เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 5 บทที่ 121 ตัดสินใจแทน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 5 บทที่ 121 ตัดสินใจแทน
เล่มที่ 5 บทที่ 121 ตัดสินใจแทน
“เพล้ง”
ในห้องส่วนตัว สิ่งของทั้งหมดล้วนถูกหญิงสาวเขวี้ยงลงพื้น โคมผลึกแก้วบรรณาการ แจกันมรกตชั้นดี แม้แต่ภาพวาดของจิตรกรลือชื่อแห่งยุคสมัยก็ถูกฉีกเป็นผุยผงใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยโทสะ ดวงตาแดงก่ำลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง “สมควรตาย สมควรตายให้หมด!”
สตรีนางนี้ก็คือบุตรีของอัครเสนาบดี หลันเชี่ยนหยิ่ง
นางที่อยู่อย่างสูงส่งในยามปกติ อาศัยความสามารถและรูปโฉมที่งดงามยึดครองฉายาหญิงสาวผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ทว่า ภายในคืนเดียว นางก็กลายเป็นเรื่องตลกอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง!
“หลิงมู่เอ๋อร์ นังแพศยาที่มีลูกไม้แพรวพราว ถึงกับบอกให้ซูเช่อทำลายการแต่งงาน คุณหนูเช่นข้าฆ่าเจ้าเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่เพียงพอ ”
เขวี้ยงกล่องเครื่องประทินโฉมที่ซึ่งสามารถขว้างทิ้งได้เป็นสิ่งสุดท้ายออกไป กระแทกเข้ากับหน้าผากของสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูพอดี สาวใช้ร้องเสียงแหลมทีหนึ่ง เซกายล้มลง บนหน้าผากมีเลือดสีสดไหลออกมาทันที “คุณหนู…”
“เรียกอะไรกัน พวกตัวไร้ประโยชน์ แตะเพียงครั้งเดียวก็แกล้งทำเป็นน่าเวทนากับข้าแล้ว ช่างสกปรกสายตาข้าจริงๆ ไสหัวออกไป” หลันเชี่ยนหยิ่งตะคอกด้วยความโมโห บัดนี้ นางไม่อยากเห็นผู้ใดในสายตาทั้งสิ้นไม่ว่าคนพวกนั้นจะแสดงสีหน้าอย่างไร ในสายตาของนาง ล้วนเห็นว่ากำลังหัวเราะเยาะนาง นางเป็นถึงบุตรีของอัครมหาเสนาบดี เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
พี่เช่อ ซูเช่อ ผู้ที่ได้รับการขนานนามเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงผู้นั้น ทุกครั้งที่เห็นนาง ก็ล้วนมีทีท่าสุภาพอ่อนโยน เรียบร้อยสง่างาม ประดับด้วยรอยยิ้มชวนมอง เหตุใดจึงได้ทำเรื่องที่เหยียดหยามนางเช่นนี้ จะต้องเป็นหลิงมู่เอ๋อร์คนนั้นยุแยงอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
“อี้เถา สองคนที่ส่งไปคราที่แล้วกลับมาหรือยัง?”
นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูอวัยวะบนใบหน้าที่ขมึงทึงในกระจกทองแดง สีหน้าของหลันเชี่ยนหยิ่งกลับยิ่งรุนแรง
เยี่ยเถา สาวใช้ประจำกายก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง ท่าทีอิดออดนั้น ผสานไปด้วยความหวาดกลัวและมิกล้าล่วงละเมิด “เรียนคุณหนู จางต้าสองสามีภรรยา ถูกหลิงมู่เอ๋อร์เปิดโปงในวันนั้นและถูกแจ้งส่งทางการไป บัดนี้ถูกขังอยู่ในที่ว่าการเจ้าค่ะ”
เสียงของเยี่ยเถายิ่งพูดยิ่งเบา ทำให้หลันเชี่ยนหยิ่งโมโหจนเกือบจะถีบนางออกไปในเท้าเดียว “อะไรนะ เรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดจึงไม่รีบบอกข้าก่อน? พวกจางต้าสองคนนั่น หากสารภาพเรื่องข้าออกมาเล่า?”
