เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 5 บทที่ 122 แนะนำ
เล่มที่ 5 บทที่ 122 แนะนำ
“มัวมัว ท่านทราบหรือไม่ว่าไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงตามตัวข้ามาอย่างเร่งร้อนเช่นนี้มีเรื่องใดกัน?”
ระหว่างทาง หลิงมู่เอ๋อร์มือหนึ่งถือกล่องยา ด้านหนึ่งตามอยู่ด้านหลังมัวมัว พระราชวังอันใหญ่โตกดดันจนผู้คนหายใจไม่ออก
วังต้องห้าม นางไม่ค่อยชอบสถานที่แห่งนี้นัก
“เรื่องของเจ้านาย จะเป็นเรื่องที่บ่าวระดับข้าสามารถถามไถ่ได้อย่างไร แต่ว่าเหนียงเหนียงรออยู่อย่างร้อนใจ พวกเรายังคงรีบไปหน่อยจะดีกว่าเจ้าค่ะ” มัวมัวชราปิดปากเงียบ ถามอะไรก็ไม่รู้ ไม่ยอมเผยข้อมูลแม้แต่น้อย
หลิงมู่เอ๋อร์จึงไม่ถามอะไรอีก ไม่รู้ว่าเดินผ่านตำหนักไปมากน้อยเท่าใด จึงได้มาถึงตำหนักของไท่จื่อ ครั้งนี้ ไท่จื่อเฟยมิได้วางก้ามใส่นาง จงใจให้นางคุกเข่ารออีก แต่ดวงตาที่แหลมคมคู่นั้นหรี่ลงครึ่งหนึ่ง เพียงมองก็รู้ว่ารับมือไม่ง่ายนัก
“หลิงมู่เอ๋อร์น้อมพบไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียง คารวะเหนียงเหนียงเพคะ” ยอบกายลง หลิงมู่เอ๋อร์วางกล่องยาลงบนพื้น มองนางให้คนข้างกายถอยออกไปอย่างสงบ
“มานั่งเถอะ นี่เป็นขนมดอกซิ่งที่ห้องครัวหลวงคิดค้นขึ้นมาใหม่ รสชาติมีเอกลักษณ์อย่างมาก เจ้าก็ลองชิมดู” ไท่จื่อเฟยตบที่นั่งข้างกายของนาง เป็นสัญญาณให้นางไปนั่ง
สามารถนั่งได้ย่อมไม่มีทางยืน หลิงมู่เอ๋อร์ก็มิได้เกรงใจนาง ทว่า ขนมนั้นมิได้กินแม้แต่คำเดียว “ร่างกายของเหนียงเหนียงใช่มีที่ใดไม่สบายหรือไม่เพคะ ที่โรงหมอของหม่อมฉันยังมีผู้ป่วยรออยู่อีกมาก ไม่อาจเสียเวลาอยู่ได้นานนัก ”
“บังอาจ! ข้าเป็นถึงไท่จื่อเฟย เจ้ากับนำข้าไปเปรียบเทียบกับชาวบ้านที่ต่ำต้อยพวกนั้น หากข้ามีความประสงค์จะรั้งตัวเจ้าไว้ในวัง เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถจากไปได้หรือ?”
การตำหนิที่มาอย่างไม่กะทันหัน ทั่วทั้งร่างแผ่รัศมีเย็นเยียบออกมา คิดว่าสามารถข่มขู่ให้หลิงมาเอ๋อร์หวาดกลัวจนถอยไปได้ ใครจะรู้ว่าฝ่ายหลังกับมองนางนิ่งๆ กระทั่งยกมุมปากขึ้นมา “หากใต้หล้าไม่มีราษฎรผู้ต่ำต้อยเหล่านี้ จะนับเป็นใต้หล้าได้อย่างไร อย่าได้กล่าวถึงว่า ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียง บัดนี้ยังทรงเป็นเพียงชายาขององค์รัชทายาท ต่อให้ภายหน้าขึ้นครองตำแหน่งหวางโฮ่ว หากไม่มีราษฎรที่ต้อยต่ำสนับสนุน จะทรงสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นได้อย่างมั่นคงหรือ?”
