เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 4 บทที่ 92 โกรธแค้น
เล่มที่ 4 บทที่ 92 โกรธแค้น
เพียะ! แส้เส้นหนึ่งฟาดมาที่หลิงมู่เอ๋อร์หลิงมู่เอ๋อร์รีบหลบ จึงมิได้ถูกแส้ฟาดจนใบหน้ามีบาดแผลนางหันศีรษะกลับมามองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า ก็เห็นหญิงสาวที่อยู่ในชุดแดงก่ำราวโลหิตกำลังถลึงตาอย่างโมโหใส่หลิงมู่เอ๋อร์ ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและอับอาย “เจ้าหลอกพี่ชายของข้าผู้เดียวยังไม่พอ ตอนนี้ยังคิดจะมาหลอกท่านย่าของข้าอีก เจ้ามันหญิงหลอกลวงที่มาจากบ้านนอก ผู้ใดมอบความกล้าให้เจ้ากัน คิดจะจับมังกรเพื่อกลายเป็นหงส์? เจ้าไม่รู้จักมองสภาพของตนเอง เจ้าคู่ควรกับพี่ชายของข้าหรือ?”“เจาหยาง” ซูเหล่าฟูเหรินเรียกด้วยความโกรธ “ยังไม่รีบหยุดมือให้ข้าอีก”เจาหยางจวิ้นจู่ไม่พอใจหลิงมู่เอ๋อร์มานานแล้ว บัดนี้ ทักษะการต่อสู้ที่หลิงมู่เอ๋อร์แสดงออกมายิ่งทำให้นางเกิดความรู้สึกต่อสู้ขึ้นมา เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ราวกับงูน้อยคล่องแคล่วตัวหนึ่ง พลิ้วออกจากข้างกายของนางด้วยความเร็วสุดแสน แส้ของนางโบกซัดเข้าไป ทุกครั้งที่แส้ของนางจะโดนปลายเสื้อของนาง ก็จะถูกนางหลบไปได้อีก
“ไร้เหตุผลนัก” ซูเหล่าฟูเหรินโมโหจนทุบหน้าอก “ใครรีบมา ดึงตัวเจาหยางจวิ้นจู่ไว้ อย่าให้นางทำตัวเหลวไหล”ผู้คุ้มกันเรือนได้ยินเสียงก็วิ่งเข้ามา พวกเขาพบกับเจาหยางจวิ้นจู่ที่กำลังคลุ้มคลั่ง ในยามนี้ก็รู้สึกลำบากใจ ด้วยสภาพของเจาหยางจวิ้นจู่ในยามนี้ พวกเขาไม่อาจเข้าใกล้ตัวนางได้ สถานการณ์ในยามนี้มีเพียงรอให้พวกนางหยุดลงด้วยตนเองเท่านั้น“เจ้าไปดูว่าจวิ้นอ๋องน้อยกลับมาหรือไม่” ซูเหล่าฟูเหรินกล่าวกับมัวมัวชรา “องค์หญิงใหญ่กับซวิ่นเอ๋อร์ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ที่นี่มีเพียงเช่อเอ๋อร์เท่านั้นที่สามารถควบคุมนางได้ ”มัวมัวชรารับคำทีหนึ่ง วิ่งซอยเท้าออกจากห้องไป นางพึ่งออกไปได้ไม่นาน ก็เห็นซูเช่อที่ทราบเรื่องมาอย่าวเร่งร้อน
“หยุดมือ” ทันทีที่ซูเช่อปรากฎกาย ก็ใช้ความเร็วที่ว่องไวอย่างมากไปยืนอยู่ด้านหลังของเจาหยางจวิ้นจู่ ใช้มือแย่งแส้ในมือของนางมา “เจ้ายิ่งมายิ่งย่ำแย่แล้ว ในยามปกติโอหังเกเรอยู่เบื้องนอกก็ช่างแล้ว ตอนนี้ถึงกับหาเรื่องมาถึงที่เรือนแล้ว? ใครมอบความกล้าให้เจ้าไม่สนใจกฎหมาย ไม่เห็นสิ่งใดอยู่ในสายตาเช่นนี้?”
