เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 4 บทที่ 93 เพื่อนเก่า
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 4 บทที่ 93 เพื่อนเก่า
เล่มที่ 4 บทที่ 93 เพื่อนเก่า
บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามาคาราวะหนานกงอี้จืออย่างเคารพว่า “ซื่อจื่อ เชิญทางนี้ขอรับ”
หนานกงอี้จือปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนร่าง เปลี่ยนกลับสู่ท่าทีสูงส่งถือตัว เขาโบกมือกล่าวเรียบ ๆ ว่า “เช่นนั้น ก็นำทางเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์ขึ้นรถม้าที่จวนจวิ้นอ๋องเป็นผู้จัดออกจากจวนจวิ้นอ๋องไป ในยามที่กลับถึงจวนสกุลหลิง หยางซื่อและหลิงต้าจื้อล้วนไม่อยู่ นางโยนสัมภาระให้ซางจือและเจี้ยงเซียง จากนั้น ก็นำกล่องยาของตนออกจากบ้าน ก่อนออกไป หลิงมู่เอ๋อร์ได้กล่าวกับเจี้ยงเซียงว่า “มอบภารกิจให้เจ้าอย่างหนึ่ง เจ้าไปที่สมาคมค้าม้า ซื้อรถม้าคันหนึ่ง จากนั้นซื้อคนขับรถม้าผู้หนึ่งกลับมา”
ยามนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมืองหลวงก็ไม่เหมือนชนบทแห่งนั้น พวกเขาที่เป็นครอบครัวใหญ่เช่นนี้ยังคงต้องมีรถม้าสักคันถึงจะสะดวกกว่า ส่วนคนขับรถม้านั้น ก็หาเป็นพิเศษสักคนเถิด แม้จะกล่าวว่าชายฉกรรจ์ในบ้านก็สามารถขับรถม้าได้ แต่ให้หลิงเฉิงและหลิงหลียอดฝีมือเช่นนี้ไปขับรถม้า ก็ออกจะใช้ผู้มีความสามารถไปทำเรื่องเล็ก ๆ อยู่บ้าง
“มาแล้ว” เหยาซื่อเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็รีบวิ่งมาเปิดประตู
ในยามที่เปิดประตู เมื่อมองเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยก็ปรากฏรอยยิ้มที่เบิกบานออกมา “แม่นางหลิงมาแล้ว รีบเข้ามาเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม “ท่านป้า ช่วงนี้คุณชายโจวเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อาศัยบุญวาสนาของท่าน บัดนี้ สามารถมองเห็นสิ่งของได้เล็กน้อยแล้ว แม่นางหลิง ขอบคุณท่านมากจริง ๆ ” เหยาซื่อจับมือของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้ กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “ฉีเอ๋อร์นับตั้งแต่เกิดก็มิเคยเห็นแสงสว่าง ทุกสิ่งในโลกของเขาล้วนมืดมิด ท่านนำแสงสว่างมาสู่เขา ถือได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณในชีวิตของเขา พวกเราไม่มีทางลืมพระคุณของท่านตลอดไป”
“ท่านป้าเกรงใจเกินไปแล้ว ในฐานะหมอ ช่วยผู้คนจากความตาย รักษาอาการเจ็บป่วย ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ” หลิงมู่เอ๋อร์ถือกล่องยาเข้าไป ในยามที่ผ่านประตูห้องของจูชิงเฟิง นางก็เหลือบมองเข้าไปด้านในคราหนึ่ง วันนี้ประตูห้องปิดสนิท ไม่รู้ว่าคนหัวโบราณผู้นั้นกำลังทำสิ่งใด ปกติแล้ว ในยามที่นางมารักษาดวงตาให้บุตรชายของเขา เขาก็จะปรากฏกายออกมา หรือเมื่อรู้ว่าดวงตาของบุตรชายมีความหวังที่จะฟื้นฟูกลับมาได้ จึงวางความกังวลในใจลง แล้วเริ่มสร้างเรื่องอีก?
