เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 5 บทที่ 140 ความโลภ
เล่มที่ 5 บทที่ 140 ความโลภ
แน่นอนว่าหลิงมู่เอ๋อร์ย่อมรังเกียจ แต่ที่ไท่จื่อเฟยเพิ่งพูดเมื่อครู่ก็ไม่ผิด ด้านนอกอากาศหนาวถึงเพียงนั้น วันนี้หิมะยังตกอีก หากออกไปเช่นนี้ พรุ่งนี้รับประกันเลยได้ว่าจะต้องเป็นหวัด เพื่อนายบ่าวที่พากันร้องพากันรับนี้ ทำให้ตนเองไม่สบาย ไม่คุ้มเลย
“เช่นนั้นก็รบกวนไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงแล้วเพคะ”
“ไม่รบกวน ตามข้ามาเถอะ” ไท่จื่อเฟยนำทางอยู่เบื้องหน้า บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ยังตะลึงอยู่ทำไม ยังไม่รีบไปนำอาภรณ์ใหม่ทั้งหมดที่พึ่งทำเมื่อหลายวันก่อนออกมาให้แม่นางหลิงเลือกอีก?” ไท่จื่อเฟยตำหนิอย่างโมโห สาวใช้รีบก้าวเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าออก ในใจกลับน้อยใจอย่างมาก
เมื่อครู่พึ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ขอเพียงลวกให้หลิงมู่เอ๋อร์บาดเจ็บ นางก็สำเร็จภารกิจแล้ว มิได้มีเรื่องการตบนี้นี่นา อีกทั้ง ครั้งนี้ของเหนียงเหนียงลงมือหนักเกินไปแล้ว นางรู้สึกเพียงว่าบนใบหน้าเจ็บปวดอย่างร้อนลวก ใบหน้าทั้งครึ่งซีกคงจะบวมขึ้นมาแล้ว
อยู่ข้างกายกษัตริย์เสมือนอยู่ข้างกายพยัคฆ์ นิสัยของเหนียงเหนียงนั้นยากที่จะคาดเดาได้จริงๆ นางทนมาพอแล้วจริงๆ
ชุดหนึ่งสีเขียวอ่อน อีกชุดสีเหลืองอ่อน อีกชุดสีชมพูอ่อน ทั้งเนื้อผ้า สีสัน และลวดลายล้วนเป็นของชั้นยอด หลิงมู่เอ๋อร์เลือกชุดสีชมพูอ่อนตัวนั้น “ขอบพระทัยไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงมากเพคะ เช่นนั้นอาภรณ์ชุดนี้หม่อมฉันจะสวมกลับไปชั่วคราวก่อน คราวหน้าจะทำอาภรณ์ที่ดีกว่านี้มาคืนเหนียงเหนียงนะเพคะ”
“เกรงใจอะไร เจ้าช่วยข้ารักษาโรคลำบากถึงเพียงนี้ อาภรณ์ชุดนี้ก็ถือว่ามอบให้เจ้าแล้ว เปิ่นกงจะรอเจ้าอยู่ด้านนอก” ตรัสจบ ไท่จื่อเฟยก็พาสาวใช้จากไป
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ชอบเปลี่ยนเสื้อผ้าในสถานที่แปลกหน้า ดีที่ในยุคสมัยนี้ไม่มีกล้องวงจรปิด
หันหลังให้ประตู นางค่อยๆ ถอดเสื้อชั้นนอกออก ในห้องของไท่จื่อเฟยมีเตาอุ่นชั้นดี ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ยามนี้อบอุ่นอย่างยิ่งจริงๆ
เมื่อชุดด้านในถูกถอดออก ก็เป็นเอวที่บอบบางและแผ่นหลังที่เรียวระหง หลิงมู่เอ๋อร์หยิบขุดขึ้นมา ขณะที่กำลังจะสวมใส่ ประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่ก็ถูกคนเปิดออกกะทันหัน
“ชายารัก” ที่ตามมาคือเสียงร้องเรียกที่หนักหน่วงเร่งร้อน หลิงมู่เอ๋อร์ตกใจอย่างมาก เหตุใดจึงมีบุรุษบุกเข้ามาได้?
