เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 155 คางคก
เล่มที่ 6 บทที่ 155 คางคก
“ได้ยินว่าจวิ้นหม่าเหยียคนใหม่ล่าสุดผู้นี้เคยเป็นชาวนามาก่อน คล้ายจะออกมาจากหมู่บ้านสกุลหลิงอะไรที่อยู่ไกลออกไปนับพันลี้ ที่บ้านยากจนกระทั่งข้าวก็ไม่มีกินสักคำ ข้ายังได้ยินว่าเหมือนเมื่อก่อนจะเป็นคนขาเป๋อีกด้วย”
“ไอ๊หยา ของอาจกินมั่วๆ ได้แต่คำพูดไม่อาจกล่าวผิดๆ คนเขาไม่รู้ใช้ลูกไม้ใดทำให้เจาหยางจวิ้นจู่ลุ่มหลงจนงมงายเช่นนี้ สาบานว่านอกจากเขาแล้วจะไม่แต่งกับผู้ใดอีก และยังใช้ให้หนิงกั๋วโหวรับเป็นบุตรบุญธรรม เจ้าอย่าได้เห็นว่าคนยากจน ฝีมือสูงส่งอยู่นะ”
“มิน่าจึงได้คุกเข่าต่อสตรีผู้หนึ่งอย่างง่ายดายเช่นนี้ ที่แท้เป็นพวกไร้ความสามารถที่อาศัยสตรีกินข้าวตัวหนึ่ง”
“เสียดายรูปโฉมที่ดีนั่น ดูแล้วสง่างามมากอยู่ ที่แท้อาศัยจวิ้นจู่เพื่อปีนป่ายขึ้นที่สูง ถุย”
ภายใต้ปากที่เต็มไปด้วยโลหิต ราวกับจะจับหลิงจือเซวียนกินแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์โมโห ลุกขึ้นคิดจะทวงความยุติธรรมให้พี่ชาย แต่กลับถูกซั่งกวนเซ่าเฉินกดไหล่ไว้ “อย่าได้หุนหัน คนพวกนี้จงใจยั่วโมโหเจ้า อย่าได้ติดกับ”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาเหยียดหยามพี่ชายได้นี่นา
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกไม่ยินยอม ในขณะที่กำลังคิดว่าจะจัดการอย่างไรนั้น ซูเช่อผู้อิสรเสรีที่อยู่ด้านข้าง มือข้างหนึ่งยกจอกสุราขึ้น อีกด้านหนึ่งเหล่ตามองทุกคนกล่าวว่า “กินองุ่นไม่ได้ก็บอกว่าองุ่นเปรี้ยว ในเมื่อพวกเจ้ามีความสามารถถึงขนาดนี้ เหตุใดไม่เห็นแต่งจวิ้นจู่กลับไปสักคนเล่า?”
แต่ละคนถูกคำกล่าวนี้ทำให้อับอายจนหน้าแดงหูแดง ลองถามตนเองว่า มีผู้ใดกล้าเป็นศัตรูกับจวิ้นอ๋องอย่างเปิดเผยในสถานการณ์เช่นนี้บ้าง อีกทั้ง จวิ้นอ๋องก็พูดได้ไม่ผิด พวกเขาเป็นเพราะริษยาอย่างรุนแรงจึงได้เอ่ยปากเยาะหยัน คิดอยากจะใช้สิ่งนี้มาทวงความเป็นธรรมเท่านั้น
“ชาวนาผู้หนึ่งแล้วอย่างไร ได้ยินว่าหลิงจือเซวียนในอดีตแม้แต่อักษรตัวเดียวก็ไม่รู้จัก แต่กลับใช้เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี ก็มีความสามารถเชิงอักษรเหนือล้ำกว่าผู้อื่น เกรงว่าก็เป็นเพราะสมองที่เด่นล้ำเหนือผู้อื่นนี้ดึงดูดความปฏิพัทธ์ของจวิ้นจู่มา เป่าหวางจื่อนับถือเจ้า”
ในยามที่กล่าววาจานั้น องค์ชายเจ็ดนำพระชายาขององค์ชายเจ็ดเดินเข้ามาอย่างช้าๆ พยักหน้าให้หลิงจือเซวียนและเจาหยางที่อยู่ด้านบน “ขอแสดงความยินดีกับน้องเจาหยางที่ได้แต่งกับสามีในอุดมคติ เปิ่นหวางจื่อมาสายแล้ว อีกครู่จะลงโทษตนเองสามจอก”
คำนี้ขององค์ชายเจ็ดแม้จะกล่าวกับเจาหยาง แต่ความหมายในคำพูดกลับช่วยออกหน้าให้หลิงจือเซวียน
กล่าวจบ เขายังมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์คล้ายเจตนาและไม่เจตนา ทำให้ทุกคนเข้าใจถึงจุดยืนของเขาอย่างไร้ร่องรอย
หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อได้สติกลับมาก็พยักหน้าให้เขาอย่างรวดเร็ว เป็นการแสดงออกว่าน้ำใจในครั้งนี้ นางรับไว้แล้ว เพียงแต่ในยามที่สายตามองไปเบื้องหลังนั้น นางก็ขมวดคิ้วแน่น
จวนจวิ้นอ๋องและจวนหนิงกั๋วโหวเชื่อมสัมพันธ์กัน ขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรกัน วันนี้ผู้ที่มาในงานล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์และเหล่าตระกูลใหญ่ ผู้ที่ติดตามอยู่ข้างกายขององค์ชายเจ็ดมาแสดงความยินดีย่อมต้องเป็นพระชายาขององค์ชายเจ็ด นางยังคงมีท่าทางว่าง่ายและสง่างามเช่นเดิม แต่มือทั้งคู่กลับปกป้องท้องไว้อย่างแน่นหนา ร่างกายและใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นอวบอิ่มทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ประหลาดใจ!
