เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 6 บทที่ 152 พี่สะใภ้
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 6 บทที่ 152 พี่สะใภ้
เล่มที่ 6 บทที่ 152 พี่สะใภ้
“ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้าคัดค้านก็ช่างแล้ว แม้แต่เจ้าก็จะคัดค้านข้ากับจือเซวียนหรือ?”
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยมองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความตกตะลึงเต็มใบหน้า ราวกับนางพูดสิ่งใดที่ไม่ควรพูด ทำให้ดวงตาทั้งสองของนางเบิกโต พร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อด้วยความหุนหัน
“หลิงมู่เอ๋อร์ อีกไม่กี่วันข้าก็จะเป็นพี่สะใภ้ของเจ้าแล้ว ตอนนี้เจ้าควรแสดงความยินดีกับข้า เจ้าเป็นศัตรูกับข้าเช่นนี้ ไม่มีประโยชน์ใดกับเจ้า”
“หืม? เช่นนั้นไม่ทราบว่าเจาหยางจวิ้นจู่น้อยคิดจะจัดการกับข้าอย่างไร?” มือทั้งสองของหลิงมู่เอ๋อร์กอดอก มองนางอย่างสบายๆ
จอมอันธพาลน้อยที่เมื่อครู่ยังดุร้าย ในเสี้ยววินาทีก็ขลาดแล้ว รีบกอดแขนของนางออดอ้อน “มู่เอ๋อร์คนดีของข้า เจ้าก็รู้ว่าที่ข้าพูดเป็นคำที่มาจากความโกรธเท่านั้น ข้าเพียงแต่รู้สึกช่างเหลือเชื่อ เหตุใดทุกคนจึงไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ข้าเป็นถึงจวิ้นจู่เลยนะ”
ไม่ว่าเจาหยางจะคิดอย่างไรก็คิดไม่เข้าใจ ชาวนาสามัญผู้หนึ่งแต่งกับนางซึ่งมีฐานะเป็นถึงจวิ้นจู่ หรือว่าไม่ควรเป็นเรื่องดีที่รุ่งโรจน์อย่างยิ่งหรอกหรือ? เหตุใดทุกคนจึงหลบนางเหมือนหลบเทพเจ้าแห่งโรคระบาดเยี่ยงนั้น?
โดยเฉพาะแม่สามีในอนาคตท่านนั้น วันนี้ถึงกับคัดค้านอย่างเด็ดขาดต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนั้น จะให้นางเอาหน้าไปไว้ที่ใด
“เหตุใดท่านแม่ของข้าถึงไม่รับปาก ในใจของเจ้าไม่รู้จริงหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามกลับ
“ข้ารู้ ตัวข้าเมื่อก่อนค่อนข้างจะดุร้ายเกินไป เพื่อไล่จับหลิงจือเซวียนให้ได้ ก็ได้ใช้วิธีการพิเศษอยู่บ้าง ทำให้ไม่มีแม่สื่อกล้าเข้าบ้านของพวกเจ้าแม้แต่คนเดียว แต่หากข้าไม่ทำเช่นนั้น หลิงจือเซวียนเขาก็จะถูกคนแย่งไปแล้วนี่นา” เมื่อคิดก็รู้สึกหวาดกลัวแล้ว
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยจ้องดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างละเอียด “นอกจากนี้ ข้ายังได้รับประกันแล้ว ข้ารับปากแล้วว่านิสัยไม่ดีเมื่อก่อนนั้นจะแก้ไขให้หมด พวกเจ้ายังมีสิ่งใดต้องกังวลอีก?”
“ข้าเป็นถึงจวิ้นจู่ พวกเจ้าไม่อาจรังแกคนเกินไปกระมัง” ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ เจาหยางก้มหน้าบีบมือที่วางอยู่บริเวณหน้าตักทั้งสองข้าง หากคนพวกนี้ยังไม่รับปากอีก นางก็ได้แต่พาคนมาแย่งตัวเจ้าบ่าวแล้วจริงๆ
“พี่ชายของข้าชอบเจ้า ข้ามองออก คนรักกันได้ลงเอยกันเป็นเรื่องที่ดี ใครก็ไม่อยากเป็นคนร้ายที่พรากคู่รัก แต่เขาใกล้จะสอบเคอจวี่แล้ว ยามนี้พวกเจ้าแต่งงานกัน สำหรับเขาแล้วมีแต่ผลเสีย ไม่ว่าเขาจะสอบได้ตำแหน่งที่ดีหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็ถูกคนชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์ ว่าเขาอาศัยสตรีจึงได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง ข้าคิดว่าเจ้าก็คงไม่อยากให้เขาต้องทนรับการดูหมิ่นเช่นนั้นกระมัง?”
เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เร็วไม่ช้า หลังจากพูดจบก็พินิจดวงตาของเจาหยางอย่างละเอียด เป็นดั่งที่คาด ก็เห็นในนั้นเต็มไปด้วยความลำบากใจ
“แค่ครี่งปี พวกเจ้ารออีกเพียงครึ่งปีมิได้หรือ?” กลัวว่าเจาหยางจะคิดว่านางต้องการแยกพวกเขาออกจากกัน หลิงมู่เอ๋อร์รีบกล่าวช่วงเวลาออกมา
เจาหยางเข้าใจผิดแล้วจริงๆ “ดีเหลือเกินหลิงมู่เอ๋อร์ เจ้าคงไม่ใช่ไม่อยากแต่งงานหลังพี่ชาย ถึงจงใจให้พวกเราเลื่อนออกไปกระมัง? ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้ากับซั่งกวนเซ่าเฉินกำลังเลือกวันใช่หรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็เป็นพี่ชายของเจ้านะ”
แต่โบราณมา ต้องรอให้พี่ชายคนโตแต่งงานก่อน เหล่าน้องชายน้องสาวจึงจะสามารถหมั้นหมายสมรสได้ ต่อให้ผู้เป็นน้องสาวได้ดูวันแล้ว แม้ทุกสิ่งจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงพี่ชายคิดจะแต่งงาน ก็จะต้องยกเวลาให้ อีกทั้งภายในหนึ่งปีต่อจากนั้นมิอาจแต่งเข้าหรือออกเรือน นี่คือกฎระเบียบ
หลิงมู่เอ๋อร์ย่อมมิได้คิดเช่นนั้น “อีกครู่ข้าจะให้คนไปบอกซั่งกวนเซ่าเฉิน การแต่งงานครั้งนี้ไม่นับ เลือกวันเวลาใหม่ เช่นนี้เจ้าพอใจแล้วหรือไม่”
“ไม่ ไม่พอใจ”
เจาหยางคล้ายกับเด็กที่ดื้อรั้น เบี่ยงศีรษะไม่กล้ามองตาของหลิงมู่เอ๋อร์ “ข้าว่าเจ้าก็อย่าได้โน้มน้าวข้าเลย อย่าพูดถึงครึ่งปี ต่อให้เป็นเวลาแค่ครึ่งวัน เปิ่นจวิ้นจู่ก็ไม่อยากรอ”
เหตุใดจึงได้รีบร้อนเช่นนี้?
“เจาหยาง! เหตุใดเจ้าจึงต้องบีบบังคับอย่างหนักเยี่ยงนี้ ในเมื่อพี่ชายของข้าเลือกเจ้าแล้ว ก็ไม่มีทางจะเสียใจ หรือที่เจ้ากังวลคือ ครึ่งปีให้หลังเขาจะไม่ต้องการเจ้าแล้ว?”
ฟันที่ขาวราวเปลือกหอยของนางกัดริมฝีปากล่างแน่น ราวกับมีสิ่งใดที่ยากจะเอ่ยปาก
ในยามที่กลับมา สายตาที่มองหลิงมู่เอ๋อร์มีความเว้าวอน นางอดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้วจริงๆ “เพราะว่า เพราะว่าข้ากับหลิงจือเซวียนได้ทำเรื่องของสามีภรรยากันแล้ว เขาจะต้องแต่งงานกับข้าทันที ครึ่งปีข้าย่อมสามารถรอได้ แต่ถ้าเกิดเจ้าท้องนี้…รอไม่ได้จะทำอย่างไร?”
ครึ่งคำหลังนั้น คำพูดของนางอ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ตั้งใจฟังให้ดี ก็ถึงกับไม่ได้ยินว่านางกำลังพูดสิ่งใด แต่หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงันไปแล้ว
“เป็นไปไม่ได้ พี่ชายของข้าเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น!”
