อสวรรค์ไม่หยุด หวังว่าการศึกในครั้งนี้จะยุติลงเร็วหน่อย มอบการปลดปล่อยให้กับเหล่าราษฎร
ความเคลื่อนไหวในมือของหลิงมู่เอ๋อร์หยุดลง เช่นนั้นมิได้หมายความว่า พี่ใหญ่อยู่ทางนั้นมีอันตรายหรือ เสื้อกั๊กกันกระสุนของนางยังไม่ได้ส่งออกไปเลยนะ
แต่เมื่อหวนคิดใหม่ นางก็แทบอดมิได้ที่จะมอบฝ่ามือให้ตนเองสักสองครั้ง พี่ใหญ่รังแกนางถึงเพียงนั้นแล้ว เรื่องอะไรก็ปิดบัง จากไปแล้วก็ไม่บอกกล่าว นางยังเฝ้าคิดถึงอีก ช่างโง่งมเหลือเกิน
ในใจนั้นมีหลากหลายรสชาติผสมผสานยากอธิบาย ไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ สีหน้าก็ไม่ค่อยดีนัก
“คุณหนู สีหน้าของท่านไม่ค่อยดี มีที่ใดไม่สบายหรือไม่เจ้าคะ?” ซางจือไม่ค่อยวางใจอยู่บ้าง
“พวกเราล้วนเป็นศิษย์ที่คุณหนูสั่งสอนออกมา หากคุณหนูไม่สบาย หรือเจ้าจะยังรักษาได้?” เจี้ยงเซียงล้อเลียน ชาร้อนที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วจอกหนึ่งถูกยื่นมา “บางทีอาจเป็นเพราะวันนี้อากาศเปลี่ยน คุณหนูถูกความเย็น ดื่มชาร้อนหน่อยเถิดเจ้าค่ะ เมื่อร่างกายอบอุ่นขึ้นก็ดีแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์มองสาวใช้ทั้งสองอย่างขอบคุณ รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง ไม่อยากพูดมาก จึงให้พวกนางเก็บข้าวของ ส่วนนางก็กลับไปที่ร้านอาหารสกุลหลิงอย่างเลื่อนลอยไร้สติ
“เหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่?” มองซูเช่อที่ยังดื่มสุราอยู่อย่างประหลาดใจ สีหน้าของเขาแดงก่ำ บนโต๊ะเบื้องหน้ามีไหสุราราวเจ็ดแปดไห นี่เป็นลัหลักฐานของการดื่มมาทั้งวันสินะ
ประหลาดใจเช่นกันที่พบกับหลิงมู่เอ๋อร์ถึงสองครั้งในหนึ่งวัน อารมณ์ที่หม่นหมองอัดอั้นของซูเช่อพลันดีขึ้น “ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอถึงยามที่ชายอันเป็นที่รักของแม่นางจากเมืองหลวงไป เปิ่นจวิ้นหวางย่อมต้องคว้าโอกาสไว้”
มือหนึ่งของเขาถือกาสุรา อีกด้านตบที่นั่งด้านข้าง “นี่มิใช่คิดถึงจนเจ้ามาแล้วหรือ นั่งนี่สิ”
“ต่อให้เป็นท่านเชิญข้าดื่มสุรา ค่าสุรานี้ยังคงมิอาจขาดแม้แต่ส่วนเดียว” หลิงมู่เอ๋อร์ก็มิได้เกรงใจกับเขา แต่ไม่ได้นั่งที่ข้างกายของเขา แต่กลับเป็นที่นั่งตรงหน้า
“เจ้าตัวน้อยที่บ้าเงิน” ซูเช่อมองนางอย่างเอ็นดู “อย่างไรกัน ในตอนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินไปสู่ขอเจ้า มิได้บอกเจ้าหรือว่าทรัพย์สินที่บ้านเขามีมากเพียงไร”
ในยามนี้ ที่นางไม่อยากได้ยินมากที่สุดก็คือชื่อนี้
หลิงมู่เอ๋อร์ส่งสายตาที่เย็นชาทิ่มแทงออกไป “อยากจะดื่มสุราต่อก็รั้งอยู่ ไม่อยากก็ออกประตูไปเลี้ยวซ้าย ไม่ส่งแล้ว พวกเราปิดร้านแล้ว”
ท่าทางหดหู่เช่นนี้เป็นสิ่งที่ซูเช่อไม่เคยเห็นมาก่อน
ทุกครั้งในยามที่เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ นางล้วนสามารถนำความประหลาดใจที่น่ายินดีมาสู่ตน บนใบหน้าของนางก็มักเปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่นต่อสิ่งที่รัก ต่อให้เป็นยามที่โมโหก็ยังงดงาม
แต่เวลานี้ บนใบหน้างดงามของนางแขวนไว้ด้วยความทุกข์ แขวนไว้ซึ่งความหงุดหงิด แขวนไว้ด้วยความโศกเศร้าที่ไม่ควรปรากฏ
นางถึงกับรักซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้?
