เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 5 บทที่ 129 รับน้ำใจ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 5 บทที่ 129 รับน้ำใจ
เล่มที่ 5 บทที่ 129 รับน้ำใจ
องค์ชายเจ็ดสมรส ฝ่าบาทประทานทิงหลันสุ่ยเซี่ย [1] เป็นจวนที่พำนัก ด้านนอกและในคฤหาสน์ล้วนเป็นสีแดงเพลิง ครึกครื้นเป็นอย่างมาก
ได้ยินว่าเจ้าสาวเป็นหลานสาวของราชครูในรัชกาลปัจจุบัน ราชครูนั้นเป็นขุนนางเก่าสามสมัย ในอดีตยังเคยเป็นอาจารย์ของเหล่าองค์ชายทั้งหลาย ควบคุมขุมอำนาจฝ่ายหนึ่ง ฮ่องเต้เพื่อชักจูงข้าราชสำนัก จึงพระราชทานสมรสให้คนทั้งสอง หากมิใช่เพราะปีนั้นองค์ชายเจ็ดหนีการแต่งงาน กลัวว่าตอนนี้องค์ชายน้อย คงสามารถเรียกเสด็จพ่อได้แล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์อยากรู้ว่า พิธีแต่งงานขององค์ชายในยุคโบราณจะเอิกเกริกเพียงใด ตั้งแต่เช้าก็ถูกซั่งกวนเซ่าเฉินรับตัวมา
องค์ชายเจ็ดอยู่ในเมืองหลวงมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ดีมาก และก็รู้จักวางตัว ไม่เพียงมีขุนนางในราชสำนักกว่าครึ่งติดตาม เหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ของแต่ละตระกูลในเมืองหลวงก็สละชีวิตติดตามเช่นกัน ดังนั้น ในงานพิธีสมรสขององค์ชายเจ็ด จึงสามารถเห็นเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ของเมืองหลวงได้มากกว่าครึ่ง
เสียงกลองเสียดฟ้า ประทัดดังกังวาน ได้เวลามงคลแล้ว เจ้าสาวถูกคนใช้เกี้ยวแปดคนหาม แบกเข้าประตูจวน ส่วนองค์ชายเจ็ดแม้จะสวมชุดมงคลตลอดร่าง บนใบหน้ากลับมองไม่เห็นร่องรอยของความยินดีแม้แต่น้อย กระทั่งโทสะคุกรุ่น ราวกับผู้ที่อยู่ในงาน ต่างก็ติดหนี้เขาสองห้าแปดหมื่นกระมัง
“ที่ไม่รู้ยังคิดว่าวันนี้องค์ชายเจ็ดมาเอาชีวิตนะ ดูท่าเจ้าสาวผู้นี้ ภายหน้าคงได้รับความลำบากแล้ว” เนื่องจากความสัมพันธ์กับซั่งกวนเซ่าเฉิน หลิงมู่เอ๋อร์จึงถูกจัดอยู่บริเวณที่นั่งระดับสูง ด้านหนึ่งกินขนม อีกด้านชะเง้อมองห้องโถงด้านหน้า ส่งเสียงแล้วส่ายศีรษะไม่หยุด
“นับแต่โบราณ ราชวงศ์ล้วนแต่ไร้ไมตรี เดิมก็เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการเกี่ยวดองด้วยผลประโยชน์ ใครจะดีไปกว่าใครกัน” ซั่งกวนเซ่าเฉินหัวเราะเสียงเบา ดูท่า เขาก็รู้ถึงเรื่องราวระหว่างองค์ชายเจ็ดและเซิงเอ๋อร์เช่นกัน
นั่นสิ องค์ชายเจ็ดทั้งใจคิดจะแต่งเซิงเอ๋อร์เข้าจวน แต่ติดที่ฐานะของทั้งสองฝ่าย ที่ต่างกันราวฟ้าและดิน บัดนี้ จะต้องแต่งกับสตรีที่ตนไม่ได้รักเข้ามาอีก ในใจของเขาย่อมรู้สึกไม่ดีแน่ ได้ยินว่าองค์ชายเจ็ดแต่ไรมาก็รักมั่นใจเดียว และไม่ชมชอบสตรีไปทั่ว ไม่เช่นนั้น จนถึงบัดนี้ ข้างกายยังคงไม่มีแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียง
“เสร็จพิธี”
