เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 5 บทที่ 138 จุดจบ
เล่มที่ 5 บทที่ 138 จุดจบ
ความหมายของหลิงมู่เอ๋อร์ง่ายมาก นางไม่รู้จักหวางโฮ่ว ไม่มีทางมีความเกี่ยวพันกับหวางโฮ่วมากเกินไป และก็ไม่มีทางช่วยนางทำสิ่งใด ทันทีที่รักษาหญิงวิปลาสของจวนตระกูลซูจนหาย ก็จะตัดความสัมพันธ์กับพวกเขา ความร้ายแรงในเรื่องนี้นางไม่รับรู้ทั้งสิ้น ภายหน้าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้น นางก็เป็นผู้บริสุทธิ์
ซูเหล่าฟูเหรินได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ซูเช่อพึ่งกลับมาจากด้านนอก จากไกลๆ ก็เห็นเงาร่างอรชรนั้น ความไม่พอใจที่มีอยู่เดิมถูกกวาดหายไปหมด เขารีบเข้าไปใกล้ “บังเอิญเสียจริง แม่นางหลิง?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่แม้แต่จะมองเขาตรงๆ อ้อมผ่านร่างกายของเขาจากไปโดยไม่สนใจใคร ก่อนจากไปบนร่างยังแผ่กลิ่นอายเย็นชาอยู่สองสามส่วน
อารมณ์ของหลิงมู่เอ๋อร์ปกติแล้วจะดีเป็นอย่างมาก ต่อให้ถูกเขายั่วโกรธแล้ว ก็จะไม่ขุ่นเคืองจริงๆ เป็นผู้ใดทำให้นางโมโหเช่นนี้?
มองบริเวณที่ไม่ไกลนักอีกครั้ง ท่านย่ายืนอยู่ที่หน้าประตู หัวคิ้วของซูเช่อขมวดแน่น “หากท่านย่ามีที่ใดที่ทำร้ายเจ้า ข้าขออภัยเจ้าแทนนางด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ตอบ แต่เพิ่มความเร็วของฝีเท้า
เมื่อซูเช่อเห็นเช่นนั้น ยิ่งคว้าข้อมือของนางไว้ ออกแรงทีหนึ่ง ก็ดึงหลิงมู่เอ๋อร์เข้าสู่อ้อมกอด มือทั้งสองจับต้นแขนของนางไว้ “หลิงมู่เอ๋อร์!”
ซู่เช่อไม่เคยเรียกนางด้วยชื่อแซ่พร้อมกันเช่นนี้ การกระทำของเขาหยาบกระด้าง มือที่ยึดต้นแขนไว้นั้นทำให้หลิงมู่เอ๋อร์เจ็บ ฝ่ายหลังออกแรงเพียงเล็กน้อยก็สามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของเขา เห็นว่าซูเช่อจะประชิดเข้ามากุมตัวนางอีกครั้ง ร่างกายที่คล่องแคล่วของนางก็หลบหลีกไปอีกครั้งหนึ่ง
“ข้าขอเตือนท่าน ซูเช่อ ข้ามิใช่คนดีอะไร เสียเปรียบแล้วก็มิใช่ผู้ที่จะไม่แก้แค้น ข้าไม่คิดจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับจวนจวิ้นอ๋องของท่าน ทางที่ดีท่านก็อย่าได้บังคับข้า ยังมี หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ เจ้าก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า!”
แม้คำกล่าวสุดท้ายจะดูเกินจริงไปเสียหน่อย แต่หากพัฒนาไปจนถึงจุดนั้นจริงๆ หลิงมู่เอ๋อร์ยินดีที่จะเสี่ยงสู้จนตัวตาย
ซู่เช่อถูกบรรยากาศที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของนางทำให้ตกใจไปเสียแล้ว เมื่อย้อนคิดถึงทักษะที่นางหลบหลีกอย่างคล่องแคล่วเมื่อครู่ ทำให้เขาไม่เพียงไม่โกรธ แต่ยังหัวเราะออกมาอย่างสนใจอีกด้วย “ข้ากลับไม่รู้ว่าเจ้ายังมีฝีมือเช่นนี้ เรียนกับผู้ใดกัน?”
