เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 5 บทที่ 125 แผนการที่แย่ที่สุด
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 5 บทที่ 125 แผนการที่แย่ที่สุด
เล่มที่ 5 บทที่ 125 แผนการที่แย่ที่สุด
ใจของหลิงมู่เอ๋อร์สั่น แต่ก็มิได้หยุดการกระทำที่มือลง นางกำลังใส่ยาที่หน้าอกของโจวฉี่เยี่ยน
หากไม่อาจหยุดเลือดได้ทันเวลา ต่อให้นางไม่ปล่อยคนออกไป โจวฉี่เยี่ยนก็ต้องตายเพราะเสียเลือดมากเกินไปอยู่ดี
“เป็นคนของไท่จื่อ เขาเชิญยอดฝีมือมาคุ้มกัน หากพวกเขาหาข้าเจอที่นี่จะต้องทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนไปด้วย มู่เอ๋อร์ ไม่มีเวลาแล้ว” โจวฉี่เยี่ยนฝืนอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างมาก พยายามจะลุกขึ้น แต่พึ่งจะเงยหน้าขึ้นมา ก็ล้มลงไปอย่างแรง
เขาไม่มีแรงแล้วจริงๆ
แต่ว่า มู่เอ๋อร์ของเขาจะทำเยี่ยงไร เขาไม่อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้นางเดือดร้อนไปด้วยได้ นางช่วยตนไว้หลายครั้ง เป็นผู้มีพระคุณของตน“หุบปาก ข้าไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าโดยไม่สนใจ ยิ่งไม่มีทางมอบเจ้าให้ไท่จื่อ” หลิงมู่เอ๋อร์ดุอย่างโมโห หลังจากใส่ยาเรียบร้อยแล้วก็รีบเรียกซางจือเข้ามา
ซางจือเป็นคนฉลาด หลังจากเห็นโจวฉี่เยี่ยนที่นอนเลือดเต็มตัวอยู่บนพื้น ก็สูดลมหายใจคราหนึ่ง เข้าใจอย่างรวดเร็วถึงเหตุผลที่ด้านนอกมีราชองครักษ์หลวงมากันมากมายถึงเพียงนั้น นางมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่ประหม่า “คุณหนูตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ ทหารหลวงมาอย่างดุร้าย ค้นหาไปแต่ละเรือน อีกไม่ช้าก็จะมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
ในเมื่อไท่จื่อมั่นใจว่าโจวฉี่เยี่ยนอยู่ที่นี่ แน่นอนว่า เมื่อหาคนไม่พบย่อมไม่มีทางรามือ น่าเสียดายที่นางยังไม่ทันได้สร้างห้องลับไว้ในห้อง
นั่นสิ ควรทำเช่นไรดี?
“พาคนขึ้นไปบนเตียงข้าก่อน” ในห้องไม่มีที่ที่สามารถซ่อนคนได้ ตอนนี้ทำได้เพียงแต่เดินหนึ่งก้าวคิดหนึ่งก้าวแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์และซางจือช่วยกันเคลื่อนย้ายโจวฉี่เยี่ยนไปบนเตียง แต่ยังไม่ทันที่ซางจือจะได้ใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดรอยเลือดบนพื้น ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้ากลุ่มใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว ทันใดนั้น เสียงเคาะประตูเมื่อครู่ก็ดังขึ้นอีก
ลมหายใจของหลิงมู่เอ๋อร์และซางจือกระชั้น หลิงมู่เอ๋อร์ส่งสัญลักษณ์มือให้ซางจือเงียบเสียงทันที ส่วนนางก็คิดคำนวณอยู่ในใจ หากคนพวกนี้บุกเข้ามา นางมีโอกาสชนะอยู่กี่ส่วน?
เป็นเวลานานไม่มีใครเปิดประตู จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงของหยางซื่อ “นี่เป็นห้องของบุตรสาวของข้า เป็นห้องส่วนตัวของสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน พวกท่านไม่อาจบุกเข้าไปได้ หากร่ำลือกันออกไป ภายหน้าบุตรสาวของข้ายังจะแต่งกับผู้อื่นได้เยี่ยงไร?”
ผู้เป็นหัวหน้าไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงของสตรี คำรามอย่างดุร้ายว่า “หลบไป ทำให้พวกเราเสียเวลาในการทำหน้าที่ตามกฎ เจ้ารู้ถึงผลที่จะตามมาหรือไม่?”