“คุณหนูโปรดไว้ชีวิต บ่าวก็เพิ่งได้รับข่าวมาเจ้าค่ะ” เยี่ยเถาหวาดกลัวจนรีบคุกเข่าลงเบื้องหน้า “ได้ยิน ได้ยินคนของที่ว่าการพูดว่า หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์แจ้งความก็มิได้เข้าออกที่ว่าการ แต่องค์ชายเจ็ดกลับเคยส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
“องค์ชายเจ็ด?” หลันเชี่ยนหยิ่งยิ่งหวั่นวิตกแล้ว แต่ไรมานางไม่เคยมีบุญคุณความแค้นใดกับองค์ชายเจ็ด คนผู้นั้นตรวจสอบนางไปทำไมกัน? “หรือว่า เพื่อโน้มน้าวตระกูลซูไปเป็นพวก จึงจงใจตรวจสอบเรื่องนี้ เพื่อเป็นการทอดไมตรีให้พี่เช่อ?”
ทุกคนล้วนคิดจะดึงซูเช่อไปเป็นพวก นี่มิใช่ความลับของเมืองหลวงอยู่แล้ว หากองค์ชายเจ็ดมีเจตนาที่จะชักจูง ท่านพ่อมิใช่ว่าต้องลำบากใจทั้งซ้ายขวาหรือ? เช่นนั้นพี่เช่อเล่า ที่แท้เขามีเจตนาใด หากพี่เช่อจะยืนหยัดเป็นพันธมิตรกับองค์ชายเจ็ด ก็เท่ากับเป็นปรปักษ์กับไท่จื่อ เยี่ยงนั้น นางกับพี่เช่อมิใช่ชั่วชีวิตนี้ไร้วาสนาต่อกันแล้วหรือ?
ไม่ได้ ผู้ที่นาง หลันเชี่ยนหยิ่งเลือกตั้งแต่เห็นครั้งแรก จะมอบให้ผู้อื่นได้อย่างไร?
“คุณหนูเจ้าคะ เรื่องในราชสำนักนั้นมิใช่เรื่องที่พวกเราจะวิจารณ์ได้ หากให้นายท่านรู้เข้า จะโมโหเอาได้นะเจ้าคะ” เยี่ยเถามองไปนอกประตู แม้จะกลัวโทสะของคุณหนู แต่ก็ยังคงกล่าวเตือนอย่างภักดี “คุณหนูเจ้าคะ มิเช่นนั้นก็ลืมจวิ้นอ๋องน้อยเสียเถิด คนผู้นั้นแต่ไรมาก็เย่อหยิ่งไม่ยอมสยบ ทั้งยังทำเรื่องที่หยามหมิ่นคุณหนูเช่นนี้ออกมาอีก ต่อให้คุณหนูแต่งไป ก็จะต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นแน่ บ่าวได้ยินว่าช่วงก่อน คุณหนูสามสกุลหวังลูกอนุของรองเสนาบดีกรมคลัง วางแผนให้ร้ายจวิ้นอ๋องน้อย ผลคือ วันถัดมาก็ถูกจวิ้นอ๋องน้อยโยนเข้ากองทัพไปเป็นคณิกากองทัพ คนผู้นั้นมิใช่คู่ครองที่ดีของคุณหนูจริงๆ นะเจ้าคะ”
ที่กล่าวว่า คำภักดีบาดหู แต่คำพูดที่มาจากความจงรักภักดีนั้นกลับเป็นคำพูดที่ผู้คนรังเกียจที่สุด
“เพี๊ยะ” ฝ่ามือถูกซัดลงบนใบหน้าของเยี่ยเถาดังกังวาน หลันเชี่ยนหยิ่งโกรธา ครั้งแรกที่ได้เห็นซูเช่อ อยู่ในงานเลี้ยงที่หวางโฮ่วเหนียงเหนียงเป็นผู้จัด ยามนั้น เขาเพียงเปิดปากก็สร้างความตกตะลึงให้ผู้คน เพลงลืมวสันต์บทนั้น จนถึงบัดนี้นางก็ยังมิอาจลืมเลือน ยังมีการร่ายกระบี่อันไร้เทียมทานที่กุมหัวใจของนางไปอย่างง่ายดาย