หลิงมู่เอ๋อร์ร้องไห้อย่างไม่มีน้ำตา นางโมโหถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าคนผู้นี้มองไม่ออกหรือ
“มิน่า จวิ้นอ๋องน้อยหลายปีมานี้ยังคงอยู่อย่างโดดเดี่ยว เกรงว่าสตรีพวกนั้นคงรับนิสัยแปลกประหลาดเช่นนี้ของท่านมิได้กระมัง”
ขี้เกียจจะเล่นลิ้นกับเขา หลิงมู่เอ๋อร์ยกกล่องยาขึ้นมาได้ก็จะจากไป จากที่ไกลยังมีเสียงสบายอกสบายใจของซูเช่อดังมา “นอกจากเจ้าแล้ว ข้างกายของเปิ่นจวิ้นหวางก็มิอาจรั้งผู้ใดได้อีก ยามใดที่แม่นางหลิงเปลี่ยนความตั้งใจ สามารถมาที่จวนจวิ้นอ๋องของข้าได้ทุกเมื่อ เปิ่นหวางจะต้อนรับด้วยตนเองอย่างแน่นอน”
“ประตูจวนจวิ้นอ๋องของข้าจะเปิดสำหรับเจ้าเสมอ”
นั่งอยู่ในรถม้า หลิงมู่เอ๋อร์เอนอยู่บนพนักพิง ถอนใจครั้งหนึ่งพักผ่อนอย่างเงียบๆ เดิมคิดจะไล่เรื่องปวดหัวทั้งหมดนี้ออกไป แต่คำพูดพวกนั้นและภาพเหตุการณ์ ราวกับหยั่งรากฝังลึกอย่างมั่นคงก็ไม่ปาน ไม่ว่าอย่างไรก็ปัดออกไปไม่พ้น หลิงมู่เอ๋อร์สะบัดหัว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในก้นบึ้งของดวงตาเต็มไปด้วยความว้าวุ่น
“หยุดดด” รถม้าหยุดลงอีกครั้ง หลิงมู่เอ๋อร์เลิกม่านขึ้นอย่างหมดความอดทน “เกิดสิ่งใดขึ้นอีกละ?”
ที่เข้าสู่นัยน์ตา ก็เห็นซางจือวิ่งเข้ามาเบื้องหน้าอย่างเร่งร้อน “คุณหนู คุณหนูท่านรีบกลับไปดูที่บ้านเถิดเจ้าค่ะ มีทหารของทางการจำนวนมากเฝ้าอยู่หน้าจวนสกุลหลิง ถึงกับจะจับตัวนายท่านและฟูเหรินไปด้วย ช้าอีกก็จะไม่ทันการณ์แล้วเจ้าค่ะ”
จะยังสนใจเข้าวังหลวงไปรักษาอาการให้ไท่จื่อเฟยอีกได้อย่างไร หลิงมู่เอ๋อร์ถึงกับขับรถม้าด้วยตนเอง
ไม่ทันระวังไปล่วงเกินผู้ใดเข้าอีกเล่า? หลิงมู่เอ๋อร์ร้อนใจจนแย่แล้ว แต่ถึงจะร้อนใจอย่างไร ก่อนที่นางจะออกเดินทางก็ยังไม่ลืมให้ซางจือไปส่งข่าวให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน
กลับมาถึงจวนสกุลหลิง ทั้งภายนอกและภายในล้วนเต็มไปด้วยทหารของทางการ กองทหารหลวงในชุดศึกสีเหลืองสด เป็นคนของวังหลวง?
และในยามนี้ ท่านพ่อท่านแม่ ยังมีท่านยายและพวกท่านลุง ทุกคนล้วนถูกทหารของทางการควบคุมตัวไว้ นี่จะส่งไปที่ใดกัน
“หยุดนะ พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงจับตัวคนในครอบครัวของข้า?” หลิงมู่เอ๋อร์กระโดดลงมาจากรถม้า ขวางอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นหัวหน้าโดยตรง
หยางซื่อเห็นบุตรสาวกลับมา ก็รีบส่ายหัวร้องตะโกน “มู่เอ๋อร์ มู่เอ๋อร์เจ้ารีบไปเร็วเข้า”
อีกฝ่ายเมื่อได้ยินคำนี้ ก็ส่งสายตาให้ลูกน้อง มีคนยกกระบี่ประจำกายชี้มาที่หน้าของนางทันที “เจ้าใช่หลิงมู่เอ๋อร์หรือไม่?”
“ใช่”
ผู้เป็นหัวหน้าไม่คิดว่านางจะเปิดเผยรวบรัดเช่นนี้ แต่ก็ยิ่งไร้ไมตรี “พาตัวนางไปให้ข้า!”
ไร้ต้นสายปลายเหตุ เหตุใดจึงต้องจับคน?