เจาหยางจวิ้นจู่เมื่อถูกแย่งแส้ไป ก็พุ่งเข้าหาซูเช่อคิดจะแย่งกลับมา ซูเช่อเบี่ยงหลบ ปล่อยให้นางพบกับความว่างเปล่า นางโมโหจนขอบตาแดงระเรื่อ ถลึงตาใส่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างดุร้ายหลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว เห็นสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ นางพูดอย่างเย็นชาว่า “ดูท่าธรณีประตูของจวนท่านจะสูงเกินไป ผู้น้อยไม่สะดวกที่จะพักอยู่ต่อแล้ว”ซูเช่อยื่นมือไปขวางนางไว้ ส่งสายตาที่แฝงความขอโทษไปให้นาง ในยามที่หันกลับมา เมื่อมองเจาหยางจวิ้นจู่ในดวงตาก็ไร้ซึ่งรอยยิ้มอีก “เจ้าอยากสร้างปัญหาจนมีผลลัพธ์เช่นไร?”“ท่านพี่ ข้าจึงจะเป็นน้องสาวของท่าน ตอนนี้ เพื่อคนนอกผู้หนึ่งแล้ว ท่านถึงกับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้” เจาหยางจวิ้นจู่ยิ่งมายิ่งน้อยใจแล้ว รู้สึกเพียงว่าได้รับการดูหมิ่นอย่างใหญ่หลวง“หากเจ้าทำเป็นเพียงการหาเรื่องอย่างไม่รู้ขอบเขต น้องสาวเช่นนี้ไม่มีก็ไม่เป็นไร ลงโทษให้เจ้าปิดประตูสำนึกตนหนึ่งเดือน ใครก็ได้ มานำตัวจวิ้นจู่ไปซะ” ซูเช่อสีหน้าดำคล้ำ ในดวงตาเพียงความเย็นชา
เจาหยางจวิ้นจู่ตะลึงไปแล้ว ซูเช่อไม่เคยปฏิบัติต่อนางเช่นนี้มาก่อน เขาเป็นพี่ชายแสนดีที่รักใคร่เอ็นดูน้องสาวมาโดยตลอด บัดนี้ เหตุใดจึงได้เคร่งครัดกับนางเช่นนี้
เป็นเพราะสตรีนางนั้นหรือ? เขาชอบสตรีนางนั้นจริงๆหรือ? ไม่ได้! ผู้ที่มีฐานะต่ำต้อยเช่นนั้น จะคู่ควรกับพี่ชายที่ได้รับฉายาว่า เป็นต้นไม้หยกแห่งตระกูลซูได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงจุดนี้ สายตาที่เจาหยางจวิ้นจู่มองหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ่งไม่เป็นมิตรแล้ว แต่นางก็รู้ว่า ไม่อาจยั่วโมโหซูเช่อ ดังนั้น จึงไม่กล่าวสิ่งใดอีก ทว่าสายตาที่ไม่ยอมแพ้คู่นั้นทำให้ทุกคนเข้าใจว่า ตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้ นางยังมิได้ยอมแพ้ หลิงมู่เอ๋อร์ได้กลายเป็นหนามตำตาเสี้ยนตำใจของนางเสียแล้ว
“ไม่ต้องดึงข้า ข้าไปเองได้” เจาหยางจวิ้นจู่ดุด่าผู้คุ้มกันที่เข้ามาจับตัวนาง “เปิ่นจวิ้นจู่เป็นผู้ที่พวกเจ้าสามารถแตะต้องได้หรือ?”
ผู้คุ้มกันหดคอ ถอยไปด้านข้างสองสามก้าว หนึ่งในผู้คุ้มกันกล่าวเสียงอ่อนว่า “เช่นนั้น จวิ้นจู่โปรดอย่าได้สร้างความลำบากใจให้พวกเราแล้ว เชิญเถิดขอรับ จวิ้นจู่”จนกระทั่งในห้องเงียบสงบลง ซูเช่อจึงได้ถอนหายใจเบาออกมาครั้งหนึ่ง เดินไปหาหลิงมู่เอ๋อร์แล้วกล่าวว่า “ขออภัยด้วย”หลิงมู่เอ๋อร์โบกมือว่า “ไม่ต้องขอโทษ เรื่องของครอบครัวท่านไม่เกี่ยวกับข้า ส่วนข้า เป็นเพียงแขกชั่วคราวของบ้านท่านเท่านั้น ช้าเร็วย่อมจากไป ดังนั้น จึงมิได้ใส่ใจเช่นกัน”“สาวน้อย” ซูเหล่าฟูเหรินจับมือของนาง ในดวงตาแก่ชราเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “เจาหยางเด็กคนนั้นถูกตามใจจนเสียคนแล้ว ที่จริงแล้วมิได้มีจิตใจเลวร้ายอันใด เจ้าช่วยอดทนสักหน่อยเถิด”
