เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 5 บทที่ 135 สมควรโดน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 5 บทที่ 135 สมควรโดน
เล่มที่ 5 บทที่ 135 สมควรโดน
เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ออกมาอย่างปลอดภัย ซูเช่อรีบพุ่งเข้าไป เห็นในอ้อมอกของนางโอบภาพอักษรไว้ น้ำเสียงยินดี “ดูท่าฝ่าบาทไม่ได้สร้างความลำบากให้เจ้า ฝ่าบาททรงประทานอักษรด้วยพระองค์เอง ภายหน้าโรงหมอของเจ้าต้องกิจการรุ่งเรืองเป็นแน่ พระเมตตานี้น้อยนักที่จะมีผู้ได้รับ”
ไม่ต้องให้ซูเช่อเตือน หลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้ว่า โดยปกติแล้วการพระราชทานรางวัลของฮ่องเต้มักจะเป็นเงินทองอัญมณี ผ้าไหมแพรพรรณเท่านั้น อีกทั้ง นางยังเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา หากฮ่องเต้ให้นางตรวจสุขภาพแล้วมีความสุขขึ้นมาชั่วคราว ยกพู่กันขึ้นมาประทานอักษรก็พอจะพูดได้ แต่มิได้ให้นางรักษาสิ่งใดเลย เพียงแค่ดูอย่างง่ายๆ เท่านั้น ใช้วาทศิลป์สองสามคำ ก็ได้รับรางวัลชิ้นใหญ่เช่นนี้ ทำให้นางไม่อาจไม่เกิดความสงสัย แต่คิดอยู่ครึ่งวัน ก็ยังคิดถึงเหตุผลไม่ออก
“กิจการโรงหมอของข้าเป็นที่นิยม จวิ้นอ๋องน้อยก็มิใช่เจริญรุ่งเรืองไปด้วยหรือ?” ยามนั้นได้รับปากแล้วว่าจะมอบหุ้นให้เขาหนึ่งส่วน แต่ตอนนี้แม้จะส่งเสียงเย้าแหย่ออกไป แต่ก็ไม่อาจกำจัดความหดหู่ในใจของนางไปได้
“ได้รับรางวัลชิ้นใหญ่ถึงเพียงนี้ยังก้มหน้าถอนใจ เจ้าก็ไม่ยินดีจะอยู่ด้วยกันกับข้าถึงเพียงนี้?”
สีหน้าของซูเช่อมืดมนและเย็นชา ในสมองคิดถึงสถานการณ์เอิกเกริกเมื่อครู่ยามไปที่จวนสกุลหลิง สมควรตาย ซั่งกวนเซ่าเฉินถึงกับไปสู่ขอแล้ว? เขาทำการอย่างอุกอาจเช่นนี้ ก็ไม่กลัวจะทำให้ท่านในวังผู้นั้นไม่พอใจหรือ?
หลิงมู่เอ๋อร์อยากโมโหใส่เขาที่รู้แล้วยังแกล้งถาม แต่ก็กลัวทำให้เขาตกใจจนหนีไป นางจำได้ว่าครั้งก่อนยามที่มาวังหลวงเพื่อตรวจอาการให้ไท่จื่อเฟยนั้น ถูกสาวใช้โยนทิ้งไว้กลางทาง ในวังหลวงแห่งนี้ หากไปเจอสุนัขบ้าที่ไม่รู้ชื่อเข้า นางจะต้องเสียสติเป็นแน่
“ยังขอเชิญให้จวิ้นอ๋องน้อยนำทาง ส่งข้าออกจากวัง หม่อมฉันขอขอบพระทัยจวิ้นอ๋องน้อยไว้ ณ ที่นี้ด้วยเพคะ”
คำว่า ‘หม่อมฉัน’นี้ ให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง ถูกลากไกลออกไปอีกอย่างสิ้นเชิง ลิ้นของซูเช่อดันกระพุ้งแก้มขวาแล้วหัวเราะออกมา “เพิ่งหมั้นหมายกับซั่งกวนเซ่าเฉิน ก็รีบปฏิเสธความสัมพันธ์กับชายอื่น เจ้าช่างโหดร้ายเสียจริง”
หลิงมู่เอ๋อร์ชายตามองเขาทีหนึ่ง ขี้เกียจจะสนใจเขา แต่ก็คิดถึงคำเตือนสุดท้ายของฮ่องเต้ ขึ้นมา นางรีบถามอย่างลองเชิงว่า “จวิ้นอ๋องน้อยมักเข้าออกวังหลวง ท่านเป็นผู้ที่ได้รับความโปรดปรานข้างกายของฝ่าบาทกระมัง?”