เพียงจับแขนโยนข้ามไหล่ครั้งหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ก็จัดการทหารที่เข้ามาประชิดได้อย่างง่ายดาย และคว้ากระบี่พกของเขามาอย่างมือไวตาไว พาดไว้บนลำคอของผู้เป็นหัวหน้า การเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่องราวเมฆาเคลื่อนสายน้ำไหล ทำให้ผู้คนไม่อาจรับมือ
“ตอบคำถามเมื่อครู่ของข้า พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงจับตัวท่านพ่อท่านแม่ของข้า?”
“เจ้า เจ้าปล่อยข้า!” ผู้เป็นหัวหน้าถูกรัศมีที่แข็งแกร่งของนางทำให้หวาดกลัวจนแย่แล้ว
ยามนี้ สีแดงสดในก้นลึกของดวงตาหลิงมู่เอ๋อร์ราวกับจะพ่นเปลวเพลิงออกมา ริมฝีปากที่เปิดออกราวจะสามารถกลืนกินเขาลงไปได้ เขารีบเอ่ยปากอย่างตะกุกตะกักว่า “หวางโฮ่วเหนียงเหนียง เป็นหวางโฮ่วเหนียงเหนียงออกคำสั่งให้พวกข้ามาจับพวกเจ้า”
“หวางโฮ่ว? เพราะเหตุใด?” เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมเปิดปาก มือที่ถือกระบี่พกของหลิงมู่เอ๋อร์ออกแรงเล็กน้อย ลำคอที่เดิมขาวบอบบางของอีกฝ่ายก็ปรากฏสีแดงสดขึ้นมาทันที
“ข้าพูดข้าพูด” เจ็บแปลบขึ้นมา ผู้เป็นหัวหน้าหวาดกลัวจนแย่แล้ว กลัวว่าสตรีนางนี้หากไม่ระวังแม้เพียงครั้งเดียว ก็จะหั่นศีรษะของเขาจนขาดไป “เป็นหวางโฮ่วเหนียงเหนียงตรัสว่าทรงทำของที่ทรงรักมากหาย และช่วงนี้ ก็มีแต่แม่นาง ท่านที่เข้าใกล้เหนียงเหนียง เหนียงเหนียงจึงส่งพวกข้ามานำตัวท่านไปทำการไต่สวน”
ที่แท้ นี่ก็คือผลลัพธ์ในการล่วงเกินนางที่ป้าเฉินกล่าวถึง
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเสียงเย็น “คนที่พวกเจ้าต้องการหาคือข้า ปล่อยท่านพ่อท่านแม่ของข้า!”
ผู้เป็นหัวหน้าจะกล้าต่อรองกับเทพอสูรได้อย่างไร สายตาหนึ่งส่งไป พวกของหยางซื่อล้วนถูกปล่อยตัวทันที
“มู่เอ๋อร์ มู่เอ๋อร์ ที่แท้เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่?” หยางซื่อตกใจจนกลัวแล้ว หยดน้ำตาร่วงลงมาเป็นสาย
“ข้ามิได้ขโมยสิ่งของของหวางโฮ่ว ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด” มอบสายตาที่สงบมั่นคงให้กับทุกคน
หลิงมู่เอ๋อร์ถือกระบี่หมุนรอบสามร้อยหกสิบองศา ปกป้องคนในครอบครัวไว้ด้านหลัง จากนั้นจึงมองไปยังทหารหลวงผู้เป็นหัวหน้า “เจ้าบอกว่าหวางโฮ่วเหนียงเหนียงทรงทำของหาย และยังตรัสว่าเป็นข้าขโมยไปให้เจ้ามาจับคน เหอะ เช่นนั้นเจ้าลองพูดมา เหนียงเหนียงทำของสิ่งใดหายหรือ?”
หากนางมิได้เดาผิดแล้วละก็ จะต้องเกี่ยวข้องกับตั๋วเงินห้าพันตำลึงนั้นอย่างแน่นอน
ตั๋วเงินเป็นของที่พิมพ์โดยทางการ ด้านบนมีตราประทับของราชวงศ์ ตอนนี้ ป้าเฉินร่วมมือกับนางไม่สำเร็จจึงจงใจเหลือของสิ่งนี้ทิ้งไว้ นี่ก็เพื่อในภายหน้า เมื่อพวกนางได้พบกันอีกครั้ง จะได้วางกับดักเล่นงานนาง
น่าเสียดาย หวางโฮ่วไม่ว่าจะคิดคำนวณเป็นพันครั้งหมื่นครั้ง ก็ไม่มีทางคิดได้ว่าสิ่งของจะอยู่ในมิติของนาง
ยามนี้ ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ถูกซางจือพามาแล้ว เมื่อเข้าประตูมาก็เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าทันที ขาบินของเขาแตะผู้เป็นหัวหน้าออกไป มือใหญ่โบกสะบัด คุ้มครองหลิงมู่เอ๋อร์ไว้เบื้องหลัง ส่งเสียงดังอย่างโมโหว่า “นี่เป็นเรื่องใดกัน? พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นคู่หมั้นของข้า?”