ปีนั้น ซูเช่อไม่ทันระวังชนจอกผลึกแก้วในมือล้ม ทำให้กระโปรงของนางเปื้อน ในยามที่ช้อนสายตาขึ้นมองนาง ก็กะพริบดวงตารูปเมล็ดซิ่งที่เคร่งขึมจริงจัง [1] ในยามที่เขาเอ่ยปากว่า “แม่นาง เป็นข้าล่วงเกินแล้ว” น้ำเสียงที่แสนไพเราะนั้น ราวกับจะเปิดประตูหัวใจของนางออกในคราวเดียว
นับแต่นาทีนั้น นางได้ตัดสินใจว่า นี่คือผู้ที่ชั่วชีวิตนี้นางจะแต่งงานด้วย
ปีนั้น นางอายุสิบสี่นับจากบัดนั้น นางก็มักจะรวบรวมข่าวสารที่มีความเกี่ยวข้องกับซูเช่อ ขอเพียงเป็นงานที่สตรีสามารถเข้าร่วมได้ ขอเพียงมีซูเช่ออยู่ นางจะต้องไปอย่างแน่นอน
“คุณชายซูอายุมากกว่าข้าเล็กน้อย ยืนอยู่ข้างกายของท่านทำให้ข้ารู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก ภายหน้า ข้าสามารถเรียกท่านว่าพี่เช่อได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ในวันนั้น ซูเช่อมิได้ปฏิเสธ จากนั้นเป็นเวลานานแสนนาน คำนั้นก็กลายเป็นคำเรียกเฉพาะของนาง
นางชอบซูเช่อ ยากจะหนีจากสายตาของผู้อื่นไปได้ ท่านพ่อแต่ไรมาก็รักใคร่เอ็นดูนาง และเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่มีกับซูเหล่าฟูเหริน จึงมีเจตนาให้สองตระกูลเชื่อมสัมพันธ์กัน นางแม้ในยามหลับฝันก็ยังคิดถึงวันที่จะได้แต่งงานกับซูเช่อ
ส่วนซูเช่อนั้น ทุกครั้งที่พบนาง มุมปากประดับไว้ด้วยรอยยิ้มบางๆ นางไม่เชื่อว่าเขาไม่มีความรู้สึกต่อนาง
นางเป็นถึงคุณหนูผู้มากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉมหรือความสามารถล้วนอยู่เหนือผู้อื่น หากมิใช่เพราะท่านพ่อไม่อยากให้นางแต่งเข้าวังไปทนทุกข์ การที่นางจะกลายเป็นกุ้ยเฟยผู้ได้รับความโปรดปรานก็ใช่ว่าจะเป็นไปมิได้
ถูกแล้ว นี่จะต้องเป็นเพทุบายของหลิงมู่เอ๋อร์ผู้ชั่วร้ายคนนั้นแน่
“หลิงมู่เอ๋อร์ นังหญิงชาวนานั่น ไม่รู้ว่านางใช่เล่ห์กลใดของนางปีศาจจิ้งจอก พี่เช่อจึงเอาแต่วนอยู่รอบกายนาง ความอัปยศครั้งยิ่งใหญ่ในครานี้ หากข้ามิได้แก้แค้นย่อมไม่มีทางรามือ”
—————-
“พี่หญิง หากท่านไม่มอบความเป็นธรรมให้แก่ข้า ครั้งนี้เชี่ยนเอ๋อร์ก็ไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้แล้ว ข้ายอมที่จะโขกศีรษะตายไปเสียเลย” หลันเชี่ยนหยิ่งพูดจบก็หมุนตัวพุ่งเข้าใส่เสาหินที่อยู่ด้านนอก
มัวมัวชราที่อยู่ด้านข้างเมื่อเห็นดังนั้น ก็รีบขวางนางไว้ “คุณหนูหลัน ท่านทำเช่นนี้ทำไมกัน ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงเป็นญาติผู้พี่ของท่าน จะปล่อยให้ท่านถูกหญิงชาวนานางหนึ่งรังแกได้อย่างไร?”