ถูกชมเข้าแล้ว ซูเช่อยกคิ้ว เชิดคางอย่างได้ใจ “ทำไม มีเรื่องขอร้องข้าหรือ?”
“ซั่งกวนเซ่าเฉินกับฮ่องเต่มีความสัมพันธ์ใดกัน?” หลิงมู่เอ๋อร์คนนี้ไม่ชอบอ้อมค้อม
ก็เห็นสีหน้าของซูเช่อแข็งค้างอย่างที่คิด “เรื่องนี้เจ้าไม่ไปถามคู่หมั้นของเจ้า มาถามศัตรูหัวใจเช่นข้า เหมาะแล้วหรือ?”
“ไม่พูดก็ช่างเถอะ”
ช่างเป็นการดีดพิณให้วัวฟังจริงๆ เจ้าตัวนี้ไม่ว่าในยามใดก็ไม่อาจแก้ความไม่จริงจังได้จริงๆ
“ดูท่าซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้บอกทุกเรื่องกับเจ้า?” จิ๊ๆๆ หลิงมู่เอ๋อร์ ข้าพลันรู้สึกว่าเจ้าน่าสงสารขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว
ซูเช่อขวางทางไปของนางอย่างน่าโดนเฆี่ยน มองสำรวจนางจากบนลงล่าง ไม่ว่าดูอย่างไรก็รู้สึกว่าหญิงสาวนางนี้เป็นคนฉลาดนี่นา เหตุใดจึงได้ดื้อรั้นในเรื่องของความรักเช่นนี้เล่า
ทว่า ในเมื่อซั่งกวนเซ่าเฉินไม่คิดจะพูดกับนางให้ชัดเจน เช่นนั้นเขาจะเป็นคนร้ายคนนั้นไปทำไม?
หลิงมู่เอ๋อร์มุ่งมั่นที่จะหลีกเลี่ยงจากความสัมพันธ์กับวังหลวง แต่กลับค่อยๆ ถูกผู้ที่นางเชื่อใจที่สุดดึงดูดเข้ามาสู่วังวนนี้ เขาสงสัยจริงๆ ว่า ในนาทีที่หลิงมู่เอ๋อร์ได้รู้ความจริงนั้น จะพลิกหน้าแตกหักกับซั่งกวนเซ่าเฉินหรือไม่?
“ขี้เกียจจะสนใจท่านแล้ว”
อ้อมข้ามร่างของซูเช่อไป ในยามที่ผ่านข้างกายของเขานั้น หลิงมู่เอ๋อร์ยังจงใจชนเขาออกไป เห็นได้ชัดว่าในยามนี้ ภายในก้นบึ้งของจิตใจนางไม่พอใจมากเพียงใด
ลูบไหล่ที่ถูกชน มุมปากของซูเช่ออมรอยยิ้มชั่วร้าย รีบตามขึ้นไป
“ฝ่าบาทตรัสสิ่งใดกับเจ้า? ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้เจ้าจริงๆ กระมัง?” ล้อเล่นส่วนล้อเล่น ในใจของซูเช่อยังคงเป็นห่วงหลิงมู่เอ๋อร์อย่างมาก
ในเวลาครึ่งชั่วยามที่นางเข้าไปนั้น อย่าได้กล่าวถึงว่าเขารู้สึกกระวนกระวายมากเพียงใด เขากระทั่งเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วว่า ในยามที่ฮ่องเต้จะลงโทษหลิงมู่เอ๋อร์ เขาจะบุกเข้าไปอย่างไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
แต่ท่าทางอัดอั้นตันใจไม่มีความสุขเช่นนี้ของนาง ทำให้เขาไม่อาจลงมือได้เลย
“ฝ่าบาทจะประทานสมรสให้ข้า คุณชายในเมืองหลวงไม่ว่าจะตระกูลใด แม้แต่ตระกูลโหวใดก็ได้” หลิงมู่เอ๋อร์ถอนใจครั้งหนึ่ง นางกำลังคิดว่าจะย้อนกลับไปพูดกับฮ่องเต้ให้ชัดเจนตอนนี้เลยดีหรือไม่ ว่านางมีผู้ที่ปลงใจแล้ว และได้ทำการหมั้นหมายกับอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกฝ่ายก็คือคนข้างกายของฝ่าบาท ไม่รู้ว่าหลังจากกล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมา หนึ่งหัวของนางจะพอให้หลุดหรือไม่
“เช่นนั้นเจ้ารับปากแล้ว?” ในเสี้ยววินาทีนั้น เขาพลันประหม่ากังวลขึ้นมา รีบจับมือของนางไว้ไม่ยอมปล่อย “หลิงมู่เอ๋อร์เหตุใดฝ่าบาทจึงจะประทานสมรสให้เจ้าอย่างกะทันหันขึ้นมาได้? หรือทรงไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับซั่งกวนเซ่าเฉิน?”