“เจ้ารู้หรือไม่ อาศัยเพียงคำพูดเมื่อครู่ของเจ้า ข้าก็สามารถประหารเก้าชั่วโคตรของเจ้าได้?” ไท่จื่อเฟยพิโรธอย่างมาก ดวงตาคมกริบนั้น ราวกับจะสามารถปล่อยกระบี่ที่แหลมคมออกมาได้
“นอกจากไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงทรงไม่ต้องการสมปรารถนา เต็มใจที่จะเป็นเพียงพระชายาไปชั่วชีวิต”
ช่างเป็นคำตอบที่เฉียบคมดีเหลือเกิน รู้สึกเพียงในลำคอมีกลิ่นเค็มคาว เกือบจะทำให้ไท่จื่อเฟยกระอักเลือดออกมาแล้ว
ดีเหลือเกิน หลิงมู่เอ๋อร์ โอหังเช่นนี้ นางถึงกลับกล้านำจุดอ่อนของนางมาข่มขู่
“ฮึ เจ้าเป็นคนฉลาด เจ้าน่าจะรู้ว่าที่วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาเพราะเหตุใดกระมัง?”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า ไม่ตอบคำถาม และก็ไม่เดามั่วซั่ว
“เมื่อวานยามประชุมในท้องพระโรง เรื่องที่ซูเช่อทูลฝ่าบาทอย่างชัดเจนว่า จะไม่มีทางแต่งงานกับบุตรีของอัครมหาเสนาบดีต่อหน้าเหล่าขุนนางทั้งหลาย เชื่อว่าเจ้าคงได้ยินแล้ว” ไท่จื่อเฟยจ้องนาง คิดมองผ่านทุกรายละเอียดเพื่อจับจุดอ่อนของนาง
“ในหมู่ชาวบ้านล้วนลือไปทั่ว แม้หม่อมฉันจะไม่อยากรู้ก็คงยากเพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบกลับตามจริง
เมื่อวาน ข่าวนี้ยังคงถูกปิดไว้ แต่วันนี้ตั้งแต่เช้า เหล่าชาวบ้านที่มาตรวจรักษาโรคต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ ยังมีคนเดาว่า หลันเชี่ยนหยิ่งจะถูกดูหมิ่นจนโขกศีรษะตายหรือไม่
“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ ว่าเหตุใดซูเช่อจึงทำเช่นนี้?” ไท่จื่อเฟยยังคงถามต่อไป มีความตั้งใจที่จะไม่ยอมหยุด
“จวิ้นอ๋องน้อยมีจิตใจละเอียดลึกซึ้ง คนก็เฉลียวฉลาด ไม่ว่าจะทำการตัดสินใจใดออกมาเชื่อว่าเป็นผลลัพธ์จากการใคร่ครวญแล้ว มิแน่ว่า เป็นเพียงเพราะไม่พึงใจในตัวคุณหนูหลันเท่านั้นกระมังเพคะ”
“เช่นนั้นที่เขาชอบเป็นผู้ใดกัน?” ทันทีที่หลิงมู่เอ๋อร์พูดจบ ไท่จื่อเฟยไล่ถามต่อทันทีอย่างไม่ยอมตัดใจ
หลิงมู่เอ๋อร์เชิดศีรษะ ดวงตาแจ่มกระจ่างทั้งคู่สบเข้ากับดวงตาที่เต็มไอสังหารคุกรุ่นของนาง ครั้งนี้ ขอเพียงนางกล่าวคำว่า ‘ข้า’ แค่คำเดียว เชื่อว่านางคงจะสิ้นชีพอยู่ ณ ตรงนี้เลย
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม รอยยิ้มที่อ่อนโยนราวกับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นในวันที่แดดเจิดจ้า ทำให้ผู้ที่มองรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ “ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นคนที่มีคู่หมั้นแล้ว จะไปสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ แม้ยามปกติหม่อมฉันจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจวิ้นอ๋องน้อย แต่อย่างไรชายหญิงก็มีความแตกต่าง เรื่องที่ส่วนตัวเช่นนี้ หม่อมฉันไม่สะดวกที่จะไต่ถามหรอกเพคะ”
ไท่จื่อเฟยหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ากับกลอกกลิ้งเสียเหลือเกิน จุดนี้กลับมีความคล้ายคลึงกับซูเช่ออยู่บ้าง” นางพูดจบ ไอสังหารในดวงตาก็ค่อยๆ จางหายไป “หลันเชี่ยนหยิ่ง คุณหนูใหญ่ของจวนอัครเสนาบดี ไข่มุกในฝ่ามือของอัครเสนาบดีคนปัจจุบัน ไม่เพียงมากด้วยความรู้ความสามารถ ยิ่งเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง เป็นผู้ที่เหล่าลูกหลานตระกูลใหญ่ไม่รู้เท่าใดอยากแต่งงานด้วย ทว่า การตัดสินใจในเมื่อวานของซูเช่อ ไม่เพียงเป็นการหยามหมิ่นตัวนาง ยังหยามเกียรติของจวนเสนาบดีทั้งจวน เจ้ารู้หรือไม่ นั่นเป็นการเย้ยหยันที่ทำให้คนโมโหยิ่งกว่าหนังสือหย่าเสียอีก?”