หยางซื่อตกใจจนสูดลมหายใจลึก แม้นางจะขี้กลัว แต่ในเรื่องความปลอดภัยของบุตรสาวไม่มีทางยอมปล่อยไป นางเห็นมู่เอ๋อร์กลับมา ยามนี้ไม่เปิดประตู ก็แปลว่าด้านในจะต้องมีปัญหาใดแน่ ไม่อาจให้มู่เอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเด็ดขาด “พวกเจ้าเป็นใครกัน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าบุตรเขยในอนาคตของครอบครัวเราคือราชองครักษ์หลวง ซั่งกวนเซ่าเฉิน พวกเจ้าล่วงเกินเช่นนี้รับผลไหวหรือไม่?”
คนทั้งหมดพลันตะลึงไป ในยามที่หยางซื่อคิดว่าทำให้พวกเขาตกใจจนหยุดได้แล้ว ก็มีเสียงหัวเราะดังตามมาเป็นระลอก
“ฮ่าฮ่าฮ่า เพียงแค่ผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวงเท่านั้น ที่พวกเราภักดีคือองค์รัชทายาท ท่านป้า ข้าขอเตือนให้ท่านรีบหลีกไป มิเช่นนั้นจะจับท่านไปกินข้าวของเรือนจำเสีย”
ในห้อง ซางจือมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตระหนก ใช้สายตาถามนางว่าจะทำอย่างไร
ในตอนนี้ หลิงมู่เอ๋อร์ก็วิตกอย่างมากเช่นกัน ในห้องก็เล็กเพียงนี้ ไม่เพียงไม่มีที่ให้ซ่อน ด้วยนิสัยมุทะลุดุดันของพวกคนด้านนอก เมื่อบุกเข้ามาก็ต้องค้นหาตรวจสอบไปทั่วแน่ ถึงเวลานั้น ไม่เพียงชีวิตของโจวฉี่เยี่ยนไม่ปลอดภัย ทั่วทั้งจวนสกุลหลิงก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย
ด้านนอกประตูยังมีเสียงดุดันคำรามของทหารหลวงดังมาอีก “เปิดประตู!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีวิธีอื่นแล้ว นางนำยาสลบที่พึ่งคิดค้นใหม่ออกมาอย่างเงียบๆ และได้เตรียมพร้อมต่อสู้แลกชีวิตกับพวกคนภายนอกประตูแล้ว และในระยะห่างเพียงผมเส้นเดียวนี้เอง หน้าต่างที่ปิดสนิทก็ถูกคนเปิดออก เงาร่างที่คล่องแคล่วเงาหนึ่งกระโดดเข้ามา
หลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกคนหิ้วออกไปหน้าฉากกั้นลม กระดุมที่หน้าอกพลันถูกเขาเปิดออกดังพึ่บอย่างไร้ปรานี
การกระทำที่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป เพียงชั่วพริบตา ก็รู้สึกว่าไหล่ด้านข้างเย็นวาบ หลิงมู่เอ๋อร์ยกมือขึ้น หมายจะตบเขา ประตูห้องกลับถูกคนถีบออกในขณะนั้น ส่วนบุรุษผู้นั้นก็โอบร่างที่อ่อนนุ่มของนางหมุนไปตามลม ริมฝีปากที่ร้อนชื้นก็ประทับลงมา
ทหารหลวงที่บุกเข้ามาถือกระบี่ ไม่ทันมองก็คำราม “ประตูห้องเป็นนานไม่ยอมเปิด จะต้องมีความผิดปกติ ค้นให้ทั่ว”
“ช้าก่อน” น้ำเสียงเนิบนาบดังมาอย่างเอื่อยเฉื่อย บุรุษผู้นั้นในยามนี้กำลังหันหน้าเข้าหาประตู ยกศีรษะที่ซุกอยู่ที่ซอกคอของหญิงสาวขึ้น เผยดวงหน้าที่ทำให้คนลุ่มหลงนั้นออกมา
ราวกับเมื่อครู่ได้ผ่านเหตุการณ์ที่วาบหวิวถึงวิญญาณอย่างมากมา น้ำเสียงของบุรุษแหบพร่า แต่ดวงตาที่คมกริบสาดประกายเยียบเย็นออกมา “รบกวนอารมณ์ดีๆ ของเปิ่นหวาง ข้าจะดูว่าใครกล้า!”