เหยาซื่อมองประตูห้องครั้งหนึ่ง ถอนใจเบาว่า “ท่านอย่าได้ถือสาเลย เขาก็มีนิสัยเช่นนี้ หลายปีแล้ว ไม่รู้เหตุจึงยังแก้นิสัยไม่ดีนั่นมิได้เสียที”
“หากแก้ไขได้ง่ายดายเพียงนั้น เขาก็มิใช่ผู้อาวุโสจูแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเบา “จากที่ข้าทราบ ผู้คนในราชสำนักต่างทั้งรักทั้งชังเขา เขามิได้พบกับกษัตริย์ผู้ปรีชา หากได้พบกษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องแล้ว ย่อมสามารถกลายเป็นขุนนางผู้ทรงธรรมที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน”
ชายชราที่อยู่ในห้องเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ จิตใจก็อดสั่นไหวไม่ได้ เรื่องที่แม้แต่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ นางหนึ่งก็สามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ตัวเขาจะมิเข้าใจได้อย่างไร ทว่า เขาไม่อาจเลือกกษัตริย์ได้ ยิ่งไม่มีหนทางไปทอดถอนใจที่ตนเกิดผิดยุคสมัย นอกจากเคืองแค้นตนเองไปแต่ละวันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดอีกจริง ๆ
เอี๊ยด! ประตูห้องเปิดออก ชายชรามองหลิงมู่เอ๋อร์โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ในยามที่เผชิญหน้ากับสีหน้าไม่เข้าใจของหลิงมู่เอ๋อร์ ชายชราก็กล่าวอย่างเย็นชาว่า “อาจารย์ของน้องชายเจ้าหาได้แล้วรึ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มออกมา “พวกเราไม่คิดจะเชิญผู้ฝึกสอนแล้ว แต่คิดจะเชิญอาจารย์แทน นี่ใช่ผู้อาวุโสจูใช่รับปากแล้วหรือไม่? ”
“ข้าต้องพบน้องชายของเจ้าก่อนจึงค่อยกล่าวได้ หากเขาไม่มีรากฐานแห่งปัญญา อย่าว่าแต่เป็นอาจารย์ แม้จะเป็นผู้ฝึกสอนทั่วไปก็ไม่ได้” จูชิงเฟิงชักสีหน้า
“ได้ ถือคำนี้เป็นข้อตกลง” เหยาซื่อกำลังกังวลใจว่านิสัยไม่ดีของจูชิงเฟิงจะล่วงเกินคนเข้าอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะรับปากอย่างง่ายได้เช่นนี้
เหยาซื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างขอบคุณ หลายวันมานี้ ที่หลิงมู่เอ๋อร์ได้ช่วยเหลือ มิใช่เพียงดวงตาของจูฉี แต่เป็นคนทั้งบ้านที่ค่อย ๆ กลายสภาพเข้าสู่ความตายด้วย หากมิใช่การมาถึงของนาง นางยังคงต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ผู้ชายทั้งสองคนในบ้านก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในมุมที่มืดมิด
“อย่างนั้น…จะย้ายตอนนี้เลยหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์ลองถามดูคำหนึ่ง
จูชิงเฟิงมิได้กล่าววาจา เหยาซื่อที่รู้ใจเขาเข้าใจ นี่เป็นการยอมรับอย่างเงียบงันแล้ว นางกล่าวอย่างมีความสุขว่า “ข้าจะไปเก็บของ”
จูฉีเดินออกมาจากด้านในของห้อง เขาที่หล่อเหลาสง่างาม แม้จะสวนชุดที่เก่ามาก แต่ก็ยังคงมีราศีที่อ่อนโยนสง่างาม มองบุรุษผู้นี้แล้ว มักรู้สึกราวกับมีพี่ชายข้างบ้าน ทำให้คนรู้สึกดีจากหัวใจ
หลิงมู่เอ๋อร์ประคองมือของเขา กล่าวเสียงเบาว่า “เหตุใดจึงออกมาเล่า? ตรงนี้เป็นธรณีประตู ท่านต้องระวังหน่อยจึงจะได้ แม้ว่าตอนนี้ดวงตาจะฟื้นฟูได้ไม่เลว แต่ก็มิอาจบาดเจ็บได้อีก”
ดวงตาของจูฉีสามารถมองเห็นแสงสว่างได้เล็กน้อยแล้ว เบื้องหน้าของเขามีเงาร่างเลือนรางอยู่สายหนึ่ง คลับคล้ายว่าจะสามารถมองเห็นร่างที่ผอมบางได้ร่างหนึ่ง
ได้ยินคำพูดที่แสดงความเป็นห่วงของหลิงมู่เอ๋อร์ จูฉีก็กล่าวอย่างสำนึกขอบคุณว่า “แม่นางหลิงโปรดวางใจ ข้ารู้ทุกจุดในบ้านเป็นอย่างดี แม้มองไม่เห็นก็ไม่มีทางล้ม”
“ในห้องของท่านยังมีสิ่งใดที่ต้องจัดการอีก? ในเมื่อจะย้าย เช่นนั้น กลับไปแล้วค่อยตรวจอาการให้ท่าน ข้าจะช่วยท่านป้าเหยาย้ายของก่อน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
จูฉีเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา แม้จะมองเห็นไม่ชัด แต่บัดนี้ ดวงตาของเขาเริ่มมีการตอบสนองแล้ว เขาทอดถอนอยู่ในใจ อยากจะเห็นนางเสียบัดนี้เหลือเกิน!