“แม้จะทราบแล้วอย่างไรเพคะ หม่อมฉันกับหลันเชี่ยนหยิ่งไม่มีการคบค้าสมาคมกัน ซูเช่อกับหม่อมฉันก็เป็นเพียงมิตรสหายธรรมดาเท่านั้น หม่อมฉันปราศจากความสนใจในเรื่องของพวกเขาทั้งสองคนเพคะ”
หากนางรู้ว่า ที่วันนี้ไท่จื่อเฟยเรียกนางมา ก็เพื่อพูดเรื่องที่ไร้แก่นสารพวกนี้ นางจะไม่มีทางเสียเวลา และเสียน้ำลายอย่างเด็ดขาด
“ในเมื่อรู้แล้ว เช่นนั้นเปิ่นกงยังคงต้องแนะนำสักคำ เรื่องใดควรทำเรื่องใดไม่ควรทำ เชื่อว่าในใจของเจ้าเข้าใจดี ซูเช่อจวิ้นอ๋องน้อยผู้นี้ ยิ่งเป็นจวิ้นอ๋องในอนาคต หากเจ้าสามารถโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจได้ เปิ่นกงก็ถือว่าคบเจ้าเป็นมิตรสหายแล้ว”
แข็งไม่สำเร็จ ก็ใช้ไม้อ่อน
แต่นางหลิงมู่เอ๋อร์ ดูว่างถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
“หากหม่อมฉันไม่ทำตาม ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงทรงมีแผนให้วันนี้หม่อมฉันไม่อาจก้าวออกจากวังได้?”
“เป็นตำหนักรัชทายาท!”
ไท่จื่อเฟยยืนกราน จากนั้นปรบมือให้ด้านนอก เดิมห้องโถงที่เงียบสงัดพลันมีองครักษ์หลวงบุกเข้ามาสิบกว่าคน แต่ละนายคาดกระบี่ไว้ที่เอว สีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง
“แม่นางหลิงเป็นคนฉลาด และเป็นผู้มีสติปัญญา ราษฎรต้องการเซียนแพทย์เช่นท่าน เชื่อว่าเจ้าคงไม่ทิ้งชีวิตของตนเองด้วยความผิดพลาดเพราะเรื่องเช่นนี้กระมัง ”
ความหมายในคำพูดของไท่จื่อเฟยง่ายมาก หากนางไม่รับปาก วันนี้ก็ให้นางสิ้นชีพอยู่ที่นี่ หรืออาจเป็นการทรมานที่ทุกข์ยิ่งกว่าตาย
ตัวนาง หลิงมู่เอ๋อร์มิได้เติบโตมากับการข่มขู่
แต่นางคือผู้ที่เอาชีวิตรอดมาจากปากพยัคฆ์
“ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียง เป็นญาติผู้พี่ของหลันเชี่ยนหยิ่ง หลันเชี่ยนหยิ่งได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจมากถึงเพียงนั้น มาขอให้ท่านช่วยเหลือก็เป็นเรื่องสมควร ทว่า ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียง ขอหม่อมฉันแนะนำพระองค์สักคำ อย่าได้สูญเสียสถานการณ์ใหญ่เพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยเพคะ” น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์เรียบเฉย สายตาไร้ความลนลาน ไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่ครึ่งส่วน “พิษหญ้าฝรั่นในพระวรกายของพระองค์ แม้จะถูกหม่อมฉันกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่หากต้องการตั้งครรภ์โดยเร็ว ยังต้องการสูตรยาที่หม่อมฉันเป็นผู้ปรับด้วยตนเอง ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงมีหรือจะมิใช่ผู้ปรีชา ในเมื่อทรงเลือกหม่อมฉัน ก็เพราะทรงทราบว่า เรื่องที่หมอหลวงไม่อาจจัดการได้ มีเพียงหม่อมฉันที่แก้ปัญหาได้ ทรงใคร่ครวญดีแล้วหรือว่า เพื่อหลันเชี่ยนหยิ่งเพียงคนเดียว จะทรงยอมสละความพยายามในหลายปีนี้ของพระองค์ไปงั้นหรือเพคะ?”
มีสตรีนางใด มิต้องการเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้าที่สุด ไปสาดส่องทุกสรรพสิ่ง?
