เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 5 บทที่ 139 ผู้มีอำนาจ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 5 บทที่ 139 ผู้มีอำนาจ
เล่มที่ 5 บทที่ 139 ผู้มีอำนาจ
ในวังมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นคนโปรดเบื้องพระพักตร์ของฮ่องเต้ คำเดียวของเขาเหนือกว่าพันคำหมื่นคำของผู้อื่น
ได้ยินว่ามีครั้งหนึ่ง เป็นหวางโฮ่วเหนียงเหนียงทำให้เขาไม่พอใจ ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับไปก็ไปทูลฟ้องฝ่าบาท เหนียงเหนียงถึงกับถูกกักบริเวณหนึ่งเดือน
ครั้งนั้น เรื่องนี้ถูกลือไปทั่วพระราชวังทั้งมุมใหญ่มุมเล็ก ทุกคนต่างล้วนประหลาดใจ ที่แท้ซั่งกวนเซ่าเฉินกรอกยามอมเมาใดให้ฮ่องเต้กันแน่ จึงทำให้พระองค์เชื่อใจในตัวผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์ผู้หนึ่งถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นจริงก็คือ ฝ่าบาททั้งวางพระทัยและให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งสำหรับคำร้องขอของเขาแล้ว เมื่อมีการทูลขอก็จะได้รับการตอบรับอย่างแน่นอน
นายทหารหลวงทั้งหลายจะกล้าล่วงเกินซั่งกวนเซ่าเฉินที่มีอำนาจเทียมฟ้าได้อย่างไร อีกทั้งยังหาของกลางไม่พบอีก จึงได้แต่จากไปอย่างหดหู่
“ตัวไร้ประโยชน์!” หวางโฮ่วเหนียงเหนียงตวาดอย่างมีโทสะ หนึ่งฝ่ามือราวกับใช่เรี่ยวแรงไปมากกว่าครึ่ง ปลอกนิ้วยาวแหลมคมบาดใบหน้าของเขาจนเป็นแผลในเสี้ยววินาที
นายทหารหลวงที่รับผิดชอบการออกไปจับคน ทางหนึ่งกุมหน้า อีกทางหนึ่งคุกเข่ารับผิด “เป็นผู้น้อยไร้ความสามารถ หวางโฮ่วเหนียงเหนียงโปรดทรงอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ”
“หญิงสาวตัวเล็กๆ เพียงนางเดียวก็จับกลับมาไม่ได้ เจ้าลองพูดมา วังหลวงเลี้ยงพวกเจ้าไว้มีประโยชน์ใด?” หวางโฮ่วนั่งกลับไปยังบัลลังก์หงส์ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนเข่า โน้มร่างไปเบื้องหน้า สายตามองไปยังคนอีกกลุ่มที่ส่งออกไป “ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วหรือไม่ ไม่มีจริงหรือ?”
ที่แท้ผู้ที่แต่งกายปลอมเป็นชาวยุทธ์เป็นขันทีน้อย เสียงแหลมของเขาราวกับเป็ด “ทูลตอบหวางโฮ่วเหนียงเหนียง บ่าวตรวจสอบในร้านแลกเงินในเมืองหลวงและบริเวณโดยรอบแล้ว ล้วนไม่พบตั๋วเงินพวกนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ ที่ร้านอาหารก็ไม่มี ร้านแลกเงินยิ่งไม่มี หากนางมิได้ใช้ออกไป หรือว่าล้วนทิ้งไปหมดแล้ว” หวางโฮ่วหลับตาลง จากนั้นจึงหายใจเข้าลึกอีกครั้ง นั่นเป็นห้าพันตำลึงเต็มๆ เชียวนะ นางไม่เชื่อว่าเด็กสาวที่ออกมาจากชนบทจะใจกว้างเช่นนั้น แต่หากนางเคยใช้ออกไปแล้ว ตั๋วเงินของราชวงศ์จะต้องมีผู้ตรวจสอบพบอย่างแน่นอน หรือว่าหลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้มีฐานลับใด?