ตำหนักไท่จื่อ หลันเชี่ยนหยิ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นถึงหนึ่งชั่วยามแล้ว สิ่งที่ควรพูดและที่ไม่ควรพูด ประกอบกับหยาดน้ำตาที่เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจของนาง ท่าทางที่น่าเวทนาน่าสงสารนั้น ทำให้คนปวดใจเสียเหลือเกิน
“บังอาจนัก หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นกล้ายุแยงซูเช่อให้ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาจริงหรือ?” เนตรหงส์ที่น่ามองของไท่จื่อเฟยคู่นั้นหรี่ลงจนเหลือเพียงรอยแยกที่หางตาและปลายคิ้วเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
ครั้งก่อนหลิงมู่เอ๋อร์ผู้นั้นพูดอะไรเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างร่างกายให้นาง หลังจากนั้นสองสามวันก็รู้สึกสบายขึ้นมากจริงๆ แต่ในยามนั้น เกือบจะทรมานเอาชีวิตของนางไปครึ่งหนึ่งแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์คนนั้นเป็นผู้ที่มีฝีมือ และก็เป็นคนที่มีความกล้าไม่กลัวตาย อาศัยว่ามีซั่งกวนเซ่าเฉินและฝ่าบาทมาข่มขู่ นางจึงไม่กล้าทำสิ่งใด แต่บัดนี้ กลับรังแกมาถึงญาติผู้น้องของตน นางต้องถือโอกาสนี้ จะอย่างไรก็ต้องกำราบหลิงมู่เอ๋อร์ให้ได้้
“เรื่องใหญ่เช่นนี้ เชี่ยนหยิ่งจะกล่าวเท็จต่อไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงได้อย่างไร หลิงมู่เอ๋อร์คนนั้น ทั้งที่รู้ว่าท่านเป็นญาติผู้พี่ของข้า ยังกล้ารังแกข้าเช่นนี้ ก็แสดงว่าไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาเลยจริงๆ ” หลันเชี่ยนหยิ่งทางหนึ่งเช็ดน้ำตา อีกด้านหนึ่งก็เอาแต่สะอึกสะอื้นอย่างน้อยใจ หญิงงามมีชีวิตที่บัดนี้น้อยใจจนทำให้คนอยากกดไว้ในอ้อมกอดเพื่อปลอบใจดีๆ
“เจ้าเด็กนอกคอก! อาศัยนางซึ่งเป็นเพียงหญิงชาวนา ยังกล้ารังแกมาถึงบนศีรษะของข้า เจ้าวางใจเถิด สำหรับเรื่องนี้ ข้าจะต้องมอบคำอธิบายที่น่าพอใจให้เจ้าแน่” ไท่จื่อเฟยเอนกายอยู่บนเก้าอี้อันอ่อนนุ่มอย่างเกียจคร้าน ริมฝีปากบางยกขึ้น กลายเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย
หลิงมู่เอ๋อร์ใช่หรือไม่ นางจะดูว่า วิชาแพทย์ของนางจะสามารถรักษาชีวิตของนางให้อยู่รอดปลอดภัยได้หรือไม่
“หม่อมฉันขอบพระทัยไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงเพคะ” เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัด หยาดน้ำตาที่เมื่อครู่ยังไหลออกมาไม่หยุด ก็หยุดลงกะทันหัน หลันเชี่ยนหยิ่งฝืนยิ้มบางออกมาท่ามกลางความขมขื่น “ไท่จื่อเฟยเหนียงเหนียงเป็นพระโพธิสัตว์มีชีวิตที่มีพระทัยเมตตาอย่างแท้จริง เชี่ยนหยิ่งเชื่อว่าขอเพียงมีท่านอยู่ หลิงมู่เอ๋อร์นางนั้น ย่อมไม่กล้าขุดดินเหนือเศียร์ของไท่สุ้ย [2] เป็นแน่”
“เจ้าสาวน้อยคนนี้ ก็เป็นเจ้าที่รู้จักพูด ลุกขึ้นมาเถอะ ท่าทางเช่นนี้ให้คนเห็นแล้วก็ปวดใจนัก ซูเช่อผู้นั้นก็ไม่รู้ว่ามีเส้นเอ็นใดไม่ถูกต้อง ถึงกับกล้าทำผู้ที่น่าสงสารเช่นเจ้า ดูว่าวันหลังข้าจะจัดการกับเขาอย่างไร ”
“อย่าเพคะ” ทันทีที่ได้ยินไท่จื่อเฟยกล่าวเช่นนี้ ศีรษะของหลันเชี่ยนหยิ่งก็ส่ายราวกับกลองป๋องแป๋ง “เหนียงเหนียง มิใช่ความผิดของพี่เช่อเพคะ เป็นหลิงมู่เอ๋อร์คนนั้น ใช้ลูกไม้ของนางจิ้งจอกทำให้พี่เช่อลุ่มหลง ข้าเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เผยหางจิ้งจอกออกมา พี่เช่อย่อมจะรู้ว่า เป็นผู้ใดที่จริงใจต่อเขาอย่างแท้จริง”
“เจ้านะเจ้า ข้าควรจะว่าเจ้าอย่างไรดี ซูเช่อผู้นั้นทำร้ายเจ้าเพียงนี้แล้ว ยังจะช่วยพูดให้เขาอีก เขาก็เพราะจับได้ว่าเจ้ามีความรักลึกซึ้งต่อเขา จึงได้ทำเช่นนี้” ไท่จื่อเฟยถอนใจครั้งหนึ่ง ยิ่งมองหลันเชี่ยนหยิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่านางเหมือนตนในยามเยาว์วัย
ทันทีที่รักคนผู้หนึ่งเข้า ก็กลายเป็นทั้งชีวิต ไม่ว่าในใจของคนผู้นั้นจะมีตนหรือไม่ ล้วนจะคิดว่ากาลเวลาพิสูจน์ใจ ทว่าผลลัพธ์เล่า?
บัดนี้ ข้างกายของไท่จื่อมีสตรีนับไม่ถ้วน ห้องนี้ของนางนานแล้วที่มิได้เห็นแม้เพียงเงา ความทุ่มเทในหลายปีนั้น ที่แท้คุ้มค่าหรือไม่?