สีหน้าที่เพิ่งเปลี่ยนจากหม่นหมองเป็นเจิดจ้า พลันเปลี่ยนเป็นดำทะมึนภายในเสี้ยววินาที “แค่ไปสนามรบเท่านั้น ก็ไม่ใช่ไปมอบชีวิต อีกอย่าง ฮ่องเต้ไม่มีทางยอมให้เขาตายอย่างง่ายๆ หรอก”
น้ำเสียงของซูเช่อราบเรียบ หลังพูดจบ ก็เป็นเหล้าอีกจอกที่ดื่มลงไปรวดเดียว
ในยามที่ไปเทเหล้าอีกครั้ง ไหเหล้าที่อยู่ข้างกายกลับว่างเปล่าลงแล้ว คิดอยากจะหยิบไหที่อยู่เบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ไป บนข้อมือกลับมีมือนุ่มที่ขาวเรียวราวกับต้นหอมเพิ่มขึ้นมา
“ในเมื่อเป็นห่วงถึงเพียงนั้น เหตุใดยังส่งเขาไปอีก?”
ซูเช่อจึงได้สังเกตเห็นว่า เมื่อครู่ในยามที่เขากำลังสงสารเห็นใจอยู่คนเดียวนั้น นางได้ดื่มสุราทั้งไหลงไปในอึกเดียวแล้ว
สตรีที่ยืมสุรามาดับทุกข์นั้นพบได้ไม่มากนัก ที่เหมือนหลิงมู่เอ๋อร์ที่เฉลียวฉลาดเหนือผู้อื่น ไม่ว่าเรื่องใดในชีวิตก็ล้วนเผชิญหน้าด้วยรอยยิ้ม ยังมีสภาพเป็นเช่นนี้ มีแต่จะทำให้หัวใจของเขาแตกสลาย
“หากผู้ที่เจ้าพบก่อนคือข้า เจ้ายังจะเป็นห่วงเขาเช่นนี้หรือไม่?” กล่าวจบ ซูเช่อก็ยังไม่รู้ตัวว่า เหตุใดคนจึงถามคำถามที่ปัญญาอ่อนเช่นนี้ออกไปได้
กลัวว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะหัวเราะเยาะ เขารีบแก้คำพูดอย่างเร่งร้อน “ครั้งนี้ที่นำทัพออกศึก มิได้มีเพียงซั่งกวนเซ่าเฉินเท่านั้น แม่ทัพใหญ่สยบแผ่นดินก็ไปร่วมรบด้วยเช่นกัน พระประสงค์ของฝ่าบาทไม่ต้องให้ข้าพูด เจ้าก็คงสามารถเดาได้เจ็ดแปดส่วน ดังนั้นเจ้าวางใจเถิด สามีของเจ้าไม่มีทางมีอันตรายใด ที่เขาต้องการเป็นเพียงชื่อเสียงที่ได้รับจากชัยชนะในการศึกครั้งนี้เท่านั้น”
ดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์นิ่งงัน ไร้ซึ่งแสงสว่างที่สดใสเช่นในอดีต
บนร่างของพี่ใหญ่แบกรับบางสิ่งอยู่ตลอดเวลา นางรู้อย่างชัดเจน หรือกล่าวอีกอย่างว่า ที่พี่ใหญ่อาสานำทัพออกรบด้วยตนเองในครั้งนี้ ก็เป็นหนึ่งในแผนการที่วางไว้หลายปีแล้ว?