ความอ่อนโยนของหลิงมู่เอ๋อร์ดุจดั่งแสงสว่างสายหนึ่งที่ส่องเข้ามาในจิตใจอันหนาวเหน็บมานานเกินไปของจูฉี ในยามเดียวกัน นางได้กลายมาเป็นสิ่งพิเศษที่ดำรงอยู่ในใจของเขา
เหยาซื่อมองสีหน้าของจูฉี อารมณ์ซับซ้อนอยู่บ้าง
ในฐานะที่เป็นมารดาของจูฉี นางจะไม่เข้าใจความในใจของบุตรชายได้อย่างไร? ทว่าแม่นางผู้นี้เพียงดูก็รู้ว่าเป็นผู้มีความสามารถ จะเป็นผู้ที่พวกนางสามารถอาจเอื้อมได้อย่างไร?
บ้านสกุลจูได้ตกต่ำลงนานแล้ว พวกเขาในตอนนี้ยังต้องพึ่งการสนับสนุนด้านการเงินจากแม่นางผู้นี้ หากแต่เริ่มแรก ฝ่ายชายก็เป็นฝั่งที่ด้อยกว่าเสียแล้ว ภายหน้าคิดอยากจะให้สตรีให้ความสำคัญ นั่นก็เป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว
“ท่านป้าเหยา ท่านเป็นกระไร?” หลิงมู่เอ๋อร์สังเกตเห็นสีหน้าของเหยาซื่อมีความผิดปกติ จึงถามอย่างสงสัย “มีที่ใดไม่สบายหรือ?”
เหยาซื่อได้สติกลับมา ส่ายศีรษะเบาๆ “ไม่มีสิ่งใด ไม่มีสิ่งใด ข้าสบายดีมาก”
“มีแค่ของพวกนี้หรือ ยังมีสิ่งใดที่จำเป็นต้องนำไปด้วยอีกหรือไม่” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นห่อผ้าสองสามห่อเบื้องหน้า นอกจากห่อใหญ่ที่เป็นเสื้อผ้าห่อหนึ่งแล้ว อย่างอื่นล้วนเป็นตำรา หนังสือในยุคนี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก บางส่วนยังเป็นหนังสือโบราณ หลิงมู่เอ๋อร์สามารถเข้าใจถึงความรักและหวงแหนที่จูชิงเฟิงมีต่อตำราได้
“ไม่มีแล้ว ล้วนอยู่ที่นี่แล้ว” เหยาซื่อพูดอย่างเขินอาย
“เช่นนั้นก็ดี พวกท่านรอที่นี่สักครู่ ข้าจะไปเรียกรถม้า” หลิงมู่เอ๋อร์พูดจบ ไม่รอให้เหยาซื่อกล่าวก็ออกจากประตูไปแล้ว
เหยาซื่อมองเงาร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ที่จากไป ยิ่งมายิ่งรู้สึกว่า แม่นางหลิงผู้นี้เป็นคนที่มีอัธยาศัยดีอย่างมาก น่าเสียดายที่บุตรชายของนางไร้วาสนานี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ก็พาชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินเข้ามา ชายฉกรรจ์ผู้นั้นชี้ไปที่สัมภาระบนพื้นแล้วกล่าวว่า “เป็นของพวกนี้หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ด้านหนึ่งขนย้ายของ อีกด้านหนึ่งกล่าวว่า “ใช่แล้ว รบกวนพี่ท่านช่วยข้าขนย้ายสักครู่”
จากชุมชนผู้ยากไร้ไปถึงจวนสกุลหลิงต้องนั่งรถม้าเป็นเวลาหนึ่งเค่อ เหยาซื่อยังคงออกมาซื้อแป้งและข้าวเป็นครั้งคราว แต่จูชิงเฟิงกับจูฉีมิได้ออกมานานมากแล้ว จากสีหน้าของคนทั้งสองสามารถมองออกได้ว่า พวกเขาสนใจความครึกครื้นภายนอกอย่างมาก เพียงแต่หลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่เบื้องหน้า พวกเขาไม่เหมาะที่จะเสียมารยาท จึงได้แต่อดทนต่อความรู้สึกที่อยากออกไปชมไว้