นางเป็นหมอ จะมองไม่ออกถึงความผิดปกติในร่างกายของพระชายาองค์ชายเจ็ดได้อย่างไร
แต่ว่านี่เพิ่งจะเพียงเดือนเดียวเท่านั้น แล้วกล่าวว่าเพียงแต่ถูกบังคับให้สมรสเท่านั้นเล่า
สายตาของหลิงมู่เอ๋อร์รีบมองไปยังฝูงคนทันที นางต้องการจะหาเงาร่างของเซิงเอ๋อร์ เซิงเอ๋อร์เป็นนางต้องการจะเชิญมา เมื่อครู่ยังถูกนางจัดไว้ในตำแหน่งแขกสำคัญ แต่ไม่ว่านางจะหาอย่างไรสุดท้ายก็หาไม่พบ
“อยู่ในมุม วางใจเถิด มีคนของข้าคอยคุ้มกันอยู่” ซั่งกวนเซ่าเฉินใช้เสียงที่มีเพียงคนทั้งสองสามารถได้ยิน เห็นได้ชัดว่ามองออกถึงความกังวลของนาง
“เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้?” มือทั้งคู่ของหลิงมู่เอ๋อร์กำเป็นหมัดแน่น ทั่วทั้งร่างสาดประกายเย็นชาออกมาสองสามส่วน
หากเมื่อครู่นางยังมีความรู้สึกขอบคุณองค์ชายเจ็ดอยู่ เช่นนั้น ในยามนี้ก็เหลือเพียงความโกรธและดูหมิ่นแล้ว
ผู้ชายสารเลว
“ถูกสถานการณ์บังคับเท่านั้น อีกทั้ง พวกเขาแต่งงานกันอย่างถูกต้อง ช้าเร็วก็ต้องมีวันนี้ เพียงแต่เร็วกว่าที่ทุกคนคาดคิดไปเล็กน้อยเท่านั้น” ซั่งกวนเซ่าเฉินทางหนึ่งดื่มสุรา อีกทางหนึ่งตอบอย่างไม่ใส่ใจ มองทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่งแต่แรกแล้ว “มู่เอ๋อร์ ข้ายังคงเป็นคำพูดเดิม องค์ชายเจ็ดมิได้เรียบง่ายเช่นที่เห็นภายนอก อยู่ห่างจากเขาหน่อย”
ไม่ต้องให้ซั่งกวนเซ่าเฉินเตือน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่เต็มใจจะสานสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนเช่นนี้แล้ว
ทั้งที่คิดว่าเขาปฏิบัติต่อเซิงเอ๋อร์ด้วยความจริงใจ รักเดียวใจเดียว แต่นี่เพิ่งเป็นเวลาไม่กี่วันเท่านั้น ก็ทำผู้อื่นท้องโตแล้ว ต่อให้คนผู้นี้เป็นภรรยาที่แต่งมาอย่างถูกต้องก็ตาม แม้ว่าในนี้ จะเคยมีความเข้าใจผิดใดก็ตาม แม้ว่าท่าทีขององค์ชายเจ็ดที่มีต่อพระชายาที่อยู่ข้างกายจะไม่อบอุ่นไม่สนใจก็ตาม
“โอ้ ที่แท้เสด็จพี่เจ็ดก็ทรงทราบว่าหลิงจือเซวียนผู้นี้เคยเป็นพวกไร้ปัญญามาก่อน ก็ไม่รู้ว่าเขาไปบำเพ็ญวาสนาใดมา ชาตินี้ถึงได้โชคดีเช่นนี้ สามารถแต่งกับเจาหยางจวิ้นจู่ของพวกเราได้ เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อนะ ที่แท้คางคกสามารถกินเนื้อห่านฟ้าได้จริงๆ นี่”
เหล่าบัณฑิตที่เมื่อครู่พากันส่งเสียงเยาะหยันไม่กล้าล่วงเกินองค์ชายเจ็ด แต่องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์กลับไม่กลัว
เมื่อคำพูดที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของนางถูกพูดออกไป พลันชักนำให้เกิดเสียงหัวเราะครืนไปทั่วงาน
เจ้าบ่าวผู้สง่างามถูกคนเหยียดหยามว่าเป็นคางคก การเปรียบเทียบนี้ห่างชั้นเกินไป จะไม่ตลกได้อย่างไร?