ต่อจากเสียงร้องสูง คนทั้งหมดก็ยืนขึ้นปรบมือกล่าวอวยพร เจ้าสาวถูกส่งเข้าห้องหอ ต่อจากนั้น ก็เป็นคนทั้งมวลไปคารวะสุราองค์ชายเจ็ด
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เพียงพาหลิงมู่เอ๋อร์มาเท่านั้น ยังเป็นตัวแทนมาส่งของขวัญแสดงความยินดีแทนฝ่าบาทด้วย
“รอข้าที่นี่” เขากำชับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จากนั้นก็รุดเข้าไปในกลุ่มฝูงชนที่ครื้นเครง
ยามนี้ เป็นเวลาที่เหล่าขุนนางกล่าวอวยพรองค์ชายเจ็ด ฐานะของหลิงมู่เอ๋อร์มีความพิเศษ ไม่สะดวกที่จะร่วมด้วย จึงมองดูกลุ่มคนอย่างอิสรเสรีด้วยความสุข แม้แต่ซูเช่อมาอยู่ข้างกายเมื่อใดก็มิได้สังเกตเห็น “ข้ายังคิดว่า งานแบบนี้เจ้าไม่สนใจจะมาร่วมเสียอีก ว่าอย่างไร จะเตรียมพร้อมสำหรับงานแต่งงานของตนเอง จึงมาหาประสบการณ์หรือ?”
เห็นได้ชัดว่าซูเช่อดื่มสุราไปไม่น้อย ทั่วทั้งร่างมีกลิ่นสุราคละคลุ้งไปหมด แก้มก็แดงระเรื่ออยู่บ้าง
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว ถอยหลังครึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว เว้นระยะห่างจากเขา “อื้ม มีความคิดเช่นนี้อยู่จริง ถึงเวลานั้นจะต้องเชิญจวิ้นอ๋องน้อยมาดื่มสุรามงคลแน่”
สตรีที่กล้าหาญนางนี้ ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่พอใจ ยังขี่อยู่บนหัวเสือดึงหนวดพยัคฆ์อีก
ซูเช่อกัดฟัน แทบอดไม่ไหวที่จะนำสตรีนางนี้กลับจวนไปจัดการนาง
“หลิงมู่เอ๋อร์ อย่าโทษว่าข้าไม่เคยเตือนเจ้า ซั่งกวนเซ่าเฉิน คนผู้นั้นเจ้าไม่อาจควบคุมได้” น้ำเสียงของซูเช่อราบเรียบ สายตาก็เรียบเฉย แต่ก็เป็นความสงบที่แตกต่างจากยามปกตินั่นเอง ที่ทำให้คนยิ่งรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง
พยัคฆ์หน้ายิ้มตัวนี้ วันนี้ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี รอยยิ้มรอยหนึ่งก็ยังหวงแหนที่จะมอบให้คน หลิงมู่เอ๋อร์เพ่งมองเขาจากบนลงล่างอย่างตั้งใจทุกรายละเอียด จากนั้นก็มองซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้ง นางยิ้มออกมาอย่างสุภาพ “ขอบคุณจวิ้นอ๋องน้อยมากที่เตือน แต่จะทำอย่างไรดีเล่า ข้าก็ชอบบุรุษที่มีความท้าทายเช่นนี้”
มองดูมุมปากของเขากระตุกไม่หยุด ราวกับสามารถจะระเบิดได้ทุกเมื่อ หลิงมู่เอ๋อร์กลับมาพูดเรื่องจริงจัง “แต่ว่า โจวฉี่เยี่ยนกับเรื่องเมื่อวาน ขอบคุณมาก!” สองมือประสาน ยอบกายให้เขา หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่า เมื่อวานที่เขาบุกเข้าไปในโรงหมออย่างกะทันหัน ก็เป็นเพราะเรื่องที่ไท่จื่อมาหาเรื่องนาง
ซูเช่อผู้นี้เย่อหยิ่งถึงเพียงนั้น แต่มักจะปรากฎกายออกมาช่วยเหลือ น้ำใจนี้นางรับไว้แล้ว
“ก็ขอบคุณเช่นนี้?” ซูเช่อไม่พอใจ ยกจอกสุราขึ้นมายื่นไปเบื้องหน้าของนาง “ดื่มเป็นเพื่อนข้าสักสองสามจอก การขอบคุณนี้ข้าก็จะรับไว้”
หากนางไม่ดื่มเล่า?