มาถึงจวนสกุลหลิง หลิงมู่เอ๋อร์เคาะประตูใหญ่ ให้เหล่าบ่าวรับใช้ด้านในออกมาช่วยเหลือ
ตัวเรือนในยามนี้ เปรียบกับในอดีตแล้วยังใหญ่ และเมื่อไม่นานมานี้ หลิงมู่เอ๋อร์ได้ซื้อบ่าวรับใช้ทั่วไปมาอีกสองสามคน บัดนี้ แม้ไม่อาจกล่าวว่าสามารถเปรียบกับเหล่าตระกูลใหญ่ได้ แต่อย่างน้อย บ่าวรับใช้ชายในเรือนมีสิบห้าคน สาวใช้มีสิบห้านาง คนสวนที่รับผิดชอบดูแลสวนสามคน ผู้รับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเรือนสิบคน ยังมีผู้ติดตามของหลิงจือเซวียน ผู้ติดตามของหยางต้าหนิว และหลิงต้าจื้อ แบบนี้ เมื่อนับขึ้นมาแล้วก็มีคนถึงห้าสิบกว่าคน
เหยาซื่อเมื่อเข้าประตูมา ก็เห็นสวนที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม และหยางซื่อกับถังซื่อที่แต่งตัวอย่างเรียบง่าย จะอย่างไรนางก็เคยเป็นภรรยาขุนนางมาก่อน จึงไม่ถึงกับมือไม้พันกัน ยามที่เผชิญหน้ากันคนสกุลหลิงทั้งหมด นางก็ยังสามารถรักษาท่าทีที่อ่อนโยนและสง่างามอย่างที่สุดไว้ได้ ในจุดนี้ กลับทำให้หลิงมู่เอ๋อร์อดมองใหม่ด้วยความชื่นชมมิได้
หยางซื่อและถังซื่อรู้มานานแล้วว่า หลิงมู่เอ๋อร์ต้องการเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาเป็นอาจารย์ให้หลิงจืออวี้ หลิงจือเซวียนก็อยากเรียนหนังสือเช่นกัน นี่เป็นเรื่องที่คนบ้านสกุลหลิงต่างก็ให้การสนับสนุน บัดนี้ บ้านสกุลหลิงไม่ขาดแคลนเงินทอง ขอเพียงหลิงจือเซวียนและหลิงจืออวี้เต็มใจเล่าเรียน พวกเขาก็จะยกสองมือสนับสนุน ดังนั้น การมาถึงของคนสกุลจูทั้งหมด จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนรอคอย
“ได้ยินมานานแล้วว่าพี่สะใภ้เป็นผู้มีความสามารถ” หยางซื่อจับมือของเหยาซื่อ “ข้าเป็นคนหยาบ ไม่รู้หนังสือแม้เพียงตัวเดียว วันหลังต้องรบกวนให้พี่สะใภ้ช่วยแนะนำข้าแล้ว”
เหยาซื่อคิดไม่ถึงว่าหยางซื่อจะเกรงใจเช่นนี้ เมื่อก่อน ในยามที่นางเป็นภรรยาขุนนางก็ได้พบปะผู้คนมาไม่น้อย สตรีเหล่านั้นต่างแย้มยิ้มแต่เพียงใบหน้า นางแม้ไม่ทำร้ายใคร แต่ก็ต้องป้องกันมิให้ถูกคนทำร้าย เป็นภรรยาขุนนางมานานหลายปี ยังไม่เคยตกหลุมพรางของผู้ใดมาก่อน ทว่า หยางซื่อไม่เหมือนสตรีแสแสร้งพวกนั้น นางเห็นถึงความจริงใจในดวงตาของนาง เพราะไม่ใช่สตรีทุกนางจะพูดเรื่องที่ไม่รู้หนังสือออกมาได้ เห็นได้ชัดว่านางมีจิตใจที่เปิดเผย ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง
“น้องสาวเกรงใจเกินไปแล้ว” เหยาซื่อสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง พบว่าหยางซื่อมิมีเล่ห์เหลี่ยมใดจริงๆ จึงใช้ความจริงใจสนองกลับไป
จูชิงเฟิงและจูฉีอย่างไรก็เป็นแขกบุรุษ หลังที่พวกเขามาถึง หลิงจือเซวียนก็รับผิดชอบออกหน้าต้อนรับ จูฉีกับหลิงจือเซวียนมีอายุในรุ่นราวเดียวกัน พวกเขาจึงพูดคุยกันถูกคอ
“ข้าเตรียมเรือนมั่วเซียงไว้ ผู้อาวุโสจูและคุณชายจูสามารถลองดูก่อนได้ หากไม่ชอบการตกแต่งที่นั่นก็บอกข้าได้โดยตรง ข้าจะจัดเตรียมเรือนอื่นให้” หลิงจือเซวียนปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างอ่อนโยน จุดนี้มีความคล้ายคลึงกับจูฉี จูชิงเฟิงแม้จะพิถีพิถันอีกเพียงใด ยามได้เห็นหลิงจือเซวียนที่มีนิสัยคล้ายบุตรชายของตน สีหน้าก็อ่อนโยนลง
หลังจัดหาที่พักให้คนสกุลจูทั้งหมดแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็พาหลิงจืออวี้ หยางเสี่ยวหู่ และฝูเอ๋อร์ มาให้จูชิงเฟิงสอบสัมภาษณ์
จูชิงเฟิงทดสอบพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง สำหรับความรู้ของหลิงจืออวี้นั้น จูชิงเฟิงก็พยักหน้าเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่าพึงพอใจ เมื่อมาถึงรอบของหยางเสี่ยวหู่และฝูเอ๋อร์ สีหน้าของจูชิงเฟิงกลับไม่น่าดูขึ้นมาแล้ว มิใช่ว่าคนทั้งสองย่ำแย่อย่างมาก แต่เป็นเพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า พลังจิตของคนทั้งสองไม่เพียงพอ อนาคตมิอาจทำการใหญ่ได้
“ข้าสามารถสอนน้องชายของเจ้าได้ ส่วนสองคนนี้ ก็ให้พวกเขาคอยฟังอยู่ด้านข้างเถอะ!” ฟังอยู่ด้านข้าง ก็แปลว่าจะไม่รับพวกเขาอย่างเป็นทางการ พวกเขาสามารถฟังรู้เรื่องเท่าใด ก็เป็นความสามารถของพวกเขา เขาจะไม่รับผิดชอบผลการเรียนของพวกเขา
นี่คือความหมายของจูชิงเฟิง
หลิงมู่เอ๋อร์ออกจะไม่พอใจอยู่บ้าง ความปรารถนาเดิมของนางคือ แม้ว่าจูชิงเฟิงจะสร้างความลำบากให้มากเท่าใด อย่างน้อยก็ยังสอนให้พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งใดบ้าง ‘ศิษย์อาจารย์’ฐานะนี้ก็มิได้สำคัญถึงเพียงนั้น คิดไม่ถึงว่า จูชิงเฟิงไม่เพียงไม่เต็มใจรับพวกเขาไว้ แม้แต่ความคิดที่จะสอนพวกเขาก็ยังไม่มี เขาคิดเพียงทุ่มเทสุดกายใจเพื่อฝึกฝนหลิงจืออวี้
ยังไม่กล่าวถึงว่าหยางเสี่ยวหู่และฝูเอ๋อร์ที่เป็นเด็กที่มีสัญชาตญาณที่เฉียบไวเพียงใด แม้แต่หลิงจืออวี้เองก็จะไม่พอใจเช่นกัน เพราะในยามนี้ เขาเห็นหยางเสี่ยวหู่เป็นดั่งพี่น้องแท้ๆก็ไม่ปาน