“ช่างเถอะ ส่งคนสองสามคนไปเฝ้านางไว้ให้ข้า ทันทีที่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ รีบแจ้งเปิ่นกงทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ เหนียงเหนียง”
จวนสกุลหลิง ทหารหลวงจากไปแล้ว ทุกคนต่างก็ทำการเก็บกวาดอีกครั้ง เรือนที่ถูกชายฉกรรจ์หยาบกระด้างเหล่านั้นรื้อค้น ยังรกเละเทะยิ่งกว่ายามย้ายบ้านมาเสียอีก หยางซื่อด้านหนึ่งเก็บกวาด ด้านหนึ่งหลั่งน้ำตา “นี่มู่เอ๋อร์ของพวกเราไปล่วงเกินผู้ใดกัน บ้านที่อยู่ดีๆ ถูกพวกเขากระทำจนเป็นเช่นนี้ เฮ้อ”
หยางซื่อเอาแต่ส่ายหัวถอนหายใจ ไม่ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะปลอบใจอย่างไร ในใจของนางล้วนแต่หดหู่
“มู่เอ๋อร์ แม่สงสารเจ้า ทั้งที่เป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำ แต่กลับถูกคนใส่ร้าย หากลือออกไป วันหลังไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านจะมองพวกเราอย่างไร”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบกอดแขนของนาง “ท่านแม่ ล้วนพูดแล้วว่านี่เป็นเหตุการณ์เข้าใจผิดเท่านั้น บัดนี้อธิบายชัดเจนก็ดีแล้ว ท่านดูสิ มู่เอ๋อร์มิใช่ยืนอยู่เบื้องหน้าของท่านอย่างดีหรือ?”
“นั่นยังมิใช่เพราะมีเจ้าหนุ่มเฉินหรือ วันนี้หากมิใช่เพราะเขาเร่งมาได้ทันเวลา หากเจ้าถูกคนพวกนั้นจับเข้าไปจริงๆ เล่า?” หยางซื่อไม่กล้าแม้จะคิด ได้ยินว่าทันทีที่เข้าไปในคุกหลวง คนเป็นก็ล้วนแต่ถูกทรมานจนตายไปครึ่งตัว แล้วนับประสาอะไรกับบุตรสาวที่เป็นสาวน้อยบอบบางนางหนึ่ง
หยางซื่อพลันนึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้ รีบหยุดความเคลื่อนไหวในการเก็บกวาดห้องลง “มู่เอ๋อร์ ไม่อย่างนั้นพวกเรากลับไปกันเถิด ต่อให้ไม่กลับหมู่บ้านสกุลหลิง ไปที่ตัวอำเภอก็ได้ เมืองหลวงแห่งนี้ใหญ่เกินไป ไม่เหมาะกับครอบครัวซื่อๆ อย่างพวกเราจริงๆ นะ แม่เป็นห่วงเจ้าจริงๆ”
“ไม่ ข้าไม่กลับไป” ท่าทีของหลิงมู่เอ๋อร์หนักแน่น “เมืองหลวงแม้จะซับซ้อน แต่ไม่ง่ายเลยที่พวกเราจะปักหลักได้อย่างมั่นคง หากกลับไปในตอนนี้ ใจของข้าไม่ยินยอมเจ้าค่ะ”
“พวกเราไม่มีอำนาจไม่มีกำลัง หากถูกคนรังแกอีกจะทำเช่นใด? เจ้าหนุ่มเฉินทำงานให้ฮ่องเต้ จะต้องมียามที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าจะให้พ่อกับแม่มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร” หยางซื่อร้องไห้จนน้ำตาน้ำมูกเต็มไปหมด ใจดวงหนึ่งแตกเป็นแปดเสี่ยง
ที่นอกประตู หลิงจือเซวียนที่กำลังคิดจะมาช่วย เมื่อได้ยินคนทั้งสองสนทนากัน ร่างที่ยืนอยู่ที่เดิมก็เปลี่ยนเป็นแข็งค้าง มือที่จับอยู่บนกรอบประตูก็กำเป็นหมัดแน่น
ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาพลันบุกเข้าไปในห้อง จับมือหลิงมู่เอ๋อร์ได้ก็ออกเดิน “มู่เอ๋อร์ ข้ามีคำพูดจะพูดกับเจ้า”
นางไม่เคยเห็นหลิงจือเซวียนสูญเสียการควบคุมเช่นนี้มาก่อน ฝีเท้าของเขาเร็วมาก ทำให้นางต้องวิ่งเหยาะๆ ตลอดทางจึงสามารถตามทันได้ ข้อมือก็ถูกเขาบีบจนเจ็บ ทั้งใบหน้ายิ่งเย็นเยียบเคร่งขรึม
“พี่ชาย ท่านเป็นอะไรไป? เหตุใดจึงโมโหมากถึงเพียงนี้ มีอะไรก็พูดตรงนี้เถอะ”
ออกจากเรือนของท่านแม่ มายังข้างกำแพง รอบด้านไม่มีคน หลิงมู่เอ๋อร์รีบสะบัดมือของเขาออกทันที “แสดงออกอย่างเร่งร้อนเช่นนี้มิใช่ตัวท่าน พี่ชาย หากเป็นเพราะเรื่องในวันนี้ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเอง”