บัดนี้ ในอ้อมแขนของเขายังกอดหญิงสาวไว้นางหนึ่ง ส่วนหญิงสาวนางนั้นอาภรณ์หลุดลุ่ย คนทั้งสองก็ใบหน้าแดงก่ำ คนโง่ก็ยังดูออกว่าเมื่อครู่พวกเข้าทำสิ่งใดอยู่ในห้อง
คนทั้งหมดพากันคุกเข่าลงบนพื้น “รบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของจวิ้นอ๋องน้อย ขอให้จวิ้นอ๋องน้อยอภัยด้วยขอรับ”
มิผิด ที่มาช่วยสถานการณ์ไว้อย่างเร่งร้อนก็คือคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ซูเช่อ
แต่ว่า มารดามันเถอะ เขากลับใช้วิธีการเช่นนี้ ยังถูกคนจำนวนมากถึงเพียงนี้เห็นเข้า นาง หลิงมู่เอ๋อร์ ยังจะมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่!
“ซูเช่อ…” ศีรษะที่ถูกกดอยู่ในอ้อมกอดคิดจะดิ้นออก หลิงมู่เอ๋อร์พึ่งมีความเคลื่อนไหวก็ถูกชายหนุ่มกดไว้แน่น สรุปคือ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางให้ผู้อื่นเห็นใบหน้าของนาง แม้ที่นี่จะเป็นเรือนของนางก็ตาม
หลิงมู่เอ๋อร์โมโหอย่างมาก ยื่นมือไปที่ข้างเอวของเขาในมุมที่ผู้อื่นมองไม่เห็นก็ออกแรงหยิกอย่างแรง ซูเช่อสูดลมหายใจคราหนึ่ง นำไฟโทสะทั้งหมดไประบายลงที่ทหารหลวงที่อยู่เบื้องหน้า “ในเมื่อรู้ว่ารบกวนเปิ่นหวาง ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
มิน่า เมื่อครู่จึงไม่ยอมเปิดประตูเสียที ที่แท้เป็นเพราะคนทั้งสองกำลังสนิทสนมอย่างเร่าร้อนอยู่ในห้อง ทว่า เมื่อครู่ท่านป้าผู้นั้นพูดอย่างชัดเจนว่า นี่เป็นห้องส่วนตัวของบุตรสาวของนาง แล้วคู่หมั้นของบุตรสาวนางเป็นผู้บัญชาการหน่วยราชองครักษ์หลวง ซั่งกวนเซ่าเฉิน แล้วจวิ้นอ๋องน้อยท่านนี้มันเรื่องอะไรกัน?
องค์รัชทายาททรงมีคำสั่ง เป็นต้องพบคนตายต้องพบศพ อีกทั้ง จากที่สายลับมารายงาน มือสังหารก็อยู่ในจวนสกุลหลิง หากหาคนไม่เจอ ยามกลับไปย่อมไม่อาจส่งมอบงานได้
“ทูลจวิ้นอ๋องน้อย วันนี้องค์รัชทายาทถูกลอบโจมตีในตำหนัก มีสายลับมารายงานว่า เห็นมือสังหารตกลงมาในเรือนนี้ด้วยตาตนเอง พวกข้าน้อยรับพระบัญชาจากไท่จื่อมาค้นหามือสังหาร ทรงดูว่า…” ผู้เป็นหัวหน้ามองซูเช่ออย่างระมัดระวัง กลัวว่ามีคำพูดใดที่พูดไม่ถูกต้อง ไปกระตุ้นโทสะพยัคฆ์หน้ายิ้มตัวนี้เข้า
“ดังนั้น ความหมายของเจ้าคือ ในห้องนี้มีนักฆ่าซ่อนอยู่ และข้ากำลังเชยชิดกับสตรีอย่างเร่าร้อนอยู่ เจ้าจะสื่อว่าข้าก็ยังสามารถทำลงไปได้? กระมัง?”
ซูเช่อถามกลับ มือที่โอบเอวของหลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งแน่นขึ้นอีก
รับรู้ถึงร่างกายอันอ่อนนุ่มของหญิงสาวอยู่ในอ้อมกอด สามารถได้ยินเสียงหัวใจเต้นและเสียงลมหายใจของนางอย่างใกล้ชิด ความรู้สึกนี้ช่างดีเหลือเกิน
“ข้าน้อยมิกล้าขอรับ” ผู้เป็นหัวหน้ารีบก้มหัวรับผิด
คนร้ายผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ลมหายใจร่อแร่ ทั่วทั้งร่างล้วนมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง มีบุรุษผู้ใดสามารถทนทำเรื่องที่น่าอาเจียนเช่นนี้ออกมาได้ “ในเมื่อมือสังหารไม่อยู่ พวกข้าน้อยก็ขอลาขอรับ”
ผู้เป็นหัวหน้ายืนขึ้น ภายใต้สัญญาณมือหนึ่ง นำพาลูกน้องเตรียมจากไป แต่ในยามที่หมุนกายนั้นเอง หางตาพลันเหลือบไปเห็นรอยเลือดหยดหนึ่งที่อยู่ด้านหลังฉากบังลมเข้าพอดี
“ไม่ถูกต้อง ห้องของสตรีเหตุใดจึงมีกลิ่นคาวเลือดได้ เลือดหยดนั้นมันเรื่องอะไรกัน?”