หลิงมู่เอ๋อร์อยากถาม แต่นางมีความรู้สึกอย่างหนึ่ง ทันทีที่นางเปิดปากปฏิเสธ จวิ้นอ๋องน้อยจะต้องทำเรื่องที่สั่นสะท้านฟ้า สะเทือนดิน จนทวยเทพร่ำไห้ออกมาแน่
นางไม่อยากเป็นตัวละครเอกของงานมงคลในวันนี้หรอกนะ
รับจอกสุรามา หลิงมู่เอ๋อร์กำลังวางแผนจะดื่มให้หมดในครั้งเดียว หางตาพบว่า มีเงาร่างหนึ่งเดินผ่านไปอย่างเศร้าหมอง
“ช่วยแจ้งพี่บุญธรรมแทนข้า ข้ามีเรื่องต้องไปก่อนก้าวหนึ่ง สุราจอกนี้ของเจ้า ก็ขอติดค้างไว้” ส่งจอกสุราไปยังฝ่ามือของซูเช่ออย่างรีบร้อน หลิงมู่เอ๋อร์หมุนกายได้ก็วิ่งไปทันที
ซูเช่อคิดอยากยื่นมือไปจับไว้ ความเร็วของหลิงมู่เอ๋อร์ไวเกินไป ทำให้เขาคว้าได้แต่ความว่างเปล่า เพียงพริบตาเดียว ก็จากไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เขาหัวเราะเยาะตนเอง
เขาจำได้ว่า เขาซึ่งเป็นพยัคฆ์หน้ายิ้มตัวนี้นั้น ไม่กินคนกระมัง
“พี่เซิงเอ๋อร์” หลิงมู่เอ๋อร์กางแขนทั้งสองข้างออกขวางอยู่เบื้องหน้าของเซิงเอ๋อร์ ไม่ต่างจากที่คิด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ดวงตาคู่หนึ่งแดงราวกับกระต่าย
ในยามที่พึ่งมาถึงนั้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็ตั้งใจอย่างละเอียด ไม่เห็นตัวของเซิงเอ๋อร์ ยังคิดว่านางจะหลบอยู่ที่บ้านเสียอีก การเห็นคนที่ตนรักแต่งกับสตรีอื่นด้วยตาของตนเช่นนี้ ในใจจะรู้สึกทรมานเพียงใดกัน?
“ไป ไปที่แห่งหนึ่งกับข้า”
ไม่รอให้นางปฏิเสธ หลิงมู่เอ๋อร์จับมือของนางได้ก็ออกเดิน
เหลาอาหารสกุลหลิง ห้องส่วนตัว หลิงมู่เอ๋อร์นำเหล้าองุ่นที่พึ่งหมักออกมาใหม่ล่าสุดวางไว้เบื้องหน้าของนาง มิได้กล่าวคำเริ่มต้นที่ไร้ประโยชน์แม้แต่คำเดียว ยกจอกสุราขึ้นมาอย่างไม่อ้อมค้อม “หมดจอก!”