“เจ้าจะจัดการอย่างไร?” หลิงจือเซวียนเค้นถาม “บอกข้ามาตามตรง หวางโฮ่วองค์ปัจจุบันเป็นคนที่มีนิสัยแปลกประหลาด วันนี้คนผู้นั้นก็ตั้งข้อสงสัยว่าเจ้าขโมยของของหวางโฮ่ว เหตุใดเขาต้องจงใจหาเรื่องเจ้า เหตุใดจึงต้องใส่ร้ายเจ้า? มู่เอ๋อร์ ข้ารู้ว่าตอนนี้ข้างกายของเจ้ามีเจ้าหนุ่มเฉินคอยปกป้อง แต่นั่นอย่างไรก็เป็นหวางโฮ่ว!”
หลิงจือเซวียนหลับตาลงแล้วเปิดขึ้นอีกครั้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ
วันนี้เขากำลังวิเคราะห์ข้อสอบที่อาจจะออกสอบในปีนี้กับท่านอาจารย์พอดี ผลคือ มีคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน ไม่พูดอะไรก็จับคนทั้งหมดในบ้าน แม้แต่ครอบครัวของอาจารย์ก็ไม่เว้น พูดอะไรบางอย่างความว่าจะจับตัวไปเข้าคุก
หวางโฮ่วเหนียงเหนียงเป็นถึงมารดาของแผ่นดินในรัชกาลปัจจุบัน หากนางมีความตั้งใจจะเล่นงานมู่เอ๋อร์แล้วละก็ ครั้งนี้ล้มเหลวแล้วจะต้องมีครั้งที่สองอย่างแน่นอน
“มู่เอ๋อร์ ท่านแม่พูดไม่ผิด หากครอบครัวของเรามีอำนาจมีกำลังแล้วละก็ ก็จะไม่ถูกคนมารังแกตามใจเช่นนี้ คนพวกนั้นต่อให้ต้องการจะลงมือกับเจ้า ก็ต้องใคร่ครวญอย่างหนักก่อนจึงจะลงมือ” ดวงตาของหลิงจือเซวียนแน่วแน่ ในนาทีนี้ ราวกับได้ทำการตัดสินใจในบางสิ่งที่เด็ดขาด
หลิงมู่เอ๋อร์มองเขาด้วยสายตาที่ซับซ้อน “พี่ชาย ท่านเป็นอะไรกันแน่ ท่านคิดจะทำอะไร?”
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจของนางจึงรู้สึกกระสับกระส่าย
“ข้าเป็นพี่ชายของเจ้า และเป็นลูกชายคนโตของสกุลหลิง เดิมการแบกรับภาระอันหนักหน่วงของสกุลหลิงนี้เป็นของข้า มู่เอ๋อร์ สองปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว ต่อไปเรื่องทั้งหมดก็มอบให้ข้าเถิด”
หลิงจือเซวียนลูบผมของนางอย่างอ่อนโยน ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็หมุนกายจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยเห็นหลิงจือเซวียนที่เป็นเช่นนี้มาก่อน บนร่างของเขาราวกับแบกสัมภาระอันหนักหน่วงไว้ ใกล้จะกดทับเขาจนหายใจไม่ออก
พี่ชายคิดอยากจะปกป้องน้องสาว ผู้เป็นน้องสาวย่อมมีความสุขอย่างแน่นอน แต่ว่าหลิงจือเซวียนในยามนี้ ต่อให้ถูกจัดลำดับเป็นหนึ่งในคุณชายแห่งเมืองหลวง แล้วจะทำสิ่งใดได้? หรือว่า…
หลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงสิ่งใดขึ้นมาได้ รีบไล่ตามหลิงจือเซวียนไป คว้ามือของเขาบังคับให้เขาสบตากับตน “พี่ชาย ท่านจะทำสิ่งใด? วันนี้หากท่านไม่พูดให้ชัดเจน ข้าก็จะไม่ให้ท่านไป”
“มู่เอ๋อร์เจ้าฟังข้าพูด ข้าเป็นพี่ชาย เจ้าทำเพื่อสกุลหลิงมามากพอแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่ข้าควรแบกรับสกุลหลิงแล้ว ข้าจะปกป้องเจ้า” หลิงจือเซวียนจับไหล่ของนาง พูดอย่างจริงจังเป็นพิเศษ
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์มีความสุขเป็นอย่างมาก ความอบอุ่นที่ไม่มีในชาติก่อน ในชาตินี้ล้วนได้รับแล้ว นางรู้สึกว่าตนเองโชคดีเป็นพิเศษจริงๆ แต่ว่าหลิงจือเซวียนเป็นคนที่มีความสามารถ ยิ่งเป็นบุรุษที่มีพรสวรรค์ เป็นเพราะเรื่องเล็กน้อยไม่ควรทำให้เขาต้องเสียเวลา
“ท่านจะช่วยอย่างไร? เสียสละอนาคตของตนเองหรือ? ข้าเป็นคนแรกที่ไม่ยอมรับปาก!”