“ซูเช่อเป็นคุณชายอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง กับเจ้าแล้วถือได้ว่าเป็นคู่ที่เหมาะสม แต่เจ้าจงคิดให้ดี หากในใจของเขาไม่มีเจ้า…”
“ไม่มีทางเพคะ” หลันเชี่ยนหยิ่งตอบกลับอย่างเด็ดขาดมาก “หากพี่เช่อไร้ไมตรีต่อข้า จะปฏิบัติต่อข้าอย่างอ่อนโยนเพียงผู้เดียวได้อย่างไร ถ้ามิใช่เพราะหลิงมู่เอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นมาล่อลวงวิญญาณของเขาไป เขาย่อมไม่มีทางทำให้ข้าต้องตกอยู่ในความลำบากเช่นนี้ ข้าเชื่อในตัวพี่เช่อเพคะ”
ความยึดมั่นและความหลงใหลในดวงตาของหลันเชี่ยนหยิ่งเหมือนตัวนางในยามเยาว์วัยมิมีผิดเพี้ยน
ความสุขของนางปราศจากจุดจบที่สมบูรณ์แบบ มิอาจให้สาวน้อยนางนี้เดินทางสายเก่าของนางเป็นอันขาด
“ช่างเป็นสาวน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจจริงๆ วางใจเถอะ ต่อให้เห็นแก่ที่เจ้าทุ่มเทต่อความรักอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ ข้าก็จะช่วยเจ้า ถึงอย่างไรก็เป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน” มีแต่ไท่จื่อได้สืบทอดบัลลังก์ นางจึงจะกลายเป็นหวางโฮ่วเหนียงเหนียง อยู่ใต้คนผู้เดียว อยู่เหนือคนนับหมื่น แต่ก่อนหน้านั้น จะต้องได้รับการสนับสนุนจากตระกูลซู
แม้ยามนี้ ซูเหล่าฟูเหรินจะยืนอยู่ฝั่งไท่จื่อ แต่ซูเช่อเป็นผู้ที่กลิ้งกลอก รักษาสภาพเป็นกลางอยู่ตลอดเวลา แต่หากแต่งกับหลันเชี่ยนหยิ่ง บทสรุปก็จะต่างไปจากเดิมมากแล้ว
“เชี่ยนหยิ่งขอบคุณญาิตผู้พี่เพคะ”
ส่งหลันเชี่ยนหยิ่งจากไป มัวมัวชราเดินมายังข้างกายของไท่จื่อเฟยอย่างไม่เร่งร้อน “เหนียงเหนียง ทรงตัดสินใจช่วยคุณหนูญาติผู้น้องสั่งสอนหลิงมู่เอ๋อร์จริงหรือเพคะ แต่ว่าร่างกายนี้ของท่าน…”
ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้นางหยุดปาก ไท่จื่อเฟยหยัดกายขึ้นอย่างเงียบๆ นิ้วละเอียดเรียวยาวประกบเป็นรูปดอกกล้วยไม้ ก็มีบ่าวรับใช้เดินมาข้างกาย ประคองนางให้ค่อยๆ เดิน ทุกการขมวดคิ้ว ทุกรอยยิ้ม ทุกท่วงท่า ทุกการเคลื่อนไหว ล้วนแสดงถึงความสูงศักดิ์น่ายำเกรงของนาง
“เจ้าเห็นเปิ่นกงเป็นคนเขลาหรืออย่างไร? หลิงมู่เอ๋อร์รับปากว่าครึ่งปีจะรักษาร่างกายของข้าให้หายดี ก่อนที่จะไปถึงผลลัพธ์นั้น ข้าจะทิ้งเบี้ยรักษาขุนได้อย่างไร? หลันเชี่ยนหยิ่งแม้จะเป็นญาติผู้น้องของข้า แต่อย่างไรก็มิได้กำเนิดจากครรภ์เดียวกัน ข้าเพียงแค่สั่งสอนก็พอแล้ว แต่หากสามารถถือโอกาสนี้ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์เก็บความผยองลงเสียบ้าง หรือให้ข้าใช้สอย นี่มิใช่หินก้อนเดียวได้นกสองตัวหรือ”
ขอเพียงช่วยหลันเชี่ยนหยิ่ง ก็จะทำให้จวนอัครเสนาบดีติดค้างน้ำใจนางเรื่องหนึ่ง ในภายภาคหน้า ตำแหน่งหวางโฮ่วของนางย่อมมั่นคงแล้ว
เชิงอรรถ
[1] เมล็ดซิ่ง คือ เมล็ดอัลมอลด์
[2] ไท่สุ้ย คือ เทพที่ทรงอำนาจที่สุดในเทพแห่งพิภพ การแตะต้องดินเหนือเศียรของไท่สุ้ยจึงเปรียบดังการล่วงเกินผู้มีอำนาจผู้เป็นเจ้าแห่งอาณาเขตนั้น อันจะนำมาซึ่งเคราะห์ภัยที่ร้ายแรง
—————————————
นิยายเรื่องนี้จะเผยแพร่ทุกวัน วันละ 2 ตอน เวลา 16:00 น. และ 21:00 น. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