“เหล่าฟูเหรินไม่ต้องคิดมากเจ้าค่ะ ข้ามิได้ตำหนิจวิ้นจู่” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบาง “วันนี้รู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง พรุ่งนี้ข้าค่อยมาสนทนาเป็นเพื่อนเหล่าฟูเหรินนะเจ้าคะ”“ดีดี เป็นเด็กที่ดีจริง ๆ ” ซูเหล่าฟูเหรินมองนาง พยักหน้าติดต่อกัน
ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์ผ่านข้างกายของซูเช่อ ก็พยักหน้าให้เขา
ซูเช่อเห็นสีหน้าของนาง ก็ราวกับเข้าใจในบางสิ่ง อย่างรวดเร็ว เขาก็ตามหลิงมู่เอ๋อร์ไปยังเรือนด้านข้าง
เมื่อครู่หลิงมู่เอ๋อร์สัมผัสแมวที่มีพิษ และยังได้ลงมืออย่างหนักกับเจาหยางจวิ้นจู่อีก บัดนี้ ทั่วร่างล้วนรู้สึกไม่สบาย นางกำลังถอดเสื้อชั้นนอกออก ก็เห็นซูเช่อเดินเข้ามา
ซูเช่อส่งสาวใช้สองสามคนมาปรนนิบัตินาง แต่นางไม่ชอบให้มีคนแปลกหน้ามาเข้าใกล้ตน จึงได้ปฏิเสธกลับไป เห็นซูเช่อเดินเข้ามา ทั้งยังแสดงสีหน้าบริสุทธิ์อยู่เต็มใบหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกว่า ควรเหลือสาวใช้ไว้สองคนเพื่อใช้ขวางประตู โชคดีที่นางพึ่งถอดเสื้อชั้นนอก หากถอดจนเปลือยเปล่าแล้วถูกเขาเห็นเข้า กลัวว่าจะชักนำเมฆลมมาอีกครั้ง
“ข้าจะไปรอเจ้าในลานเรือน” ซูเช่อกระแอมเบาทีหนึ่ง เบี่ยงสายตาออกไป
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางของซูเช่อ มุมปากก็โค้งขึ้นมา นางมิได้ตำหนิซูเช่อ เพราะดูจากท่าทางกระดากอายของเขาแล้ว คาดว่าคงมิได้พบเห็นเรื่องเช่นนี้บ่อยนัก การแสดงออกของเขาไม่เหมือนกับพวกมืออาชีพ เปรียบกับเหล่าคุณชายในสมัยนี้ที่พึ่งอายุได้สิบกว่าปีก็มีสาวใช้อุ่นเตียงแล้ว การแสดงออกของเขาก็ถือได้ว่าไร้เดียงสามาก
หลิงมู่เอ๋อร์เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป เห็นชูเซ่อยืนอยู่ใต้ต้นไหวใหญ่ที่อยู่ในลาน เหล่าสาวใช้และบ่าวรับใช้ที่ผ่านทาง เมื่อเห็นท่าทางของเขาต่างเผยสีหน้าไม่เข้าใจออกมา
ใบหน้าหล่อเหลาของซูเช่อแดงระเรื่อ สายตาเลื่อนลอยอยู่เล็กน้อย เขามองต้นไหวใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับกำลังใคร่ครวญสิ่งใดอยู่ ประเดี๋ยวโมโหตนเอง ประเดี๋ยวจนใจ
“ท่านมิได้คาดผิด ข้าหาต้นตอของพิษพบแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับซูเช่อ “บนร่างของแมวที่เรียกว่าลูกบอลอ้วนตัวนั้นมีพิษอยู่”
“อะไรนะ?” สีหน้าของซูเช่อเปลี่ยนแปลงไปมาก “เจ้าพูดว่า เจ้าลูกบอลอ้วน?”