ที่แท้ พยัคฆ์หน้ายิ้มตัวนี้ ก็มีช่วงเวลาที่ประหม่ากังวลแบบนี้เช่นกัน
หลังจากที่อารมณ์พลุ่งพล่านไปเมื่อครู่ ซูเช่อจึงได้รู้ตัวว่าตนเองร้อนใจเพียงใด
ในเมื่อฮ่องเต้สามารถเรียกหลิงมู่เอ๋อร์ให้เข้าวังในยามวิกาลได้ และยังจงใจพูดถึงเรื่องที่นางหมั้นหมายแล้วหรือไม่อีก แล้วจะไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ของนางกับซั่งกวนเซ่าเฉินได้อย่างไร ทว่า ในเมื่อรู้แล้ว เหตุใดจึงยังยืนกรานจะประทานสมรสให้นางอีก?
ถูกแล้ว ด้วยความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ฮ่องเต้จะยอมให้คนผู้นั้นแต่งกับสตรีสามัญชนธรรมดาผู้หนึ่งได้อย่างไร?
“น้อยนักที่ฝ่าบาทจะประทานสมรสให้ใคร แม่นางหลิงหากไม่มีผู้ที่จะเลือก ก็เลือกข้าเถอะ?”
ซูเช่อยืนอยู่ที่เดิม เสยเส้นผมอย่างหล่อเหลา ดวงตารูปผลซิ่งทั้งคู่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ราวผ่านครั้งนี้ไปก็จะไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว
ท่าทางที่ชวนให้ทุบตีเช่นนี้ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์แทบอดไม่ได้ที่จะถีบเข้าที่เขาสักเท้า “ไสหัวไป!”
เห็นว่าคนทั้งสองใกล้จะถึงประตูวังแล้ว พลันเหล่าขันทีและนางกำนัลก็วิ่งออกมาจากตำหนักบางแห่ง แต่ละคนต่างมีสีหน้าที่หวาดกลัว
“เกิดเรื่องใดจึงได้ตื่นตระหนกเช่นนี้ เจ้าเป็นคนของตำหนักใดกัน?”
ซูเช่อรีบดึงขันทีน้อยผู้หนึ่งมาไต่ถาม เขาเป็นท่านอ๋องน้อย มีความรับผิดชอบในการตรวจสอบดูแลความไม่สงบในวังเช่นกัน
“หนูใช่ [1] คารวะจวิ้นอ๋องน้อย” ขันทีน้อยค้อมกายให้เขา จากนั้นก็หันมามองหลิงมู่เอ๋อร์ บนใบหน้าที่กระวนกระวายและตื่นตระหนกนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ร่างกายก็กำลังสั่น “จวิ้นอ๋องน้อยและแม่นางท่านนี้รีบใช้ทางอ้อมออกจากวังเถอะพ่ะย่ะค่ะ อย่าได้ไปเบื้องหน้าเด็ดขาด มีงูมากมายเต็มไปหมด ที่ด้านหน้ามีงูมากมายเต็มไปหมดจริงๆ รีบหนีเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่มีเวลามาสนใจว่าอีกฝ่ายเป็นท่านอ๋อง ขันทีน้อยรีบอ้อมผ่านร่างของซูเช่อ วิ่งหนีไปไกลแล้วหลิงมู่เอ๋อร์วิตกไปก่อน ยังคิดว่าครั้งนี้ที่นางเข้าวังมาก็จะพบกับอันตรายใดเข้าอีก เมื่อได้ยินว่าเป็นงู นางก็หลุดหัวเราะออกมา
“เจ้าเป็นคนทำ?”
ซูเช่อมองตำหนักที่อยู่ไกลออกไป จากนั้นก็มองหลิงมู่เอ๋อร์ที่หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาถามอย่างลองเชิง
“หืม? ข้านึกขึ้นได้แล้ว ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ในครั้งที่มาตรวจชีพจรให้ไท่จื่อเฟยหลงทางอยู่ในวังหลวง ไม่ทันระวังเดินไปถึงวังของซูเฟย และยังเกือบลงมือกับองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์อีก” ซูเช่อนึกถึงสิ่งที่ได้ยินมาเมื่อหลายวันก่อน จากนั้นสีหน้าเคร่งขรึม “นางรังแกเจ้า?”