สตรีของไท่จื่อมีมากมาย เฉิดฉันฉายโฉม คนโปรดเปลี่ยนใหม่ทุกระยะ แม้ยามนี้ไท่จื่อเฟยจะมีเรี่ยวแรงไปรับมือกับสตรีพวกนั้น แต่ย่อมมีช่วงเวลาที่รับมือไม่หมด ไม่สู้รีบตั้งครรภ์เชื้อสายมังกร ขอเพียงนั่งลงบนบัลลังก์หวางโฮ่ว นางยังจะต้องไปสนใจอีกทำไมว่าไท่จื่อจะมีสตรีจำนวนเท่าใด?
“ในเมื่อพระวรกายของไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงไม่มีที่ใดที่มีปัญหา หม่อมฉันก็ขอทูลลาเพคะ”
หิ้วกล่องยาขึ้นมา เดินส่ายอาดๆ ออกไป เหล่าองครักษ์วังหลวงที่อยู่หน้าประตูเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบขวางทางของนาง หลิงมู่เอ๋อร์กลับไม่พูดอะไร แต่กลับพูดอยู่ในใจนิ่งๆว่า “หนึ่ง สอง …”
“ส่งแม่นางหลิงออกจากวังอย่างปลอดภัย”
บ้านสกุลหลิง
หลิงจื่ออวี้เมื่อเห็นพี่สาวกลับ ก็รับวิ่งไปจูงมือของนางวิ่งไปยังห้องโถงด้านหน้า
“พี่สาว ท่านรีบมาดู เหล้าองุ่นที่ท่านคิดค้นนี้ ช่างเป็นรสชาติอันเลิศล้ำในโลกมนุษย์จริงๆ กลัวว่า หากท่านกลับมาช้ากว่านี้อีกหน่อยก็จะถูกพวกเขากินจนหมดเกลี้ยงเป็นแน่ ”
ในห้องโถง หลิงต้าจื้อ หยางต้าหย่ง หยางซื่อ และท่านยาย ต่างก็นั่งล้อมโต๊ะมองของเหลวสีสันเจิดจ้าในขวดแก้วผลึก นั่นเป็นเหล้าองุ่นที่นางคิดค้นออกมาใหม่ล่าสุด หวานเปรี้ยวรสเลิศ สดชื่นจนทำให้คนลุ่มหลง วันนี้ เป็นครั้งแรกที่นำออกมาให้ทุกคนได้ลองชิม แม้แต่จูฉี ที่ยามปกติไม่ชอบดื่มสุรา ก็ยังมองจ้องอย่างกระชั้นชิด
“ดูจากสีหน้าของพวกท่าน ข้าคาดว่าเหล้าองุ่นนี้ การทดลองคงต้องประสบความสำเร็จอย่างมาก วางใจเถอะเจ้าค่ะ นี่เป็นเพียงการทดลองก้าวแรกเท่านั้น ในเมื่อทำได้ ข้าก็จะเพิ่มการผลิต พวกนี้ก็มอบให้พวกท่าน คืนนี้ให้ทุกคนได้ดื่มอย่างเพียงพอ ”
นางรินเหล้าองุ่นลงในจอกของทุกคนจนเต็มเปี่ยมอย่างใจกว้าง “แต่แม้เหล้าจะดี แต่ทุกคนก็อย่าได้ดื่มมากจนเกินไป เหล้านี้แม้ไม่อาจเทียบนารีแดง แต่ก็มีฤทธิ์เต็มเปี่ยม”
ทุกคนเมื่อได้ยินก็พากันแย่งยกจอกเหล้าขึ้นมา คิดว่าเมื่อดื่มหมดจอกหนึ่งค่อยดื่มอีกจอกหนึ่ง ใครก็ไม่อยากพลาดความเลิศรสในแดนมนุษย์นี้ แม้แต่หลิงจืออวี้ก็มองตาละห้อย จับชายเสื้อของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง “ท่านพี่ ข้าสามารถดื่มจอกหนึ่งได้หรือไม่?”