ทันทีที่เงาร่างของบุรุษปรากฏขึ้นในสายตานั่นเอง นางก็คว้าเสื้อผ้าที่อยู่ข้างกายโยนออกไป บุรุษที่เข้ามาอย่างกะทันหันถูกคลุมปิดใบหน้าอย่างสมบูรณ์ นางใช้ช่องว่างนี้รีบสวมเสื้อผ้าจนเสร็จในทันที
นอกประตู ไท่จื่อเฟยที่ได้ยินเสียงก็รีบบุกเข้ามา นางพึ่งไปสั่งการให้บ่าวรับใช้ไปทำงาน จึงมิได้เห็นไท่จื่อกลับมา ยามนี้ เห็นเขาถูกอาภรณ์ชุดหนึ่งคลุมใบหน้าอยู่ ก็รีบไปเปิดออก “เหยีย เหตุใดพระองค์จึงทรงกลับมาแล้วละเพคะ?”
ทั้งที่เบื้องหน้าเป็นเงาหลังที่อ้อนแอ้นอรชรเงาหนึ่ง ไท่จื่อยังไม่ทันดูให้ชัดเจน ของสิ่งหนึ่งก็ถูกโยนเข้ามาอย่างกะทันหัน เขากำลังคิดจะขัดขืน แต่กลิ่นที่หอมชวนดมของสมุนไพรผสานกลับกลิ่นกายของหญิงสาวที่โชยมาทำให้เขาจมอยู่ในนั้น
นี่มิใช่กลิ่นของไท่จื่อเฟย สตรีนางนี้เป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงมีกลิ่นหอมเช่นนี้? ยังมีเมื่อครู่ที่เหลือบเห็นเพียงแวบเดียวแต่ประทับใจอย่างลึกล้ำ เรือนร่างที่งดงามอรชรนั้นทำให้เขามองจนตาค้าง
“หลิงมู่เอ๋อร์? คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า?”
ยังคิดว่าเป็นหญิงงามที่ไท่จื่อเฟยมอบให้เขา ในยามที่ไท่จื่อคืนสู่แสงสว่างอีกครั้ง ที่ได้เห็นก็คือใบหน้าที่ตนไม่อยากเห็นมากที่สุด ไฟโทสะในร่างของเขาลุกโชนขึ้นมาทันที “เหตุใดนางจึงมาอยู่ในห้องของเจ้าได้?”
คำพูดครึ่งหลังนั้น เห็นได้ชัดว่าพูดกับไท่จื่อเฟย
ไท่จื่อเฟยรีบมายืนที่เบื้องหน้าของไท่จื่อ คิดอยากจะบังสายตาของเขา “เหยีย ทรงกลับมาเมื่อใดเพคะ เหตุใดจึงมิให้คนมาแจ้งหม่อมฉันสักคำ แม่นางเซียนแพทย์ผู้นี้มาตรวจชีพจรให้หม่อมฉัน ไม่ทันระวังทำให้อาภรณ์เปียก เห็นแก่ที่นางทุ่มเทกายใจเพื่อให้หม่อมฉัน หม่อมฉันจึงมอบอาภรณ์ใหม่ชุดหนึ่งให้นางเป็นรางวัลเพคะ ไม่คิดว่าจะบังเอิญกับที่เหยียทรงเสด็จกลับมาพอดีเช่นนี้ หากจะทรงตำหนิ ก็ทรงตำหนิหม่อมฉันเถิดเพคะ”
ในน้ำเสียงเล็กๆ ที่หยาดเยิ้มนั้นเต็มไปด้วยการเย้ายวน อดทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
สตรีที่อยู่ในส่วนลึกของวังแห่งนี้ช่างมีชีวิตที่ขมขื่นนัก ทั้งที่สายตาบุรุษของตนมองตนด้วยความรำคาญถึงเพียงนั้น นางยังเสนอตัวเข้าไปอย่างกระตือรือร้นอีก บัดนี้ นางพอจะเข้าใจแล้วว่า ทั้งที่เป็นถึงไท่จื่อเฟย เหตุจึงได้กินหญ้าฝรั่นมานานหลายปีโดยไม่รู้ตัวแล้ว
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” ไท่จื่อมองไท่จื่อเฟย จากนั้นก็มองหลิงมู่เอ๋อร์ สุดท้ายสายตาบรรจบลงบนร่างของคนหลัง
แม้หลายวันก่อนเขาเคยได้รับความอัดอั้นตันใจในน้ำมือของสตรีนางนี้ แต่เมื่อย้อนนึกถึงภาพเลือนรางที่เห็นเมื่อครู่ โลหิตร้อนระอุในร่างกายของเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมา หากเมื่อครู่ยามเข้ามาระวังกว่านั้นอีกสักเล็กน้อย มิใช่จะได้เห็นทั่วถึงกว่านั้นหรือ
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกเขามองจนรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว เดินอ้อมเขาไปเบื้องหน้าของไท่จื่อเฟย “มิทราบว่ายามนี้เหนียงเหนียงเตรียมพระวรกายเรียบร้อยแล้วหรือไม่เพคะ หม่อมฉันจะถวายการฝังเข็มให้พระองค์”
ไม่รอให้ไท่จื่อเฟยตอบ เสียงเรื่อยเอื่อยของไท่จื่อดังมา “ฝังเข็ม? ฝังเข็มอะไรกัน? ร่างกายของชายารักมีที่ใดไม่สบายหรือ?”