เจาหยางที่มิได้ส่งเสียงมาโดยตลอดโมโห เดิมนางก็มีนิสัยอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว จะยอมอดทนให้ผู้อื่นหยามหมิ่นด่าทอสวามีของนางได้อย่างไร “คางคกแล้วอย่างไร? พวกเจ้าเคยเห็นคางคกที่หล่อเหลาจนสร้างแรงกดดันและโดดเด่นในเชิงอักษรเช่นนี้หรือ?”
เจาหยางจับมือของหลิงจือเซวียน ค่อยๆ ลงมาจากบันไดที่สูงสามหมี่ ชุดวิวาห์สีแดงตลอดร่างสวมอยู่บนร่างของนาง ยิ่งขับให้ผิวกายของนางขาวผ่องราวหิมะ
ชายกระโปรงที่ยาวถึงเก้าหมี่ ชุดวิวาห์ที่ทำด้วยผ้าไหมทั้งหมด มิว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือบรรยากาศล้วนเพียงพอให้บดขยี้ทุกผู้คน
ความเย่อหยิ่งที่มีมาแต่กำเนิดของเจาหยาง ยามนี้ยิ่งเผยออกมาอย่างเด่นชัดเฉียบขาด
เห็นนางเดินไปยังเบื้องหน้าของเหลียนเอ๋อร์ เชิดคางอย่างลำพอง “องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ตรัสว่าสวามีของหม่อมฉันเป็นคางคก เช่นนั้นตัวท่านเล่า ท่านซึ่งเป็นหงส์ฟ้าขาวผู้สูงส่ง ลดตัวเสียต่ำต้อยคิดจะกินคางคกตัวนั้น คนเขายังไม่ยอมให้ท่านกินเลย”
เหลียนเอ๋อร์โมโหจนสั่นไปทั้งตัว
หลิงมู่เอ๋อร์กลับหัวเราะออกมาอย่างสนุก นางกอดแขนของซั่งกวนเซ่าเฉิน กล่าวอย่างเป็นสุขในความทุกข์ของผู้อื่นว่า “บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินก็คงไม่เกินไปกระมัง บัดนี้กลับถูกคนเปรียบเป็นคางคกเช่นนี้ จุ๊ๆๆ เฉิน ท่านว่าหากบัดนี้ท่านปลดหน้ากากออกเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา คนพวกนี้จะตกตะลึงถึงเพียงใดกัน”
มือที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกุมจอกสุราออกแรง ดวงตาที่หนาวเหน็บเสียดกระดูกราวกับจะสามารถใช้ระยะทางสังหารเจาหยางได้ แต่เมื่อเห็นสาวน้อยข้างกายสนุกสนานถึงเพียงนี้ ช่างเถอะ ช่างเถอะ เขาไม่ถือสาแล้ว
“ไป พาเจ้าไปกินของเล็กน้อย”
ด้านหนึ่งเป็นฝ่ามือใหญ่ที่เต็มไปด้วยรอยด้านสีเหลืองจากการทำงาน อีกด้านเป็นนิ้วเรียวยาวที่ขาวเนียนประดุจต้นหอม นิ้วทั้งสิบประสานเข้าหากันแน่น ซั่งกวนเซ่าเฉินจูงหลิงมู่เอ๋อร์อย่างแสดงความเป็นคนรักเต็มที่
โต๊ะอาหารงานเลี้ยงถูกจัดไว้ที่ห้องโถงชั้นในด้านหลังสวน ขอเพียงทะลุผ่านสวนดอกไม้ผืนนี้ไปก็ถึงแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ตามอยู่เบื้องหลังอย่างเชื่อฟัง สำรวจใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างละเอียด
กรอบโครงหน้าเรียวยาว อวัยวะทั้งห้าแข็งแกร่งมั่นคง แม้ไม่ดูเย้ายวนดุจมารร้ายเช่นซูเช่อ และไม่หล่อเหล่าสง่างามเช่นหนานกงอี้จือ แต่ก็มีเอกลักษณ์ของตน
อื้ม หากเขาเป็นคางคก เช่นนั้นก็เป็นคางคกที่กลายพันธุ์แล้ว
“หยุดนะ!”