นางคิดว่าพวกเขาทั้งสองคนเพียงแค่อดใจไม่ไหว จึงไม่ทันระวังทิ้งรอยประทับไว้เท่านั้น
“เรื่องเช่นนี้ ข้าหรือจะยังทำลายความบริสุทธิ์ของตนเอง? ไม่ใช่เขา ก็ใช่แล้ว สรุปแล้ว เขาจะต้องแต่งงานกับข้าทันที ข้าเป็นจวิ้นจู่นะ ข้าไล่ตามเขานานขนาดนี้ อย่าพูดถึงครึ่งปีเลย หนึ่งปีข้าก็รอได้ แต่คงไม่อาจรอให้ท้องของข้าโตขึ้นมาแล้วค่อยมาเตรียมการเรื่องพวกนี้กระมัง เช่นนี้จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
เป็นเวลานาน หลิงมู่เอ๋อร์พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว คำที่อยากโต้แย้ง อยากขอร้องล้วนติดอยู่ในลำคอ
นางถึงได้เข้าใจว่า ที่หลิงจือเซวียนกล่าวว่า ‘สายไปแล้ว’ นั้น มีความหมายเยี่ยงไร
เขาตั้งใจ
หลิงจือเซวียนรู้ว่า นางไม่มีทางยอมให้เขาทำลายอนาคตของตนเองเด็ดขาด จะต้องคิดหาทุกวิธีมาขัดขวาง ดังนั้นเขาจึงจงใจทำเช่นนี้ ตัดหนทางที่เหลือทิ้งทั้งหมด
ไม่พูดว่าคนเขาเป็นถึงจวิ้นจู่ ต่อให้เป็นหญิงสาวจากครอบครัวสามัญ พวกเขาก็ไม่อาจล้อเล่นแล้วตีจากได้
แต่ว่า เขาต้องใช้ทั้งชีวิตมาทนรับการติฉินนินทาของผู้คน แม้ภายหลังเนื่องจากความสามารถด้านวรรณกรรมจะทำให้คนชื่นชม บนร่างก็จะถูกครอบด้วยหมวกบุตรเขยของท่านอ๋องตลอดไป มิอาจทำให้ผู้อื่นยอมสยบอย่างจริงใจต่อความสามารถของเขาได้ไปตลอดกาล
พี่ชาย สิ่งที่ท่านนำมาพนันใหญ่เกินไปแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ขอแสดงความยินดีกับพี่สะใภ้ในอนาคตไว้ ณ ที่นี้แล้ว และหวังว่าท่านจะจดจำสิ่งที่รับปากข้าไว้ได้ จะเป็นภรรยาที่ดีเป็นลูกสะใภ้ที่ดี”
หลิงมู่เอ๋อร์ห่อเหี่ยวราวกับมะเขือที่ถูกหิมะ พลันสูญเสียความเปล่งประกายทั้งหมดไปในเสี้ยววินาที คำพูดไร้สาระแม้แต่คำเดียวก็ไม่อยากกล่าวอีก
ในสายตาของเจาหยางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกว่านางถูกบังคับให้อวยพร
“หยุดนะ!” วิ่งตึงตังไปเบื้องหน้าของนาง ราวกับกลับไปเป็นจวิ้นจู่ที่มีบุคลิกดุร้ายเกเรอีกครั้ง เจาหยางเชิดศีรษะมองนางอย่างมาดร้าย “ข้าต้องการให้เจ้าพูดให้ชัดเจน นอกจากเรื่องนี้แล้ว เหตุใดเจ้ายังต้องยับยั้งไม่ให้ข้าแต่งงานกับจือเซวียนอีก?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากเป็นคนที่โหดร้ายคนนั้น
ในเมื่อเจาหยางเชื่ออย่างหมดใจว่า หลิงจือเซวียนเป็นเพราะรักอย่างลึกซึ้งจึงได้อยู่กับนาง เช่นนั้นก็ให้นางได้ฝันต่อไปเถิด
ส่ายศีรษะ อ้อมผ่านร่างของนางคิดจากไป แต่ในมุมฝั่งตรงข้ามนั่นเอง พลันมีเงาร่างหนึ่งวิ่งออกมากะทันหัน ชี้หน้าของเจาหยางร้องเสียงดังว่า “เพราะพี่ชายของข้าไม่ได้อยากแต่งงานกับท่านอย่างจริงใจ เขาเป็นเพราะต้องการจะยืมฐานะจวิ้นจู่ของท่าน เขาเพียงต้องการปกป้องคนในครอบครัวของพวกเราไม่ให้ถูกรังแก เขาเพียงต้องการปกป้องพวกเรา”
หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึงงันไปแล้ว รีบหมุนกายไปอุดปากหลิงจืออวี้ที่พุ่งออกมาอย่างกะทันหัน เมื่อมองเจาหยางอีกครั้ง ก็เป็นท่าทางที่ราวกับฟ้าได้ถล่มลงมาอย่างที่คิดจริงๆ
นางรีบอธิบายอย่างเร่งร้อนว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น เด็กน้อยพูดจาเหลวไหล จวิ้นจู่อย่าได้ถือเป็นจริง”
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล!”