ตรัสจบ ไท่จื่อเดินเข้าไปใกล้ไท่จื่อเฟย มือข้างหนึ่งโอบเอวนาง อีกมือหนึ่งช้อนคางของนางขึ้นมาพิศดูอย่างละเอียด นานเพียงใดแล้วที่ไท่จื่อมิได้อ่อนโยนต่อนางเช่นนี้?
แม้ว่าหางตาของเขามักจะมองไปทางหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตั้งใจและมิได้ตั้งใจก็ตาม
“มิมีสิ่งใดร้ายแรงเพคะ เป็นแม่นางหลิงกล่าวว่าในร่างกายของหม่อมฉันมีไอเย็นอยู่เล็กน้อย สามารถกำจัดออกได้ผ่านการฝังเข็ม เหยีย ทรงประทับอยู่ด้านนอกเป็นเวลานาน มิสู้ให้แม่นางหลิงตรวจดูด้วยดีหรือไม่เพคะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ได้แต่กลอกตา แม้นางจะเป็นหมอ แต่นางก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นโอเคไหม?
“สุขภาพของไท่จื่อดูไปแล้วดีอย่างมาก หม่อมฉันคิดว่าก็ไม่จำเป็นต้องตรวจแล้วเพคะ อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังมีความเข้าใจผิดกับไท่จื่ออยู่เล็กน้อย คิดว่าไท่จื่อก็ไม่ทรงเชื่อหม่อมฉันเพคะ”
สรุปแล้ว ความไม่ชอบในสายตาของหลิงมู่เอ๋อร์ชัดเจนเป็นอย่างมาก
ไท่จื่อหัวเราะเสียงเบา “ใครบอกว่าข้าไม่เชื่อเล่า?”
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลังอย่างเกียจคร้าน ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งด้วยตนเอง “ชายารักกล่าวไม่ผิด ข้าตากลมตากฝนอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน หากร่างกายมีความผิดปกติใดที่ไม่รู้กลายเป็นสาเหตุของโรคขึ้นมาคงจะไม่ดี ในเมื่อแม่นางเซียนแพทย์มาแล้ว ก็ดูให้เปิ่นไท่จื่อที วางใจเถิด ค่าตรวจรักษาเท่าใดเปิ่นไท่จื่อออกเป็นสองเท่า”
เขาไม่ชอบหลิงมู่เอ๋อร์จริงๆ วันนั้นที่โรงหมอของนาง ไม่เพียงไม่ได้ประโยชน์แถมยังถูกข่มขู่เข้าให้อีก เขาย้อนคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห กระทั่งแทบอยากจะไปฉุดนางมาสั่งสอนอย่างเงียบๆ สักรอบ แต่ภาพเมื่อสักครู่ราวกับหยุดค้างในใจของเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกคันในหัวใจ ไม่รู้ว่าในยามที่มือน้อยๆ ลูบคลำขึ้นมา จะสบายเหมือนดั่งที่จินตนาการไว้หรือไม่
มองดูสายตาที่ละโมบของเขา เล็บเรียวยาวทั้งสิบของไท่จื่อเฟยก็ฝังเข้าไปในเลือดเนื้อ
นานเพียงใดแล้วที่ไท่จื่อมิได้ปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ และนานเพียงใดแล้วที่มิได้ทรงทอดพระเนตรสตรีนางหนึ่งอย่างไม่ละสายตาเช่นนี้? นางกริ้วโกรธเหลือเกิน ริษยาเหลือเกิน แต่ว่า นางสามารถทำสิ่งใดได้เล่า สตรีที่เหยียทรงต้องการ มีเมื่อใดที่มิทรงได้มาก่อน?