ราวกับขอเพียงหลิงมู่เอ๋อร์ผงกศีรษะ เขาก็จะไปออกหน้าเพื่อนางอย่างไม่สนใจสิ่งใดทันที
ในก้นบึ้งหัวใจของหลิงมู่เอ๋อร์เกิดความตื้นตันขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ที่มากกว่านั้นคือความขุ่นเคือง “อยู่ในวังหลวงแห่งนี้ แม้เป็นสีดำก็สามารถถูกพูดว่าเป็นสีขาวได้ ทั้งที่ถูกคนบังคับพาตัวไป ก็กลายเป็นหลงทาง องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ผู้นั้นถือว่าทำตัวเองแล้ว”
เรื่องทุกอย่างในวันนั้น เป็นเพียงการโวยวายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางยังไม่นำมาอยู่ในสายตา หากมิใช่เหลียนเอ๋อร์ไม่รู้จักดีชั่ววางยานางก่อน วันนี้ย่อมไม่ได้รับการสั่งสอนเช่นนี้ เป็นนางสมควรโดน
“ยากนักที่จะเห็นเวลาที่เจ้าโมโหเช่นนี้” ซูเช่อมองใบหน้าของหน้าอย่างสนใจ โมโหขึ้นมาก็ยังน่ามองถึงเพียงนี้จริงๆ “จำไว้ วันหลังเรื่องเช่นนี้บอกคำหนึ่งก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าลงมือ”
กล่าวจบ ก็หมุนตัวของนาง จากไปในทิศทางตรงกันข้าม หลิงมู่เอ๋อร์ลองดิ้นรนอยู่สองสามที “ท่านจะพาข้าไปที่ใดกัน?”
“สถานที่สกปรกเช่นเบื้องหน้าไม่คู่ควรที่จะทำให้สายตาของเจ้าต้องแปดเปื้อน ข้าพาเจ้าออกทางประตูวังอื่น”
“ใครก็ได้ ใครก็ได้ช่วยข้า ข้ารับใช้ที่น่าตาย พวกเจ้าหนีไปไหนกันหมดแล้ว รีบเข้ามาเร็ว!”เสียงวิงวอนที่น่าอนาถเสียงหนึ่งดังออกมาจากในห้อง ครู่หนึ่งเมื่อไม่เห็นคน การขอความช่วยเหลือก็กลายเป็นด่าทอว่าด้วยความโมโห และออกคำสั่ง น่าเสียดายที่ยังคงไม่มีแม้แต่เงาคนเพียงเงาเดียวเข้ามา “อย่าเข้ามา พวกเจ้าอย่าเข้ามา เหตุใดจึงมีงูมากมายเช่นนี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ไม่เอา ข้าคือองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ พวกเจ้าไม่อาจรังแกข้าเช่นนี้”
ยามนี้ องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ได้ปีนขึ้นไปบนตู้ใบที่สูงที่สุดในห้องแล้ว แต่ยังคงถูกทำให้ตกใจจนขลาดกลัว ไม่ผิด ด้านล่างของนางมีงูที่ผอมเล็กนับไม่ถ้วน และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงเอาแต่วนอยู่รอบกายนาง ไม่ว่านางจะหลบไปที่ใด งูพวกนี้ก็ล้วนสามารถตามมาได้ ราวกับถูกสิ่งใดดึงดูดมาให้ขดตัวอยู่เบื้องล่าง อีกทั้งยังมีท่าทีว่าจะเลื้อยขึ้นมาด้วย
“ช่วยด้วย ช่วยชีวิตข้าด้วย! ที่นี่มีงูเต็มไปหมด มีใครมาช่วยข้าหรือไม่ ข้ากลัวเหลือเกิน” บนใบหน้าที่เดิมเต็มไปด้วยความเอาแต่ใจถูกคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด หยดน้ำตาของเหลียนเอ๋อร์ยิ่งร่วงหล่นลงมาไม่หยุด แต่ไม่ว่านางจะร้องเรียกอย่างไร ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าเข้าไป
ในวังหลวงจะมีงูได้อย่างไร ต่อให้คนเหล่านั้นเป็นบ่าวรับใช้ เป็นหญิงรับใช้ แต่ก็กลัวถูกเจ้าสิ่งนี้กัดเข้าสักคำเหมือนกันนี่นา ใครจะไปรู้ว่ามีพิษหรือไม่?