“ถูกแล้ว ซูเหล่าฟูเหรินบอกว่า นั่นเป็นแมวที่ท่านเลี้ยงตอนยังเป็นเด็ก อายุค่อนข้างมากแล้ว เมื่อครู่ข้าเห็นมัน มีขนที่สวยงามอย่างมาก เหล่าฟูเหรินชื่นชอบการอุ้มมันเป็นที่สุด หากลูบขนของมัน เมื่อระยะเวลานานเข้า พิษก็จะติดอยู่บนมือของเหล่าฟูเหริน ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนังของนาง เมื่อเวลาผ่านไปก็จะถูกพิษได้” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างมั่นใจ
“ที่แท้เป็นผู้ใดดคิดทำร้ายท่านย่ากัน?” ใบหน้าหล่อเหลาของซูเช่อเต็มไปด้วยความแข็งกระด้างดุจเหล็กกล้า “หากให้ข้าตรวจสอบพบล่ะก็ จะให้เขาได้เห็นดีแน่”
“นั่นก็เป็นเรื่องของท่านแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์มองซูเช่อนิ่ง ๆ ข้าหาต้นตอของพิษพบแล้ว เรื่องที่จะทำต่อจากนี้ ก็คือการจัดยาให้ท่านย่าของท่าน เรื่องอื่นไม่เกี่ยวข้องกับข้า และข้าก็ไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องใหญ่ของครอบครัวท่านเช่นกัน นอกจากนี้ ท่านย่าของท่านนอกจากจะถูกพิษแล้ว ในร่างกายยังมีโรคเก่าอีก หลายวันนี้ข้าได้ปรับร่างกายให้นางแล้ว ขอเพียงนางไม่ถูกพิษอีก จะอยู่อีกสิบปีกว่าก็มิใช่ปัญหาใด”
ซูเช่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างสำนึกขอบคุณเป็นอย่างมาก พันคำหมื่นวจีก็มิอาจแสดงออกถึงความรู้สึกขอบคุณในใจเขาได้ สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ คือการคุ้มครองนางให้ปลอดภัยภายในเมืองหลวง
ทว่า ก่อนที่จะไปคุ้มครองนาง ยังคงต้องจัดการเจาหยางสาวน้อยที่ชอบหาเรื่องนางนั้นก่อน นางกำลังจะเปิดร้านแล้ว เขาก็มิอาจขังเจาหยางไว้ได้ตลอดชีวิต หากเจาหยางไปหาเรื่องนางทีละสามวันห้าวัน กลัวว่าจวนจวิ้นอ๋องจะมิใช่ภูผาให้นางพึ่งพิง แต่จะเป็นภัยพิบัติของนางแทน ไม่ว่าจะเป็นการคิดเพื่อฝ่ายใด เขาก็มิอาจปล่อยให้เจาหยางไปล่วงเกินนางได้
ทักษะการแพทย์ของสาวน้อยนางนี้สูงส่งเพียงใด มีเพียงผู้ที่ได้พบทักษะของหมอนับไม่ถ้วนด้วยตนเองเช่นเขา จึงจะมีสิทธิ์กล่าววาจาได้ ยินยอมล่วงเกินยมบาล แต่อย่าได้ล่วงเกินแพทย์เทวะ
ผ่านไปอีกสองสามวัน ทุกวัน หลิงมู่เอ๋อร์จะพูดคุยเป็นเพื่อนซูเหล่าฟูเหริน เล่นไพ่นกกระจอก จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมให้นางดื่มยาบำรุงสองสามขนาน ร่างกายของซูเหล่าฟูเหรินเห็นได้ชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลง แม้ซูเหล่าฟูเหรินจะไม่พูด แต่ในใจมีหรือจะไม่เข้าใจ สตรีที่อยู่ในเรือนหลังพวกนี้ มีสิ่งใดไม่เคยพบเห็นบ้าง ในใจกระจ่างแจ้งยิ่งนัก
ที่ซูเหล่าฟูเหรินวางใจในตัวนางเช่นนี้ ก็เกี่ยวพันการที่ซูเช่อเป็นผู้พานางมา ซูเช่อเป็นคนที่ซูเหล่าฟูเหรินเชื่อใจมากที่สุด นางเชื่อในสายตาของเขา
“เจ้าจะจากไปแล้ว?” ซูเหล่าฟูเหรินกินขนมที่หลิงมู่เอ๋อร์ทำชิ้นหนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความอาวรณ์ “เร็วถึงเพียงนี้! เหตุใดจึงไม่อยู่ต่ออีกสักซักสองสามวันเล่า? หรือบ่าวรับใช้เบื้องล่างรับใช้ได้ไม่ดี หากเจ้ามีสิ่งใดที่ไม่พอใจ ก็สามารถบอกข้าได้ ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้า”