ในแผนการของเขามีนางหรือไม่? ตัวนางในแผนการนั้นมีฐานะเช่นไร และเป็นตำแหน่งใด? “เสี่ยวเอ้อร์ ยกสุรามา”
นางดื่มไหแล้วไหเล่าติดต่อกัน พลันรู้สึกขึ้นมาว่า ตนเองใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข เพราะนางแม้แต่ผู้ชายที่ชอบที่แท้แล้วทำสิ่งใดกันแน่ ในอนาคตจะทำสิ่งใดกันแน่ ก็ไม่รู้ทั้งสิ้น
“ดื่มสุรามากเกินไปทำร้ายร่างกาย อย่าได้ดื่มอีกเลย”
ซูเช่อมีเจตนาจะแย่งไหสุราในมือของนางไป แต่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธ
“เป็นถึงจวิ้นอ๋องน้อย สุราไม่กี่ไหเท่านั้นยังตระหนี่เช่นนี้ มื้อนี้ข้าเชิญท่าน อย่าได้ห้ามข้า”
พวงแก้มแดงก่ำ สายตาก็เปลี่ยนเป็นเลื่อนลอย เห็นได้ชัดว่าหลิงมู่เอ๋อร์เมาเล็กน้อยแล้ว
ทั้งที่เป็นเขาที่มาซื้อความเมามายที่นี่ เหตุใดจึงเปลี่ยนฐานะได้? ซูเช่อนั่งอยู่ด้านข้างมองนางอย่างสงบ ไม่อาจทำใจทำลายภาพที่เงียบสงบเบื้องหน้าได้
สุราไม่กี่ไหนับเป็นอะไรได้? ต่อให้เจ้าต้องการทั้งหมดของข้า ข้าก็ไม่มีทางเสียดายแม้แต่ครึ่งส่วน
แต่ว่า เจ้าจะมอบโอกาสนี้ให้ข้าหรือ?
เพล้ง
หลิงมู่เอ๋อร์เมาแล้ว ล้มอยู่บนโต๊ะไม่ขยับ
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูเช่อเห็นนางที่สงบเงียบเช่นนี้ ใบหน้าด้านข้างที่ขาวผ่อง ขนตาที่งอนยาว ทุกคลื่นความถี่ของลมหายใจสม่ำเสมอนั้นล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อหัวใจผู้คน
สาวน้อยที่ไม่มีการป้องกันใดๆ ต่อบุรุษนางนี้ นางก็ไม่กังวลแม้แต่น้อยว่าเขาจะเล่นลูกไม้บางอย่าง?