เห็นน้องสาวมีท่าทีเด็ดขาด ใบหน้าหล่อเหลาของหลิงจือเซวียนจนใจอย่างมาก “มู่เอ๋อร์ หรือตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ? ต่อให้เจ้าเป็นเซียนแพทย์ที่มีชื่อเสียงสูงส่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับผู้ที่มีอำนาจและความมั่งคั่ง ท่านแม่พูดถูก หากพวกเรามีกำลังมีอำนาจแล้วละก็ ต่อให้คนพวกนั้นต้องการรังแกพวกเรา ก็จะต้องชั่งน้ำหนักผลลัพธ์ ข้าขอเพียงให้เจ้าปลอดภัย ท่านพ่อท่านแม่ปลอดภัย ให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้ทั้งนั้น”
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์กระตุกทีหนึ่ง ในใจหม่นหมองและเจ็บปวดเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเอง พี่ชายผู้มีความภาคภูมิใจในตนเองอย่างแรงกล้าผู้นี้ยังปฏิเสธความหวังดีของคนผู้นั้นอยู่เลย บอกว่าจะสอบให้ได้ตำแหน่งจ้วงหยวนด้วยตนเองเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตน แต่พึ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน เขาก็เปลี่ยนความคิดแล้ว ก็เพื่อจะแบกรับความรับผิดชอบของผู้เป็นพี่ชาย?
ไม่ ไม่จำเป็น มีนางหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ ไม่จำเป็นต้องให้พี่ชายเสียสละตัวเอง
“เช่นนั้นท่านก็ฟังให้ดี พี่ชาย ข้าบอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องให้ท่านเสียสละตนเอง ก็คือไม่จำเป็น ท่านเพียงวางใจไปทำสิ่งที่ท่านอยากทำ ท่านจงคิดให้ดีว่า ตอนนั้นเหตุใดจึงต้องการเรียนกับผู้อาวุโสโจว? เหตุใดท่านจึงจะต้องไปสอบเคอจวี่ให้ได้? ส่วนสกุลหลิง ทุกเรื่องล้วนมีข้าอยู่”
ไม่ให้เวลาหลิงจือเซวียนได้ใคร่ครวญอีก ก่อนหลิงมู่เอ๋อร์จากไปได้ขู่เขาอย่างจริงจังว่า “หากท่านกล้าไปทำสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ ชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่มีพี่ชายเช่นท่านอีก”
หลังจากปลอบใจทุกคนจนเรียบร้อย วันถัดมาหลิงมู่เอ๋อร์จึงได้ไปที่ตำหนักรัชทายาท เดิมคิดว่าไท่จื่อเฟยจะต้องพิโรธเป็นอย่างมาก แต่ครั้งนี้หลังจากที่เห็นนาง ก็เปลี่ยนจากท่าทีในยามปกติ เป็นเกรงใจขึ้นมา
“ข้าได้ยินแล้ว ทหารหลวงไปก่อเรื่องใหญ่ที่จวนสกุลหลิงสมควรจะโดนจัดการสักรอบจริงๆ ถึงอย่างไรร่างกายนี้ของข้าก็มิได้พึ่งเป็นมาวันสองวัน ไม่ขาดช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้” ไท่จื่อเฟยไม่เพียงไม่โมโหกับการมาสายของนาง ในทางกลับกัน ยังให้สาวใช้ไปเตรียมชาให้นางอย่างยิ้มแย้มด้วย