อีกอย่าง ในยามปกติองค์หญิงเหลียนเอ๋อร์เอาแต่ใจและเกเรจนเกินไป และมักจะรังแกข้ารับใช้ ในยามนี้ ทุกคนไม่ซ้ำเติมก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“สมควรตาย พวกเจ้าล้วนสมควรตาย! ไม่เข้ามาใช่หรือไม่ รอข้ามีชีวิตรอดออกไป ข้าจะต้องให้พวกเจ้าแต่ละคนหัวหลุดจากบ่า ให้เสด็จพ่อประหารพวกเจ้าเก้าชั่วโคตร กรี๊ด…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขององค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ดังออกมาจากในห้อง ก็ไม่รู้ว่าเป็นงูตัวน้อยเลื้อยขึ้นไปบนร่างของนางทำให้หวาดกลัวหรือไม่
“ช่วยชีวิตด้วย…ช่วยชีวิตด้วย ข้าไม่อยากตาย ข้าผิดไป ข้าจะไม่ลงโทษพวกเจ้าตามใจอีก มีใครมาช่วยข้าได้หรือไม่!”
เสียงร้องอย่างตื่นตระหนกเสียงหนึ่งดังกว่าอีกเสียงหนึ่ง เหลียนเอ๋อร์หวาดกลัวจนแย่แล้วจริงๆ นางบิดตัวไม่หยุด กระโดดอยู่บนพื้นไม่หยุด นางรู้สึกเพียงว่าตนใกล้จะตายลงได้ทุกเมื่อ
ไม่ ที่แท้เป็นผู้ใดลงมือกับนางอย่างชั่วร้ายเช่นนี้ หากถูกนางสืบออกมาได้ จะต้องให้มันไม่ได้ตายดี
“องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์ สถานการณ์ภายในเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? นอกประตูมีงูฝูงหนึ่งขวางอยู่ พวกเราเข้าไปไม่ได้ ทรงลองดูว่าสามารถกระโดดออกมาจากทางอื่นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ด้านนอกมีเสียงองครักษ์ดังเข้ามา แต่คำพูดนี้พูดแล้วเท่ากับไม่ได้พูด กลับทำให้องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์โมโหมากขึ้นไปอีก “หากข้าสามารถออกไปได้ ยังจะมีพวกเจ้าไว้ทำไมอีก ข้ารับใช้ที่สมควรตาย รีบคิดหาวิธีให้เปิ่นกง ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้า”
คำพูดนี้เมื่อกล่าวออกไป เหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกพากันยิ้มเย็น ถึงขนาดยากจะช่วยเหลือตัวเองแล้วยังจะแสดงท่าทีเป็นองค์หญิงผู้สูงส่งอีก
แต่ละคนสบตากันครั้งหนึ่ง ทำเป็นเมื่อครู่มิได้ปรากฏกายขึ้นมาก่อน อย่างไรซะ เสียงหยาบห้าวของบุรุษก็ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน ต่อให้องค์หญิงเหลียนเอ๋อร์โชคดีรอดชีวิตออกมาได้ ก็ไม่มีทางรู้ว่าผู้ที่พูดกับนางเป็นใคร
เป็นเวลานานไม่ได้ยินเสียง เหลียนเอ๋อร์ยิ่งหวาดกลัวกว่าเดิมแล้ว “คนละ เหตุใดคนหายไปแล้ว คนที่พึ่งพูดเมื่อครู่ละ ไสหัวเข้ามาให้เปิ่นกงจู่นะ!”
ยามนี้ ต่อให้นางตะเบ็งเสียงจนคอแตก ก็ไม่มีแม้แต่ครึ่งเสียงตอบรับนาง เหลียนเอ๋อร์ยิ่งลนลานแล้ว “ข้าผิดไปแล้ว ครั้งนี้ข้ารู้ว่าผิดไปแล้วจริงๆ ขอร้องพวกเจ้าอย่าดูความสนุกอยู่ด้านนอก คิดหาวิธีช่วยข้าออกไปดีหรือไม่ หากผู้ใดช่วยข้า ข้าจะรีบขอให้เสด็จพ่อเลื่อนตำแหน่งให้เจ้าสามขั้นทันที หรือว่า…กรี๊ด…! ”
เชิงอรรถ
[1] หนูใช่ เป็นสรรพนามที่บ่าวรับใช้ ใช่เรียกแทนตนเอง