น้ำเสียงที่หยิ่งผยองดังมาจากเบื้องหลัง มือข้างหนึ่งยิ่งดึงแขนของนางไว้อย่างยโสเกเร อีกฝ่ายคิดจะใช้กำลังดึงนางให้ล้มลง น่าเสียดาย ที่กำลังของหลิงมู่เอ๋อร์มากกว่า ไม่เพียงไม่ถูกอีกฝ่ายทำได้สำเร็จ แต่กลับทำให้ฝ่ายหลังล้มคะมำราวสุนัขกินอาจมด้วย
“ไอ๊หยา องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ เหตุใดจึงทรงไม่ระมัดระวังเพียงนี้เล่า ในฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ ต้องระวังใต้เท้าให้ดี หากไม่ทันระวังล้มจนกลายเป็นคนโง่ก็จะไม่ดีแล้ว”
“เจ้า…เจ้าจงใจ!”
เหลียนเอ๋อร์ถูกสาวใช้ประคองขึ้นมาอย่างโมโห เมื่อมองซั่งกวนเซ่าเฉินอีกครั้ง ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความอ่อนแอน้อยใจ “เซ่าเฉิน ท่านรีบดูสิ สตรีนางนี้ชั่วร้าย ถึงกับสาปแช่งข้า”
นางทางหนึ่งปาดน้ำตา ทางหนึ่งออดอ้อน และยังพยายามวางแผนเข้าไปข้างกายของซั่งกวนเซ่าเฉินเพื่อกอดแขนเขา
บุรุษเพียงหมุนกายเบาๆ ก็หลบพ้นการเข้าใกล้ของนาง ยิ่งออกแรง ดึงหลิงมู่เอ๋อร์เข้ามาอยู่กลางอ้อมกอด น้ำเสียงเย็นชาแข็งกระด้าง “หรืออาการป่วยซ่อนเร้นในช่วงก่อนขององค์หญิงยังไม่ทรงหายดี จึงได้ทรงกล่าววาจาเหลวไหล ข้าทราบเพียงว่ามู่เอ๋อร์ของข้าเป็นสตรีที่จิตใจดีงามที่สุดในโลกใบนี้เท่านั้น”
สำหรับเหลียนเอ๋อร์แล้ว การแสดงความรักนี้ราวกับเป็นการโจมตีสุดท้ายที่ถึงชีวิต เกือบทำให้นางกระอักโลหิตออกมาด้วยโทสะ
“ดี พวกเจ้าแต่ละคนสองคนล้วนรังแกข้าใช่หรือไม่ หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่า เรื่องงูชุมนุมในวังนั่นเป็นฝีมือของเจ้า!”
น้ำเสียงมั่นใจ ดวงตาแดงก่ำราวโลหิต ราวกับค้นพบหลักฐานที่แน่ชัดแล้ว
หากสายตาขององค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ในยามนี้สามารถฆ่าคนได้แล้วละก็ หลิงมู่เอ๋อร์คงจะเต็มไปด้วยบาดแผลนับพันและรูพรุนนับร้อยแล้ว
น่าเสียดาย สายตาของนางสำหรับนางแล้วไม่มีความสามารถในการสร้างความเสียหายแม้แต่น้อย
“องค์หญิงตรัสสิ่งใดกันเพคะ หม่อมฉันฟังไม่เข้าใจ” มองนางอย่างยิ้มแย้ม เหลียนเอ๋อร์ยิ่งโมโห รอยยิ้มของนางก็ยิ่งเด่นชัด
รู้แต่แรกแล้วว่านางจะต้องแม้ตายก็ไม่ยอมรับ เหลียนเอ๋อร์ค่อยๆเข้าใกล้นางทีละก้าว ถือโอกาสในยามที่นางมิได้ระวัง ดึงมือของนางขึ้นมา “ก็เป็นมือข้างนี้กระมังที่วางยาพิษข้า?”