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ยืนไม่ขยับ ไท่จื่อเฟยรีบจับมือของนาง “แม่นางหลิง ในเมื่อไท่จื่อทรงออกพระโอษฐ์แล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ลองตรวจให้พระองค์หน่อยเถิด หากพระวรกายของไท่จื่อมีปัญหาใดแล้วละก็ เจ้าจะต้องบอกมาตามตรง”
ตรัสจบ ไท่จื่อเฟยก็นำมือของนางไปวางไว้บนจุดชีพจรของไท่จื่อด้วยตนเอง ทันทีที่ความรู้สึกอ่อนโยนเข้ามา ไท่จื่อก็รีบจับนิ้วมือของหลิงมู่เอ๋อร์ทันที “นั่นสิ ตรวจดูให้ข้าดีๆ ตรวจเสร็จแล้วย่อมไม่ให้เจ้าต้องเสียเปรียบ”
ล้วนกล่าวกันว่าไท่จื่อสามัญไร้สามารถ คิดไม่ถึงว่ายังบ้าสตรีเช่นนี้ ส่วนไท่จื่อเฟย เพื่อได้รับความโปรดปรานถึงกับวางแผนใช้ประโยชน์จากนาง? ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์มีเพลิงโทสะอยู่เต็มท้อง รีบสะบัดมือของเขาออกทันที
แต่นางมิได้รีบจากไป แต่กลับจับชีพจรให้เขาขึ้นมาจริงๆ
สีหน้าของนางตั้งใจ ตรวจดูอย่างละเอียด ไท่จื่อที่อยู่เบื้องหน้ามองนางราวกับมองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ไท่จื่อเฟยแม้จะพิโรธ แต่ในใจกลับกำลังคิดคำนวณว่าจะรั้งตัวหลิงมู่เอ๋อร์ไว้อย่างไรเพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากไท่จื่อ สรุปแล้ว คนทั้งสามแต่ละคนล้วนมีความในใจ
“พระวรกายของไท่จื่อไม่ค่อยดีจริงๆ เพคะ ไฟในตับโชติช่วง ส่วนไตก็อ่อนแออยู่บ้าง เช่นนี้แล้วกันเพคะ หม่อมฉันจะถวายการฝังเข็มให้ไท่จื่อสองสามเข็มเช่นกัน ไท่จื่อทรงลองทอดพระเนตรผลลัพธ์ดู”
หลิงมู่เอ๋อร์ถามอย่างลองเชิง หลังจากได้รับการอนุญาตจากไท่จื่อ นางก็รีบนำเข็มเงินออกมาจากกล่องยาทันที
เพียงแต่เข็มเงินที่นางหยิบออกมานั้น ถึงกับใหญ่เป็นสิบเท่าของเข็มเงินทั่วไป เห็นดวงตาของไท่จื่อที่ประหม่าขึ้นมาทันที นางยังจงใจปลอบ “ไท่จื่ออย่าทรงเห็นว่าเข็มใหญ่ แต่ผลลัพธ์ดีมากเพคะ เข็มนี้เมื่อฝังลงไป รับรองว่าไม่ว่าโรคใด ไท่จื่อก็ทรงไม่มีแล้วเพคะ”
พูดจบ หลิงมู่เอ๋อร์หยิบเข็มขึ้นมาทำท่าจะแทงลงไป ไท่จื่อตกใจจนกระโดดขึ้นมา ยื่นมือชี้หน้าของนาง “เจ้า เจ้าจงใจ”
“หม่อมฉันจะกล้าได้อย่างไรเพคะ พระวรกายของไท่จื่อมีความผิดปกติจริงๆ หากมิทรงเชื่อ หาหมอหลวงสักคนมาตรวจก็ทราบแล้วเพคะ ทว่าหม่อมฉันเชื่อว่า เหล่าหมอหลวงไม่มีทักษะไม่เหมือนผู้ใดเช่นหม่อมฉัน ไท่จื่อไม่ทรงลองดู ช่างน่าเสียดายจริงๆ เพคะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบางมองเขา ทำเอาไท่จื่อพิโรธจนมุมปากกระตุกไม่หยุด “ข้าขอเตือนเจ้าหลิงมู่เอ๋อร์ เรื่องที่เจ้าแอบซ่อนตัวมือสังหารข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้า อย่าได้คิดว่าข้าจะยอมละมือแต่เพียงเท่านี้”
ที่หลิงมู่เอ๋อร์ต้องการก็คือผลลัพธ์นี้ ไท่จื่อผู้นี้หากเกิดความสนใจในตัวนางขึ้นมาจริงๆ นั่นจึงจะแย่ที่สุด
“ไท่จื่อเหยียทรงยกยอหม่อมฉันเกินไปเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่มือไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่ จะมีความกล้ามากขนาดนั้นได้อย่างไร อีกอย่าง หรือว่าวันนั้นที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว ยังไม่ชัดเจนเพียงพออีกหรือเพคะ”
เมื่อพูดถึงซั่งกวนเซ่าเฉิน ไท่จื่อยิ่งมีไฟโทสะเต็มท้อง ฝ่ามือออกแรงบีบข้อมือของนาง “หลิงมู่เอ๋อร์ ข้าขอสั่งให้เจ้ารีบอธิบายมาทันที ซั่งกวนเซ่าเฉินมีฐานะใดกันแน่? หากเจ้าไม่พูด…”
“หากหม่อมฉันไม่พูด ไท่จื่อจะทรงคิดทำเช่นใดกับหม่อมฉันเพคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ถามกลับด้วยท่าทีที่ราวกับไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน
ในยามปกติ ที่ไท่จื่อเหยียรังเกียจที่สุดก็คือการข่มขู่ของสตรี
สตรีนางนี้ไม่รู้จักดีชั่วเลยจริงๆ!