กล่าวจบ ซั่งกวนเซ่าเฉินก็มองหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่เบื้องหลังอย่างอ่อนโยนไร้ใดเปรียบ “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์มิได้กล่าววาจา เพียงแต่ส่ายศีรษะ
ทุกคนจะคิดถึงได้อย่างไรว่า ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงผู้เป็นที่โปรดปรานข้างพระวรกายของฮ่องเต้ จะเป็นคู่หมั้นของนักโทษที่ต้องมาจับตัวในวันนี้
ผู้เป็นหัวหน้ากุมหน้าอกที่ถูกถีบจนเจ็บ กล่าวถึงพระราชเสาวนีย์ของหวางโฮ่วเหนียงเหนียงออกมาอย่างละเอียด
ซั่งกวนเซ่าเฉินตะโกนเสียงดัง “เป็นไปไม่ได้! มู่เอ๋อร์ของข้ามิใช่คนเช่นนั้น”
รู้ว่าเรื่องนี้หากยืนกรานทำเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่มีผลลัพธ์ หลิงมู่เอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของซั่งกวนเซ่าเฉิน ใช้สายตาส่งสัญญาณว่าเรื่องนี้มอบให้นางเป็นผู้จัดการ
“เจ้ายังมิได้ตอบคำถามเมื่อครู่ของข้า เจ้าลองพูดมาว่า ข้าลักขโมยสิ่งใดของเหนียงเหนียงมา? เจ้านำตัวข้ากลับไปได้ แต่จะอย่างไรก็ต้องหาของกลางให้พบกระมัง?”
นายทหารหลวงตะลึง เหนียงเหนียงบอกแต่ให้จับคน มิได้บอกว่าเป็นสิ่งใดนี่ ลูกตาของเขากลิ้งกลอกไม่หยุด พูดมั่วไปว่า “เป็นตั๋วเงิน”
จูชิงเฟิงที่อยู่เบื้องหลังหัวเราะออกมาแล้ว “ฮ่าๆๆ ผู้เป็นถึงมารดาของแผ่นดิน กลับพกตั๋วเงินไว้กับตัว เจ้าเด็กนี่จะพูดโกหกก็ไม่ร่างบทไว้ให้ดี”
นายทหารหลวงแทบอยากจะหารูบนพื้นมุดลงไป เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินจะบันดาลโทสะ หลิงมู่เอ๋อร์รีบเอ่ยปากว่า “ได้ ในเมื่อเจ้าบอกว่าเป็นตั๋วเงินเช่นนั้นก็ใช่เถิด ในเมื่อจะจับข้า ก็จะต้องมีของกลางจึงจะได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้นำตัวข้ากลับไป ข้าก็ไม่มีทางยอมรับ มิเป็นการทำลายความน่ายำเกรงของหวางโฮ่วหรือ เจ้าว่าถูกหรือไม่?”
นายทหารหลวงมองนางตาค้าง มีผู้ใดกันจะถูกจับอยู่แล้วยังจะเสนอให้หาของกลางอีก ทว่า มีซั่งกวนเซ่าเฉินอยู่ที่นี่ พวกเขาจะกล้าหาจริงๆ ได้อย่างไร?
“จวนสกุลหลิงของข้าไม่ใหญ่ พวกเจ้าสามารถหาได้อย่างละเอียด หากหาพบแล้วข้าจะไปกับพวกเจ้า หากหาไม่พบ ก็ขอเชิญพวกเจ้าไสหัวกลับไปที่เดิม!”
เสียงคำรามที่ด้วยโทสะ ทำให้ทุกคนตกใจจนชะงัก ใครจะคิดว่า หญิงสาวที่ดูไปแล้วอ่อนแอบอบบาง จะมีพลังระเบิดที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
กำลังภายในที่แผ่ออกมารอบกายนาง แม้จะใช้เพียงหนึ่งส่วน ก็เพียงพอให้พวกเขาคุกเข่าวิงวอนอยู่กับพื้น
คนทั้งหมดเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่กล้าขยับแม้แต่คนเดียว
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างสงสัย แต่เมื่อเห็นความมั่นใจที่ฉายอยู่บนใบหน้าของนาง ก็อ่านเข้าใจความหมายของนาง “พวกเจ้ายังตะลึงอยู่ทำไม ให้พวกเจ้าค้นก็ค้น!”