“เหล่าฟูเหรินเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ ที่จริงแล้วโรงหมอของข้ากำลังจะเปิดกิจการแล้ว ข้าต้องกลับไปควบคุมงาน เรื่องใหญ่เล็กในบ้านมีมากมายถึงเพียงนั้น ข้ามิอาจโยนงานทั้งหมดให้ท่านพ่อท่านแม่ได้ ข้าแอบอู้อยู่ที่นี่หรอกเจ้าค่ะ วันหน้าหากมีเวลาว่าง ฟูเหรินสามารถไปทานอาหารที่ร้านของข้าได้เจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเชื้อเชิญ
ซูเหล่าฟูเหรินมิได้ให้ความสำคัญนัก พ่อครัวใหญ่ของตระกูลซูล้วนออกมาจากวังหลวง เรื่องอาหารนั้น ในบรรดาตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงก็ได้ชื่อว่ารสชาติเป็นเลิศ ตัวนางเอง ซูเหล่าฟูเหรินมีสิ่งใดที่ไม่เคยทานมาบ้าง? ทว่า มิได้ออกจากบ้านมานานแล้ว วันหน้าไปช่วยชูโรงให้ร้านอาหารของบ้านนาง ก็ถือว่าเป็นการขอบคุณสำหรับการดูแลในหลายวันนี้ของนางแล้วกัน
ในไม่ช้า ซูเหล่าฟูเหรินก็จะได้รู้ว่า ตนผิดพลาดไปมากเพียงใด อาหารของตระกูลซูเลิศรสก็จริง ทว่า มีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน อาหารของเหลาอาหารสกุลหลิงนั้น ได้สยบหัวใจของเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ทรงอำนาจพวกนี้อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งเดือน หากคิดอยากจะเข้าเหลาอาหารสกุลหลิง ก็ต้องทำการนัดหมายล่วงหน้าก่อนหลายวัน กระทั่งนัดเลยไปถึงหนึ่งเดือนล่วงหน้า รวมกับมีซูเช่อ ภูผาใหญ่ให้ได้แอบอิงลูกนี้ ผู้ที่เดิมอิจฉาที่กิจการของเหลาสกุลหลินดีนั้น ไม่ช้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนสำหรับความละโมบของพวกเขา
นี่เป็นเรื่องในภายหลัง
ในยามนี้ หลิงมู่เอ๋อร์เชื้อเชิญซูเหล่าฟูเหริน จากนั้นก็เก็บสัมภาระเตรียมออกจากจวน ในเวลานั้น เงาร่างที่คุ้นเคยสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในม่านตา
ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์เห็นคนผู้นี้นั้น ก็อดตะลึงไปครู่หนึ่งมิได้ สีหน้าของคนหลังประหลาดใจยิ่งกว่านางเสียอีก ราวกับพบเห็นผีตัวเป็น ๆ กระนั้น
“แม่นางหลิง เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?” คนผู้นั้น ซึ่งก็คือหนานกงอี้จือเดินเข้ามา มองสำรวจนางอย่างสงสัย “เจ้ามาเมืองหลวงแล้ว? นี่เป็นเรื่องเมื่อใดกัน? เหตุใดเจ้าเด็กพวกนั้นจึงไม่ส่งจดหมายมาให้พวกเราเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์เดาได้แต่แรกว่าจะได้พบคนคุ้นเคยในเมืองหลวง นางมิได้ตั้งใจสืบข่าวมาก่อน ดังนั้น จึงไม่รู้ถึงสถานการณ์ของซั่งกวนเซ่าเฉิน บัดนี้ เมื่อได้พบหนานกงอี้จือ นางก็รู้ว่า การคาดเดาของตนไม่ผิด ซั่งกวนเซ่าเฉินก็อยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน เพียงแต่ว่า นางมาถึงที่นี่นานขนาดนี้แล้ว ยังคงมิได้พบเขาเลย
“เจ้ามาได้ แล้วข้ามาไม่ได้หรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้ายังมีเรื่อง หากเจ้าอยากย้อนความหลัง ก็ไปหาข้าที่จวนสกุลหลิงทางถนนตะวันออกเถอะ”
“เฮ้ เจ้าไม่อยากรู้ที่อยู่พี่ใหญ่ของเจ้าหรือ? เฮ่…” หนานกงอี้จือเห็นหลิงมู่เอ๋อร์จากไป เรียกไปสองสามครั้งก็ไม่เห็นนางหันกลับมา เขาอดบ่นพึมพำพึมพัมสองสามคำมิได้ว่า “สตรีช่างเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็ว ไร้ไมตรีเหลือเกิน เสียทีที่ลูกผู้พี่ของข้าเฝ้าคิดถึงนางมานานถึงเพียงนี้ บัดนี้เมื่อได้พบหน้า แม้แต่คำเดียวก็ไม่เป็นห่วงเขา”