เซิงเอ๋อร์ตะลึงไปก่อน ไม่นานนางก็หัวเราะออกมา เปิดเผยห้าวหาญอย่างที่สุด “ดี พวกเราไม่เมาไม่กลับ”
แม้หลิงมู่เอ๋อร์ในชาติก่อนจะไม่เคยมีความรัก แต่นางก็เข้าใจดีว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทุกข์ใจเพราะความรักนั้นเจ็บปวดเพียงใด วิงวอนแต่มิอาจได้มา เช่นนั้นเทียบกับการสังหารนางแล้ว ยังทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเป็นหมื่นเท่าเสียอีก
วันนี้ที่เซิงเอ๋อร์ไปสถานที่จัดงาน ก็เพื่อให้ตนเองคุ้นชินกระมัง แต่เมื่อกลับมา ยังต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไร คอยเฝ้าอยู่ข้างกายขององค์ชายเจ็ดอย่างสงบเสงี่ยม ช่างเป็นโชคชะตาที่เล่นตลกกับคนเสียจริง
เรื่องของความรู้สึก มีหรือที่จะเป็นไปตามใจคน?
“ขอบคุณเจ้า มู่เอ๋อร์” หลังจากที่สุราสองสามจอกลงไปอยู่ในท้อง เห็นได้ชัดว่าเซิงเอ๋อร์เริ่มเมาบ้างแล้ว ไวน์แดงมีแต่ออกฤทธิ์ช้า แสดงให้เห็นว่าตัวเซิงเอ๋อร์นั้น สุรามิได้ทำให้คนเมามาย แต่กลับเป็นคนที่มอมเมาตนเอง
“ท่านต้องการจะตกต่ำ เทพเจ้าก็มิอาจช่วยท่านได้ แต่ท่านจะต้องเติบโต หาหนทางรอดในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด พี่เซิงเอ๋อร์ ที่จริงแล้วผลลัพธ์เช่นนี้ นับตั้งแต่ท่านถูกเขาไถ่ตัว ก็มิใช่ว่าคาดเดาได้แล้วหรือ?” ในเมื่อรู้คำตอบอยู่นานแล้ว เหตุใดจึงต้องให้ตนเองทุกข์ทรมานเช่นนี้เล่า? หลิงมู่เอ๋อร์ปลอบใจคนไม่ค่อยเป็นนัก แต่เมื่อเห็นเซิงเอ๋อร์เสียใจ นางก็อดเกิดอารมณ์ร่วมไม่ได้
สวรรค์ช่างดีต่อนางเหลือเกิน นางมีซั่งกวนเซ่าเฉินคอยรักตามใจ ส่วนเซิงเอ๋อร์ก็ไม่เหมือนกัน องค์ชายเจ็ดผู้นี้ วันนี้หลังจากแต่งงานก็ไม่อาจมีอิสรเสรีเช่นเดิมอีกแล้ว ต่อให้เขาจะไม่โปรดปรานชายาเอกของตนอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติต่อนางโดยคำนึงถึงฐานะของนาง คนเขาเป็นหลานสาวของราชครู ที่มีอำนาจชักนำราชสำนัก ฐานะของสกุลเดิมยิ่งใหญ่เกินไป สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของบุรุษได้ เชื่อว่าหลังจากนี้ ในยามที่องค์ชายเจ็ดต้องการไปหาเซิงเอ๋อร์ ก็ต้องชั่งน้ำหนักถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาให้ดีจึงจะได้