ผู้เป็นหัวหน้าสายตาเย็นเยียบ สายตาคาดคั้นมองไปเบื้องหน้าอย่างโมโห ราวกับจะสื่อว่า หากไม่อธิบายให้ชัดเจนจะมิยอมรามือเด็ดขาด
ขอเพียงเขาจับมือสังหารที่ทำร้ายองค์รัชทายาทได้ ต่อให้คนเบื้องหน้าเป็นจวิ้นอ๋องน้อยซูเช่อ แล้วจะอย่างไร
“ผู้หญิงของข้าคือแม่นางเซียนแพทย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง ทักษะการแพทย์ของนางเลิศล้ำสามารถฟื้นคืนความตายได้ ในห้องมีคราบเลือด มีปัญหาใดหรือ? หรือจะบอกว่า เจ้าวางแผนจะนำคนจำนวนมากเช่นนี้มาดูพวกเราสนิทสนมกันต่อ?” ซูเช่อเลิกคิ้ว มือข้างหนึ่งเล่นปอยผมที่อยู่ข้างหูของหลิงมู่เอ๋อร์ มืออีกข้างหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนจากเอวด้านหลังขึ้นไป “เอาสิ ในเมื่อเจ้าสนใจ เช่นนั้นเจ้าก็ดู”
พูดจบ เขาก้มตัวลง ริมฝีปากแดงก่ำเกือบจะทาบลงบนลำคอของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว
ผู้เป็นหัวหน้าไหนเลยจะกล้ารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของจวิ้นอ๋องน้อย มีเก้าศีรษะก็ไม่พอให้ตัด มองซูเช่อที่สายตาเคลิบเคลิ้มครั้งหนึ่ง สะกดกลั้นไฟโทสะที่อยู่กลางอก พาคนทั้งหมดออกจากห้องไป
คนจากไปหมดแล้ว ซูเช่อยังคงกดร่างของนางไม่ยอมปล่อย หลิงมู่เอ๋อร์ออกแรงดิ้นรน บนกระหม่อมมีเสียงสูงต่ำของซูเช่อดังลอยมา “แม่นาง ไม่เคยมีคนบอกเจ้าหรือว่าการดิ้นรนในอ้อมกอดของบุรุษเช่นนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ไร้เสียงชนิดหนึ่ง? มิกลัวเปิ่นหวางอดใจไม่อยู่ จับเจ้าลงโทษเสียที่นี่เลย?”