“ช่วงเวลานั้น ข้าสัมผัสใกล้ชิดเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าเป็นหมอ สามารถรักษาคนให้หายได้ ก็ย่อมสามารถทำร้ายคนให้ตายได้ หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่า วางแผนทำร้ายองค์หญิงของราชวงศ์เป็นโทษสถานใด?”
เสียงของนางไม่ดัง แต่กลับเผยความชั่วร้ายออกมารางๆ เห็นเพียงหลังนางกล่าวจบ ทั่วทั้งร่างก็พลันหงายไปด้านหลัง ล้มลงบนพื้นอย่างหนัก นางว่องไว น้ำเสียงอเนจอนาถ“อ๊า! หลิงมู่เอ๋อร์ เจ้า เจ้าถึงกลับกล้าผลักเปิ่นกงจู่จนล้ม!”
สายตาของทุกคนล้วนถูกเสียงน้ำเสียงที่น่าอนาถนี้ดึงดูดไป อีกทั้งในยามนี้ มือของหลิงมู่เอ๋อร์ก็กำลังอยู่ในท่าผลักองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์พอดี
เหล่าคุณหนูในห้องหอชอบดูเรื่องสนุกสนานประเภทนี้เป็นที่สุด มีบางคนเพื่อประจบเอาใจองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ ถึงกับวิ่งซอยเท้าเข้ามา ทางหนึ่งพยุงเหลียนเอ๋อร์ขึ้นมา อีกทางตำหนิหลิงมู่เอ๋อร์
“แม่นางหลิง ท่านปฏิบัติต่อองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ของพวกเราเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านอย่าคิดว่าพี่ชายของท่านแต่งกับจวิ้นจู่น้อย ท่านก็จะบินขึ้นเกาะกิ่งไม้สูงไปด้วยแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่า วางแผนทำร้ายองค์หญิงจะต้องโดนประหารเก้าชั่วโคตร!”
“คนผู้หนึ่งบรรลุธรรม แม้แต่ไก่หรือสุนัขก็ยังพลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วย วันนี้ข้าก็ได้เห็นของจริงแล้ว คนบ้านนอกก็คือคนบ้านนอก จิตใจอำมหิต พูดมา เหตุใดเจ้าต้องวางแผนทำร้ายองค์หญิง?”
“หา นี่มิใช่แม่นางหลิงที่เหล่าราษฎรขนานนามว่าแม่นางเซียนแพทย์หรือ ได้ยินว่า นางไม่เพียงแย่งใต้เท้าซั่งกวนไปจากข้างกายขององค์หญิง ยังยุยงให้พี่ชายของเขามาพัวพันเจาหยางจวิ้นจู่น้อย คนบ้านนี้ไม่ใช่ตัวดีอะไรจริงๆ”
แต่ละคนยิ่งพูดยิ่งไม่น่าฟัง ท่าทางยโสเช่นนั้น ไหนเลยจะมีความสง่างามเป็นกุลสตรีในอดีตเหลืออยู่
หลิงมู่เอ๋อร์อยากจะหยิบกระจกสักสองสามบานออกมาให้คุณหนูพวกนี้ลองดูจริงๆ เพื่อเหลียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว ล่วงเกินนาง คุ้มค่าหรือไม่?
“มีดวงตาข้างใดของพวกเจ้าเห็นว่ามู่เอ๋อร์ของข้าผลักนางล้มหรือ?” สายตาเย็นชาของซั่งกวนเซ่าเฉินเหลือบมองไป “หากไม่คิดจะตาย ล้วนไสหัวไปให้ข้า!”
เหล่าคุณหนูสูงศักดิ์ตกใจจนพากันถอยไปหลายก้าว กลับเป็นองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ซึ่งล้มอยู่บนพื้น ที่รีบลุกขึ้นมากอดแขนของซั่งกวนเซ่าเฉินไว้ “เซ่าเฉิน เจ้าเลิกถูกลูกไม้ของนางจิ้งจอกนางนี้บดบังนัยน์ตาแล้วได้หรือไม่? เหลียนเอ๋อร์ไม่รู้ว่าตนเองทำสิ่งใดผิด ตั้งแต่ที่หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้มาถึงเมืองหลวง ท่านก็ถูกนางเกี่ยววิญญาณไป เมื่อก่อนท่านเคยรับปากข้าว่าจะแต่งกับข้า ล้วนไม่นับแล้วหรือ?”