“เจ้าไม่เข้าใจ มู่เอ๋อร์ ในยามที่เจ้ารักใครสักคนอย่างแท้จริง เจ้าก็จะเข้าใจ ต่อให้ที่เขาแต่งด้วยมิใช่เจ้า เจ้าก็ยังอยากเห็นเขามีความสุขด้วยตาตนเอง ถึงแม้ว่าเจ้าสาวจะเป็นผู้อื่น อย่างน้อยเจ้ากับเขาก็เคยยืนอยู่ร่วมกันในฤกษ์มงคลมาก่อน”
หลังจากเซิงเอ๋อร์พูดจบ สุราอีกจอกหนึ่งก็ลงไปอยู่ในท้อง มองดูหญิงสาวที่ในอดีตเจิดจรัสราวกับดอกกุหลาบดอกหนึ่ง บัดนี้กลับต้องเจ็บปวดถึงเพียงนี้ หลิงมู่เอ๋อร์เพียงแค่มองดูก็รู้สึกว่าหัวใจได้แหลกสลายลงแล้ว
ขอเพียงกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงหนึ่งวันไม่ยอมอ่อนข้อ ต่อให้องค์ชายเจ็ดต้องการแต่ง เซิงเอ๋อร์ก็ไม่อาจแต่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้ยังเป็นเวลาสำคัญสำหรับการคัดเลือกผู้สืบทอดบัลลังก์อีก
นอกจากองค์ชายเจ็ดจะไม่ต้องการราชบัลลังก์ แต่หากเขาไม่ต้องการละก็ ก็คงไม่มีทางกลับมาเมืองหลวงอย่างเชื่อฟังแน่
“มู่เอ๋อร์ ยังมีอีกหรือไม่? สุรานี้ของเจ้าช่างอร่อยจริงๆ ในความหวานมีความขื่น เมื่อลิ้มรสอย่างละเอียดแล้ว ยังมีรสเปรี้ยวอีกเล็กน้อย” ก็ราวกับความในใจของนาง ไม่อาจหวานขึ้นมาได้อีกตลอดกาลแล้ว
“ร้านอาหารของข้าอะไรก็มีไม่มาก แต่สุรากลับมีพอ พี่เซิงเอ๋อร์ในเมื่อชอบถึงเพียงนี้ ข้าดื่มเป็นเพื่อนท่าน จะดื่มมากเท่าใดข้าล้วนดื่มเป็นเพื่อนท่าน” เสียงของเซิงเอ๋อร์ยิ่งมายิ่งเบา จนท้ายที่สุด นางกลับร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
“เจ้ารู้หรือไม่ หลังจากติดตามองค์ชายเจ็ด นานแล้วที่ข้าไม่ได้ดื่มสุราอย่างอุกอาจเช่นนี้ เมื่อก่อนอยู่ที่หอยวนยางมีวันใดที่มิได้เมามาย ที่แท้ ติดตามอยู่ข้างกายของเขานานแล้ว ก็ทำให้ข้าลืมไปว่า ตนเองเป็นคนที่สกปรก…” สตรีนางหนึ่งไม่อาจได้มาซึ่งบุรุษและความรักที่ตนต้องการ ก็ราวกับแผ่นฟ้าที่อยู่บนหัวของนางผืนนั้น ได้ถล่มลงมาแล้ว
เดิมก็เป็นเพียงแค่กบในกะลา ฟ้าเมื่อถล่มลงมา ก็ราวกับตัดขาดลมหายใจทั้งหมดของนางไป
เทียบกับสังหารนางทั้งเป็นแล้ว ยังทุกข์ทรมานยิ่งกว่า
“ในใจขององค์ชายเจ็ดมีท่านอยู่ ไม่อย่างนั้น วันนี้ก็คงไม่เคร่งเครียดเช่นนั้นอยู่ตลอด พี่เซิงเอ๋อร์ เขาคงไม่รู้ว่า ท่านเคยไปปรากฏตัวมาก่อนกระมัง?”