คร้านจะต่อปากกับเรื่องไร้สาระนี่อีก เข็มเงินเล่มหนึ่งของหลิงมู่เอ๋อร์แทงลงบนมือของเขา ในยามที่ซูเช่อเจ็บปวดนั้น ก็รีบผลักเขาออกไป “ลามก ไร้ยางอาย ซูเช่อ เจ้าช่างรนหาที่ตาย”
เมื่อเห็นว่าเข็มเงินในมือของหลิงมู่เอ๋อร์จะโจมตีมาอีก ซูเช่อหมุนตัวรอบหนึ่ง หลบไปได้อย่างสง่างาม “อย่างน้อยก็เป็นเพราะเปิ่นหวางปรากฏตัวได้ทันเวลา ช่วยพวกเจ้าแก้ไขสถานการณ์ยากลำบาก เจ้าแน่ใจว่าจะตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นหรือ? กองทหารหลวงที่ด้านนอกยังจากไปไม่ไกลนัก”
“ท่าน…” หลิงมู่เอ๋อร์โมโหอย่างมาก จัดเสื้อผ้าบนร่างจนเรียบร้อย หางตามองเห็นหยางซื่อที่ยืนตะลึงเป็นท่อนไม้ไปแล้ว คิดในใจว่าท่านแม่จะต้องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน จึงรีบกอดแขนของนางปลอบประโลมว่า “ท่านแม่ ท่านเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ เรื่องราวมิได้เป็นดังที่ท่านเห็นเมื่อครู่”
เมื่อครู่ ในยามที่องครักษ์หลวงบุกเข้ามา หยางซื่อก็ตามอยู่ด้านหลัง เห็นอย่างชัดเจนว่าซูเช่อโอบกอดบุตรสาวของนาง คนทั้งสองกำลังทำเรื่องบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้
อีกทั้งคนทั้งสองยังสีหน้าแดงก่ำ ยังไม่รู้ว่าในยามที่ยังมิได้เข้ามา เกิดเรื่องไปมากน้อยเท่าใดแล้ว บุตรสาวได้รับปากคำขอแต่งงานของเจ้าหนุ่มเฉินแล้ว ย่อมไม่อาจทำเรื่องที่ผิดต่อคนเขาได้นะ
ซูเช่อเห็นสีหน้าของหยางซื่อไม่น่ามองอย่างมาก รีบประสานมือคำนับโค้งกายให้นาง “เป็นท่านป้าเข้าใจผิดไปจริงๆ ขอรับ เมื่อครู่เป็นเพราะไร้หนทางอื่น จึงได้ขอให้แม่นางหลิงร่วมมือด้วย หากมีจุดใดที่ทำให้ท่านป้าไม่สบายใจ ตัวข้าผู้แซ่ซูยินดีชดใช้ความผิดขอรับ”
เดิมหยางซื่อก็มิได้มีความรู้สึกไม่ดีต่อซูเช่อ ในยามนั้นยังถึงกับคิดว่า หากยังหาเจ้าหนุ่มเฉินไม่เจอไปตลอด บุตรสาวอยู่กับเขาก็ไม่เลว ภายหลังจึงได้รู้ว่า คนเขาเป็นจวิ้นอ๋อง นางจะรับการคารวะจากจวิ้นอ๋องไหวได้อย่างไร แต่ว่า การกระทำเมื่อครู่ล้ำเส้นเกินไปแล้วจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าริมฝีปากนั้น ได้จุมพิตลงไปแล้วหรือยัง
“พวกเจ้าสองคน…เฮ้อ” ถอนใจครั้งหนึ่ง หลังจากหยางซื่อเห็นสัญญาณจากสายตาของซางจือ ก็รีบเดินไปยังด้านหลังของฉากบังลม ในยามที่เห็นโจวฉี่เยี่ยนที่มีสีหน้าซีดขาว ทั่วทั้งร่างชักกระตุกนั้น นางก็สูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง “มู่เอ๋อร์รีบมา เจ้าหนุ่มโจวกลัวว่าจะทนไม่ไหวแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบพุ่งเข้าไปอย่างลนลาน หลังจากจับชีพจร ก็รีบหยิบเข็มเงินออกมาฝังเข็มให้เขา
“ยังดีที่ตอนนี้กองทหารหลวงจากไปแล้ว ไม่เช่นนั้น หากช้าไปเพียงเค่อเดียว ชีวิตของพี่โจวก็ไม่ยืนยาวแล้ว”
เข็มเงินเล่มสุดท้ายปักลงไป หลิงมู่เอ๋อร์ถอนใจออกมา รับผ้าเช็ดหน้าที่ซางจือส่งมาให้ ด้านหนึ่งเช็ดหน้าผาก อีกด้านถอนหายใจ ยังดียังดี
“ดังนั้น เห็นแก่ที่เปิ่นหวางช่วยชีวิตเขาไว้ครั้งหนึ่ง แม่นางหลิงคงจะไม่เอาเรื่องที่เมื่อครู่เปิ่นหวางเสียมารยาทอย่างผลีผลามแล้วกระมัง?” ซูเช่อค้อมเอว บนใบหน้าหล่อเหลาประดับไว้ด้วยความเอาใจ
แม้ว่าเมื่อครู่ซูเช่อจะแสดงท่าทางสนิทสนมเร่าร้อนกับนาง แต่กลับมิได้แตะต้องผิวกายของนางแม้เพียงตำแหน่งเดียว แต่เหล่าทหารหลวงที่ได้เห็นกลับมิได้มองอย่างชัดเจนถึงเพียงนั้น ทันทีที่ลอยไปเข้าหูซั่งกวนเซ่าเฉิน…
มุมปากของหลิงมู่เอ๋อร์กระตุกไม่หยุด “ไสหัวไป!”