แม้จะไม่รู้ว่าในใจของสตรีนางนี้กำลังดีดลูกคิดใด หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงลุกขึ้นยอบกายให้นางอย่างถูกต้องตามธรรมเนียม “หม่อมฉันขอบพระทัยที่ไท่จื่อเฟยเห็นใจเพคะ ขอให้เหนียงเหนียงโปรดวางพระทัย พระวรกายของพระองค์ หม่อมฉันจะต้องรักษาให้หายแน่ มิทำให้ทรงผิดหวัง”
พูดจบ นางก็ตรวจชีพจรให้นางอีกครั้ง มิได้เห็นความเหี้ยมโหดที่วาบผ่านไปในก้นลึกแห่งดวงตาของไท่จื่อเฟย
“พิษหญ้าฝรั่นที่อยู่ในพระวรกายของเหนียงเหนียงได้ถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้วเพคะ แต่ในพระวรกายยังมีความเย็นหลงเหลืออยู่บางส่วน ต่อจากนี้หม่อมฉันจะฝังเข็มให้เหนียงเหนียง แล้วค่อยเขียนใบสั่งยาให้พระองค์อีกสองสามชุด ไม่เกินหนึ่งเดือนจะต้องมีข่าวดีแน่นอนเพคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในเสี้ยววินาที ไท่จื่อเฟยก็พลันยินดีอย่างมากขึ้นมาทันที “จริงหรือ? มิใช่บอกว่าต้องใช้เวลาครึ่งปีหรือ?”
นี่เหมือนจะเป็นข่าวดีที่สุดที่นางได้ยินในช่วงนี้แล้ว ไท่จื่อเฟยยินดีอย่างยิ่งโดยมิไม่คาดฝัน กำลังคิดจะให้สาวใช้หยุดการเคลื่อนไหว เสียดายที่อีกฝ่ายได้ไปถึงเบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้น สาวใช้ค้อมเอว คนทั้งสองเข้าใกล้กัน อย่างไม่ทันระวัง น้ำชาร้อนเดือดจอกหนึ่งก็ร่วงหล่นลงมา
แม้นางหลบได้รวดเร็วไม่ลวกถูกผิวหนัง เสื้อผ้าบริเวณหน้าอกก็เปียกโชกไปหมด
สาวใช้เมื่อเห็นดังนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นทันที “ขอให้แม่นางโปรดอภัยด้วย ข้า ข้ามิได้ตั้งใจจริงๆ เจ้าค่ะ” นางรีบมองไปที่ไท่จื่อเฟยทันที กล่าวบทพูดที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วออกมา “เหนียงเหนียง บ่าวเพียงแค่คิดจะมอบน้ำชาให้แม่นางอุ่นกายเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าแม่นางจะลุกขึ้นกะทันหัน ขอเหนียงเหนียงโปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ”
เดิมหลิงมู่เอ๋อร์คิดบันดาลโทสะ แต่เมื่อเห็นสาวใช้หวาดกลัวจนจะใกล้ร้องไห้ออกมา คำตำหนิจึงติดอยู่ในลำคอ กลับเป็นไท่จื่อเฟย ฝ่ามือหนึ่งตบลงไป ทำให้สาวใช้หน้าแดงเถือกไปครึ่งหน้าทันที “นังบ่าวสารเลว แม่นางเซียนแพทย์นั้นเป็นหมอประจำตัวของเปิ่นกง เจ้ายกน้ำชาก็ไม่มีตาหรือ?”
ยามมองหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง บนใบหน้าของไท่จื่อเฟยเต็มไปด้วยการขอโทษ “ล้วนเป็นข้ารับใช้คนนี้ของข้าที่ตาบอด ทำให้เสื้อผ้าของเจ้าเปียกโชกไปหมดแล้ว อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ระวังจะทำให้ร่างกายเย็นเอาได้ มิสู้เยี่ยงนี้ ในห้องของข้ายังมีอาภรณ์ใหม่อีกสองสามชุดที่ยังไม่ได้สวมใส่ แม่นางหลิงอย่าได้รังเกียจเลยนะ?”