ออกแรงดึงมือพี่สาวออก หลิงจืออวี้มองเจาหยางอย่างดุร้าย “ท่านเป็นจวิ้นจู่ ข้ารู้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของข้าทำให้ท่านโมโหแล้ว ย่อมมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงตามมา แต่ข้ายังคงต้องการพูด พี่ชายเขามิได้ต้องการแต่งงานกับท่านอย่างจริงใจ เขาเป็นเพราะช่วงนี้ คนในสกุลหลิงของพวกเราถูกคนรังแกติดต่อกัน มีแต่เปลี่ยนเป็นยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง จึงจะสามารถปกป้องสกุลหลิงได้”
เจาหยางยืนอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย เป็นเวลานานมิได้สติกลับมา
นางมองหลิงจืออวี้อย่างละเอียด ฟังถ้อยคำที่เมื่อครู่เขาพูดออกมาเป็นชุด เกือบจะหายใจไม่ออก รู้สึกเพียงว่า หัวใจที่เต็มไปด้วยความจริงใจของนางราวถูกหมื่นกระบี่ทะลวงไป เจ็บเหลือเกิน
เจ็บเหลือเกิน
“พวกเจ้า พวกเจ้ารวมหัวกันมารังแกข้า!”
เจาหยางปิดปาก หมุนกายวิ่งหนีไป รวดเร็วอย่างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์มองหลิงจืออวี้ทีหนึ่งอย่างโมโห คิดอยากตำหนิก็ทำใจไม่ได้ รีบไล่ตามไปอย่างเร่งร้อน
เจาหยางอย่างไรก็เป็นจวิ้นจู่น้อย เป็นไข่มุกในอุ้มมือที่จวนจวิ้นอ๋องประคองไว้ในฝ่ามือ คำพูดเดียวของนาง ก็สามารถเอาชีวิตคนทั้งบ้านได้ พวกเขาล่วงเกินไม่ไหว
ถูกนางรู้ความจริงเข้า ดูตามนิสัยเผด็จการของจวิ้นจู่นางนี้ ไม่รู้ว่าจะทำเรื่องคาดไม่ถึงใดออกมา
ด้านหน้ามีเงาร่างหนึ่งควบม้าผ่านไป หลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่น รีบไล่ตามไปอย่างเร่งร้อน การแต่งงานครั้งนี้สามารถเชื่อมสัมพันธ์ได้หรือไม่เป็นเรื่องเล็ก ไม่อาจล่วงเกินบรรพบุรุษท่านนี้ได้จึงจะเป็นเรื่องจริง
ความเร็วของเจาหยางรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ไม่สนใจฝูงชนที่กำลังคึกคักอยู่ตอนนี้ โบกสะบัดแส้ ประหนึ่งกลับไปเป็นจวิ้นจู่ผู้เอาแต่ใจอีกครั้ง
“หลีกไป หลีกไปให้เปิ่นจวิ้นจู่ให้หมด” ด้านหนึ่งร้องตะโกน อีกด้านเจาหยางสะบัดแส้ เหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นเช่นนี้ก็พากันหลบ กลัวว่าหากถูกแซ่นี้โบยลงไปจะถูกพรากไปครึ่งชีวิต
จากที่ไกล คล้ายจะมีรถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งมา ความไวรวดเร็วเช่นเดียวกัน เจาหยางราวกับมองไม่เห็น และบางทีอาจคิดว่า อีกฝ่ายจะเกรงต่อฐานะของนางทำให้หลบไป แต่คนทั้งสองต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกัน ความเร็วของผู้ใดก็ไม่มีท่าทีจะลดลงเลย
ที่ด้านหลัง หลิงมู่เอ๋อร์เห็นอยู่กับตา ใจทั้งดวงหลันพุ่งขึ้นมาถึงลำคอ เจาหยางจวิ้นจู่น้อยนางนี้พุ่งออกมาจากสกุลหลิงของพวกนาง หากเกิดเป็นอะไรขึ้นมา สกุลหลิงยากจะปัดความรับผิดชอบได้ นอกจากนี้รถม้าของอีกฝ่ายยังเทียมด้วยม้าสองตัว ทันทีที่ชนกันไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ
“เจาหยาง ระวัง!”
ไม่มีเวลาไปสนใจสิ่งอื่น หลิงมู่เอ๋อร์รีบเร่งม้าไล่ตามไป ในยามที่เจาหยางกับอีกฝ่ายใกล้จะชนกันนั้นเอง นางลอยตัวขึ้น พาเจาหยางลงจากม้าแล้วคร่อมทับไว้ใต้ร่าง
ม้าชั้นยอดสามตัวชนกัน เกิดเสียงกรีดร้องดังอย่างคลุ้มคลั่งขึ้นมา รอบด้านโกลาหลไปหมด
“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง บาดเจ็บที่ใดหรือไม่?” ไม่มีเวลามาสนใจความเจ็บปวดที่เกิดจากการเสียดสีบนร่าง หลิงมู่เอ๋อร์รีบประคองเจาหยางขึ้นมา
แม่นางน้อยยังคงร้องไห้ บนใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นางผลักร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ออกไปอย่างดื้อรั้น “เปิ่นจวิ้นจู่ไม่ต้องให้เจ้ามาสนใจข้า! ใครให้เจ้ายุ่งไม่เข้าเรื่องกัน”
รู้ว่านี่เป็นการแสดงออกที่มีในยามเจ็บปวดใจโดยเฉพาะ หลิงมู่เอ๋อร์จึงมิได้โกรธ แต่กลับคล้อยตามความต้องการของนาง “ได้ ในเมื่อจวิ้นจู่ไม่ต้องการให้ยุ่ง เช่นนั้นข้าก็จะไม่ยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก แต่ว่าหม่อมฉันยังคงขอกล่าวเตือนท่านสักคำ เวลาเดินบนถนน ก็ควรเบิกตาให้กว้าง เพราะอย่างไรในเมืองหลวงนี้ ผู้ที่กล้าช่วยท่านมีไม่มากนัก ถึงเวลานั้นหากเกิดสิ่งใดขึ้นมาจะทำให้การแต่งงานล่าช้าได้ ลาก่อน”
นางเสียใจถึงเพียงนี้แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์คนนี้ยังดุนางเช่นนี้อีก
เจาหยางเต็มไปด้วยความน้อยใจ ปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ตะโกนอย่างโมโหใส่แผ่นหลังของนางที่หมุนตัวไป “หยุดนะ! หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าจงใจใช่หรือไม่? เมื่อครู่ยังพูดว่าข้าเป็นพี่สะใภ้ในอนาคตของเจ้าอยู่เลย นี่ก็เป็นท่าทีที่เจ้าพูดกับพี่สะใภ้ในอนาคตหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ตะลึง หันสายตามาอย่างไม่อยากเชื่อ ก็เห็นสาวน้อยเชิดหน้าอย่างดื้อรั้น “เจ้า ไม่โมโหแล้ว?”
“ในเมื่อหลิงจือเซวียนกล้าวางแผนใส่ข้า คอยดูว่าหลังพวกเราแต่งงานกันแล้วข้าจะจัดการกับเขาอย่างไร แต่ว่า ข้าขอบอกเจ้าหลิงมู่เอ๋อร์ จือเซวียนมีความจริงใจต่อข้า ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าไม่ว่าใครพูดจาใส่ร้าย ต่อให้เจ้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ก็ไม่ได้ ยังมี เปิ่นจวิ้นจู่เป็นพี่สะใภ้ในอนาคตของเจ้า วันหลังจวนจวิ้นอ๋องก็คือภูผาที่หนุนหลังเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดเปิ่นจวิ้นจู่จะคุ้มครองเจ้าเอง!”