“เหยีย!” มองไท่จื่อที่คิดจะนำตัวหลิงมู่เอ๋อร์ไปที่หลังฉากบังลมอย่างทำอะไรไม่ถูก ไท่จื่อเฟยรีบเอ่ยปาก อยู่ด้วยกันมาเกินสิบปี นางจะไม่เข้าใจอารมณ์และนิสัยของไท่จื่อได้อย่างไร ในยามที่ไท่จื่อพึ่งเข้าประตูมานั้น ก็ต้องตาหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว ตอนนี้ผสมกับไฟโทสะ มิรู้ว่าจะทำสิ่งใดที่ต้องเสียใจหรือไม่
หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบมองนางอย่างขอบคุณ จากนั้นก็ดึงสายตากลับมาที่ไท่จื่อ “ไท่จื่อทรงสงสัยฐานะของคู่หมั้นหม่อมฉัน ถามหม่อมฉันก็ไม่มีประโยชน์เพคะ เพราะหม่อมฉันก็ไม่ทราบ ทว่า เรื่องที่หม่อมฉันไม่รู้ มิได้หมายความว่าผู้อื่นก็ไม่รู้เช่นกัน ในเมื่อไท่จื่อทรงสงสัย มิสู้ทรงลองไปตรวจสอบ หลังสืบพบอย่าทรงลืมบอกหม่อมฉันสักคำนะเพคะ”
ไท่จื่อมองนางอย่างละเอียด หางตาและหางคิ้วล้วนเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ
ผู้อื่น? ในบรรดาบุรุษที่หลิงมู่เอ๋อร์มีการติดต่อด้วย นอกจากซูเช่อแล้วก็คือองค์ชายเจ็ด อย่างไรกัน หรือว่าเรื่องที่แม้แต่เปิ่นไท่จื่อก็ไม่รู้ คนพวกนั้นต่างก็รู้?
“รออยู่ตรงนี้ให้เปิ่นไท่จื่อ!” รอเขาจัดการเรื่องข้างนอกเสร็จเรียบร้อย ค่อยมาจัดการนาง สตรีผู้นี้!
ไท่จื่อสะบัดแขนเสื้อจากไปพร้อมเพลิงพิโรธ
“แม่นางหลิง ไท่จื่อเหยียเพียงแต่ทรงยังไม่หายพิโรธเท่านั้น เจ้าวางใจ ข้าจะต้องให้เจ้าออกจากตำหนักรัชทายาทไปอย่างปลอดภัยแน่”
คำพูดของไท่จื่อเฟยทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ประหลาดใจอย่างมาก มอบสายตาขอบคุณให้นางครั้งหนึ่ง “ขอบพระทัยไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงมากเพคะ”
“อย่าได้รีบขอบคุณข้า ข้ามีนิสัยเช่นใด เชื่อว่าช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้สัมผัสนี้ แม่นางคงจะเข้าใจแล้ว ที่ข้าช่วยเจ้าแน่นอนว่าเพื่อตนเองเช่นกัน ความคิดเมื่อครู่ของเหยีย เชื่อว่าแม่นางก็คงคาดเดาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางคิดเช่นไร?”