ซูเช่อเชื่อว่าตนเองมิใช่หลิ่วเซี่ยฮุ่ย [1] อะไรนั่น แต่มือที่ยื่นออกไปของเขากลับถอยกลับมาอย่างไม่อาจควบคุม
ของที่ชื่นชอบต้องใช้ความพยายามแย่งชิงมา แต่ผู้ที่ชื่นชอบกลับมิอาจใช้วิธีการต่ำช้าได้
ช่างเถิด
ถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ซูเช่อลุกขึ้น สองแขนออกแรง อุ้มนางไว้ในอ้อมกอด
คนตัวเล็กๆ เบาและนุ่มนวลถึงเพียงนั้น “สาวน้อยคนนี้ดูไปแล้วรูปร่างไม่เลว เหตุใดจึงได้เบาดุจขนนกเช่นนี้?” หัวคิ้วของซูเช่อขมวด
บางทีอาจเพราะได้ยินเสียงบ่นพึมพำของเขา หลังจากสตรีในอ้อมแขนขดตัวไปมา ก็ได้ท่วงท่าที่สุขสบาย ว่าง่ายประดุจลูกแมวตัวหนึ่ง ซูเช่อก็มิได้รู้สึกหนัก ยืนอุ้มนางอยู่ในห้องรับรอง เมื่อมองอย่างละเอียด ก็อดมองจนเหม่อลอยไม่ได้
อยากจุมพิตสักครา
ความคิดของซูเช่อเพิ่งลอยขึ้นมา ก็พบว่าริมฝีปากสีชาดของตนได้เข้าใกล้หน้าผากของนางแล้ว หลับตาลง คิดอยากจะสัมผัสจุมพิตบนหน้าผากนี้ดีๆ อย่างฉับพลัน ประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ก็ถูกคนเปิดออกจากด้านนอก
“เจ้า เจ้าทำสิ่งใดหา!” หลิงต้าจื้อคำรามด้วยโทสะ
ซูเช่อที่เดิมจมอยู่ในห้วงฝันชะงักความเคลื่อนไหวของร่างกาย เซออกไปสองสามก้าวด้วยความประหม่าของผู้กระทำผิด เกือบจะล้มลง
ราวกับแมวที่ขโมยกินของถูกจับได้ ซูเช่อไม่เคยหวาดหวั่นลนลานเช่นนี้มาก่อน กลัวว่าจะทำหลิงมู่เอ๋อร์ตก เขากอดสตรีในอ้อมกอดไว้แน่น มองหลิงต้าจื้ออย่างทุลักทุเล “นาง นางดื่มมากไป ในเมื่อท่านลุงหลิงมาแล้ว เช่นนั้นก็รบกวนให้ท่านดูแลอย่างดีแล้ว”
การเคลื่อนไหวของซูเช่อรวดเร็วมาก ในยามที่กล่าววาจาก็ได้มอบหลิงมู่เอ๋อร์ไปอยู่ในมือของหลิงต้าจื้อแล้ว จากนั้นก็ด่วนจากไปราวกับกำลังวิ่งหนี
การกระทำที่รวดเร็วเป็นชุดอยู่ในช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น หากมิใช่เพราะบุตรสาวร่างกายไม่สบายจนดึงเขาออกมาจากเงื่อนความคิด หลิงต้าจื้อก็คงยังมิได้สติอยู่นาน
“สาวน้อยผู้นี้ เหตุใดจึงได้ดื่มสุรามากมายเช่นนี้นะ”
ดูท่าจวนสกุลหลิงคงมิอาจกลับไปได้แล้ว หลิงต้าจื้อจึงให้บุตรสาวพักอยู่ในห้องพักผ่อนของห้องรับรองส่วนตัวเสียเลย
ตกกลางคืน เงาร่างหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงมา ขึ้นลงไม่กี่ครั้ง ร่างกายที่ปราดเปรียวก็ร่อนลงในห้องรับรองส่วนตัวอย่างแม่นยำ
มองหญิงสาวตัวน้อยที่กำลังหลับอย่างหอมหวาน บุรุษเลียริมฝีปาก
ช่างเถอะ เขาจะทำเรื่องที่ถือโอกาสในยามที่ผู้อื่นเป็นทุกข์เช่นนี้ได้อย่างไร?
อดกลั้นต่อความพลุ่งพล่านที่ไม่อาจควบคุมภายในร่างกาย ซูเช่อหยิบถุงหอมใบหนึ่งออกมาจากอก วางไว้ในมือของนางอย่างระมัดระวัง ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ใกล้จะตื่นขึ้นมา เขาก็พลิกหน้าต่างออกไป ราวกับเสือ หายไปในราตรีที่มืดมิด
เชิงอรรถ
[1] หลิ่วเซี่ยฮุ่ย เป็นบุรุษในเรื่องเล่าโบราณว่า เป็นผู้ที่มีคุณธรรมอันสูงส่ง เล่ากันว่าในคืนฝนตกอันหนาวเหน็บ เขายินยอมให้สตรีที่ไม่รู้จักนั่งอยู่บนตักและอิงแอบในอยู่อ้อมกอดเพื่อแบ่งไออุ่นเพียงลำพังตลอดคืน โดยมิได้ทำการล่วงเกินใดเลย