ท่าทางตะกละนั้น ราวกับย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อนในยามที่ไม่มีข้าวกิน
“วันนี้มิใช่วันหยุดหนึ่งครั้งในหนึ่งเดือนของพวกเจ้าหรือ ท่านอาจารย์จูให้พวกเจ้าหยุดพักแล้ว แน่นอนว่าอยากทำสิ่งใดก็ย่อมได้ ไปเถอะ ทว่า ได้เพียงจอกเดียวเท่านั้นนะ”
เหล้าองุ่นหมักในครั้งนี้ หลิงมู่เอ๋อร์หมักถึงห้าไหใหญ่ๆ นำออกมาไหหนึ่งให้ทุกคนแบ่งกัน จากนั้นก็นำออกมาอีกไหมอบให้แก่จูชิงเฟิง ที่เหลืออีกสามไหนางวางแผนจะนำไปที่ร้านอาหารเพื่อทำการขายแบบกำหนดช่วงเวลา ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ถือว่าเป็นการบริการที่เพิ่มสีสันให้กับทุกคน
คิดไม่ถึงว่า เหล้าองุ่นพึ่งจะวางขายได้เพียงวันเดียว ก็ดึงดูดแขกมาจำนวนนับไม่ถ้วน แม้แต่เหล่าองค์ชายที่อยู่ในวังหลวง ก็ล้วนแต่ตามกลิ่นหอมมา
“ท่านพ่อ ท่านลุง ห้องรับรองด้านบนเป็นองค์ชายเจ็ดจัดเลี้ยงรับรอง เชิญองค์ชายหกและเหล่าองค์ชายเจ้าค่ะ อีกครู่ข้าจะไปด้วยตนเอง พวกท่านรั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ดูแลแขกท่านอื่นเถิด ”
ล้วนแต่เป็นองค์ชายและคุณชายในเมืองหลวง ไม่เหมือนบรรดาขุนนางตระกูลใหญ่ทั่วไป หลิงมู่เอ๋อร์กังวลว่า ท่านพ่อและท่านลุงจะรับรองไม่ดี จนชักนำความยุ่งยากมา จึงได้รีบมาจากโรงหมออย่างทันท่วงที
อย่างที่คิด ทันทีที่เปิดประตู ชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสิบคนก็หันศีรษะมองตามกันมา ฉากนี้ช่างแสบตาเสียเหลือเกิน“โอ้ เป็นแม่นางเซียนแพทย์นี่นา แม่นางมาต้อนรับพวกเราด้วยตนเอง ช่างทำให้พวกเราพี่น้องตกตะลึงอย่างมาก” องค์ชายเจ็ดส่งเสียงขึ้นมาก่อน แสดงท่าทีราวกับคุ้นเคยกับนางเป็นอย่างดีออกมา
“ที่แท้ นี่ก็คือแม่นางเซียนแพทย์ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง อย่าว่าไป เมื่อนางมาถึงก็เขี่ยคุณหนูผู้มากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงหลันเชี่ยนหยิ่งลงไปแล้ว ข้าว่า แม่นางก็อย่าได้เป็นแพทย์อะไรเลย เข้าวังไปเลยเถอะ” ผู้ที่กล่าววาจาเป็นชายที่นั่งอยู่ข้างกายองค์ชายเจ็ด หน้าตาหล่อเหลาเช่นเดียวกัน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับดูจิตใจไม่ค่อยซื่อตรงนัก
“องค์ชายหกจะไปกลั่นแกล้งสตรีนางหนึ่งทำไมกัน” มองออกถึงความสงสัยของหลิงมู่เอ๋อร์ ซูเช่อทางหนึ่งรินชา อีกทางช่วยนางคลี่คลายสถานการณ์ “ได้ยินว่าเหล้าองุ่นนี้ เป็นเหล้าที่แม่นางหลิงคิดค้นหมักขึ้นมาใหม่ สมคำร่ำลือจริงๆ ไม่ทราบว่าพอมีเหลือ ให้ข้านำกลับจวนบ้างหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำนี้ เหล่าบุรุษที่ไม่รู้จักนามก็พากันแย่งกล่าวว่า “เหลือให้ข้าไหหนึ่ง”หลิงมู่เอ๋อร์มองซูเช่ออย่างขอบคุณทีหนึ่ง แต่คำพูดที่กล่าวออกมากับไร้ไมตรีอย่างมาก “กล่าวแล้วว่าเป็นการบริการพิเศษสำหรับทุกคนช่วงปลายปี มีจำนวนและช่วงเวลาที่จำกัด เหล้าองุ่นทั้งหมดที่มีอยู่ล้วนอยู่ที่นี่แล้ว จวิ้นอ๋องน้อยและองค์ชายทั้งหลายหากชอบ เกรงว่าคงได้แต่นำไหเปล่ากลับบ้านแล้ว”
“ไหเปล่าพวกเราจะนำกลับไปทำไม ไม่สู้พาสาวงามที่หมักเหล้ากลับไปดีกว่า มีหญิงงามและเหล้าดีคอยเคียงข้างทุกวัน มิใช่ยอดเยี่ยมยิ่งหรือ?”