เซิงเอ๋อร์พยักหน้า นางจะกล้าบอกองค์ชายเจ็ดได้อย่างไร หากเขาเกิดทำสิ่งใดที่ล้ำเส้นออกมา ความอดทนพยายามในหลายปีมานี้ของเขาก็ล้วนสูญเปล่าแล้ว
หากเป็นเพราะนางทำให้อนาคตขององค์ชายเจ็ดต้องเสียหายขึ้นมาจริงๆ นางเต็มใจที่จะโขกศีรษะตายเสียเดี๋ยวนี้เลย
“ข้าเคยสาบานไว้ว่า ในงานเลี้ยงแต่งงานของเหยียจะต้องมีข้า บัดนี้ทำได้แล้วก็เพียงพอแล้ว ส่วนเหยีย ไม่จำเป็นต้องรู้อย่างละเอียดถึงเพียงนี้ เขาเพียงแต่มีความสุขก็พอ”
ช่างเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ
ตนเองถูกทำร้ายจนไม่เหลือชิ้นดี ยังคิดว่าผู้อื่นจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ หากมิใช่เข้าใจนิสัยขององค์ชายเจ็ด นางอยากจะใช้หนึ่งฝ่ามือ ตบเขาให้ตื่นขึ้นมาจริงๆ
“สุราหมักนี้ออกฤทธิ์แรงในภายหลัง พี่เซิงเอ๋อร์ทานสิ่งนี้ลงไปก่อน สามารถบรรเทาอาการปวดหัวได้” หลิงมู่เอ๋อร์หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากอก ขณะที่กำลังจะส่งให้นาง ก็เห็นเซิงเอ๋อร์หัวเอียง เมาล้มลงบนโต๊ะเสียแล้ว
นางได้แต่ข้ามไปประคองนางขึ้นมา ประตูห้องส่วนตัวพลันถูกคนเปิดออก หลิงมู่เอ๋อร์หันสายตาไป ความประหลาดใจในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นความยินดีทันที “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่เล่า”
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองการกระทำของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างสงสัย “นาง ดื่มมากไปเท่าใดแล้ว?”
“ติดอยู่กับความรัก จึงยากนักที่จะเลี่ยงมิให้ถูกรักทำร้าย พี่ใหญ่มาได้จังหวะพอดี ช่วยข้าประคองร่างของนางหน่อย นี่คือยาลูกกลอนสร่างเมา จำเป็นต้องกินลงไป ไม่เช่นนั้นรอนางสร่างเมาแล้ว อาการปวดหัวจะยิ่งทำให้รู้สึกแย่ขึ้นไปอีก”
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่เคยปฏิเสธคำขอร้องของนางมาก่อน แต่ในยามที่ผ่านข้างกายของนางนั้น ก็ได้กลิ่นสุราที่เข้มข้นสายหนึ่ง “เจ้าก็ดื่มสุรา?”
สาวน้อยนางนี้ เพียงคู่เดียวที่มิได้อยู่ข้างกาย ก็แอบดื่มสุราแล้ว
ที่จริงแล้วไม่โทษที่เขาคร่ำครึ เป็นเพราะเขารู้สึกอยู่เสมอว่า ไม่ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะเติบโตขึ้นอย่างไร ก็ยังเป็นสาวน้อยตัวเล็กๆ ที่ตกลงไปในบ่อน้ำแล้วยื่นมือมาขอให้เขาช่วยคนนั้น
“พี่ใหญ่วางใจเถิด ข้าคอแข็งมาก เพียงแค่จิบไม่กี่จอกเท่านั้น ไม่มีปัญหาใด” หลิงมู่เอ๋อร์เชิดศีรษะอย่างได้ใจ เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินยังโมโหอยู่บ้าง นางจึงแลบลิ้นออกมา เงยคางขึ้นมาชี้ไปที่เซิงเอ๋อร์ “นั่น ท่านก็เห็นแล้ว พี่เซิงเอ๋อร์เสียใจถึงเพียงนี้ ข้าคงไม่อาจปล่อยให้นางอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจกระมัง?”
ที่จริง เซิงเอ๋อร์เมามายแล้วก็ดี ยามราตรีจะได้มิต้องคิดถึงองค์ชายเจ็ดอยู่ผู้เดียว หากเป็นเช่นนั้นเกรงว่าอาจทำเรื่องที่เป็นอันตรายออกมาได้
“ในเมื่อเจ้าเรียกนางว่าพี่สาว เป็นห่วงนางอยู่เป็นเพื่อนนางก็สมควร แต่ว่าตอนนี้เจ้าต้องไปที่แห่งหนึ่งกับข้า”
ซั่งกวนเซ่าเฉินสีหน้าเคร่งเครียด จูงมือนางได้ก็ออกเดิน “นำกล่องยาไปด้วย พวกเราไปกัน”
เชิงอรรถ
[1] ทิงหลังสุ่ยเซี่ย มีความหมายว่า ศาลากล้วยไม้ริมน้ำ