ใต้เท้าก็เอ่ยปากแล้ว พวกเขายังจะกล้ายืนไม่ขยับได้อย่างไร ทุกคนขานรับว่า “ขอรับ” จากนั้นก็กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดทาง
หลิงต้าจื้อไม่เข้าใจว่าบุตรสาวต้องการทำสิ่งใด แต่ขอเพียงให้คนพวกนี้ค้นแล้ว มิเท่ากับทำให้บุตรสาวตกเป็นนักโทษลักทรัพย์ไปจริงๆ หรอกหรือ? “มู่เอ๋อร์ ค้นไม่ได้นะ เรื่องที่เจ้าไม่ได้ทำ จะให้พวกเขาค้นห้องส่วนตัวได้อย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่า ท่านพ่อกำลังรักษาชื่อเสียงของนาง เนื่องจากในยามนี้ ด้านนอกมีชาวบ้านมากมายมามุงดูอยู่
นางส่ายหัวอย่างไม่เป็นอะไร “ไม่มีปัญหาใดท่านพ่อ ร่างตรงย่อมไม่กลัวเงาเอียง [1] หากไม่ให้พวกเขาค้นหาอย่างละเอียดแล้ว เห็นข้าเป็นนักโทษลักขโมยจับตัวไป จะอย่างไรนั่นก็เป็นถึงสิ่งของที่หวางโฮ่วทำหาย หากไม่มีหลักฐาน มิเป็นการทำให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าหวางโฮ่วใส่ร้ายคนดีหรือ? ดังนั้นไม่เพียงต้องค้น ยังต้องค้นอย่างละเอียดด้วย ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพ่อ”
คำนี้เมื่อกล่าวออกไป เหล่าราษฎรที่ชมความครึกครื้นอยู่ก็พากันถอนใจอย่างชื่นชมในการกระทำของหลิงมู่เอ๋อร์
“แม่นางเซียนแพทย์จะเป็นพวกโจรขโมยได้อย่างไร นางจิตใจดีงามจะตาย จะต้องเป็นหวางโฮ่วเหนียงเหนียงเข้าใจผิดอย่างแน่นอน”
“ถูกต้อง ค้นให้ละเอียด จะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้คุณหนูของพวกเรา”
หลิงมู่เอ๋อร์มองทุกคนอย่างขอบคุณ แอบจดจำความดีของพวกเขาไว้ในใจ แต่เมื่อเพียงคิดถึงหวางโฮ่วเหนียงเหนียง เล็บยาวของนางก็ออกแรง นิ้วทั้งห้าดังเอี๊ยดอ๊าด
ยื้ออยู่ข้างกายครึ่งปียังไม่พอ ยังใช้ลูกไม้เช่นนี้ทำให้นางศิโรราบอีก?
ดี นางก็จะสู้กับนางจนถึงที่สุด
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหล่าทหารหลวงทั้งหมดที่กระจายออกไป ก็กลับมาสั่นหัวเหมือนกันทั้งหมด สีหน้าของผู้เป็นหัวหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “เหตุใดจึงไม่มีเล่า? ได้ค้นอย่างละเอียดแล้วจริงหรือ?”
เขาจงใจพูดว่าที่ทำหายเป็นตั๋วเงิน ก็เพราะคิดว่าเรือนที่ใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่มีทางไม่มีตั๋วเงินแม้แต่ฉบับเดียว ขอเพียงหาพบแล้ว เขาก็สามารถจับคนกลับไปส่งมอบงานได้ แต่แม่นางเซียนแพทย์ผู้นี้ดูเหมือนจะยากจนเกินไปแล้ว
“ในเมื่อหาไม่พบ ก็เป็นการพิสูจน์ว่าของมิใช่คู่หมั้นของข้าขโมยไป เจ้ากลับไปบอกหวางโฮ่ว คิดอยากจะจับคนก็เอาหลักฐานที่เพียงพอออกมา ไม่เช่นนั้นข้าจะถวายฎีกากับฝ่าบาท ว่าเป็นหวางโฮ่วเหนียงเหนียงทรงมีเจตนาร้ายที่จะใส่ความ!”
เชิงอรรถ
[1] ร่างตรงย่อมไม่กลัวเงาเอียง เป็นสำนวนว่า หากทำสิ่งที่ถูกต้อง ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัว