เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 4 บทที่ 117 องค์ชายเจ็ด
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 4 บทที่ 117 องค์ชายเจ็ด
เล่มที่ 4 บทที่ 117 องค์ชายเจ็ด
“อวี้เซิงจี?” หลิงมู่เอ๋อร์แหงนหน้าขึ้นมา ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยปัญญาคู่หนึ่งมองแผ่นป้ายเลี่ยมทอง “องค์ชายเจ็ดถึงกับมิได้ประทับอยู่ในตำหนักองค์ชาย?”
โจวฉี่เยี่ยนตามนางลงมาจากด้านหลัง หิ้วกล่องยาของเขา ยืนอยู่ด้านข้าง “องค์ชายทั้งหมดก่อนจะสมรสล้วนต้องอาศัยอยู่ที่ตำหนักองค์ชายในวังหลวง แต่ในวังหลวงมีคนที่เขาไม่เชื่อใจ เพื่อไม่เป็นการตีหญ้าให้งูตื่น จึงได้แต่ลำบากให้เจ้าต้องมาที่นี่แล้ว ”
“แม้ว่าชานเมืองตะวันตกจะเป็นสถานที่ที่ห่างไกลที่สุดในเมืองหลวง แต่เบื้องหน้ามีขุนเขา เบื้องหลังมีสายน้ำ ทิวทัศน์ชวนให้ผู้คนหลงใหลเป็นอย่างมาก สถานที่ที่สงบอย่างลึกล้ำเช่นนี้ ยากที่จะได้มาเยือนสักครั้ง จะนับว่าลำบากได้อย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์ยกกระโปรงเดินไปยืนอย่างเรียบร้อยที่หน้าประตูจวน หันมาพยักหน้าให้เขา
โจวฉี่เยี่ยนก้าวเข้าไปเคาะประตู หนักสามเบาหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นรหัส
ประตูใหญ่สีแดงชาดถูกคนเปิดออกจากภายใน ถึงกลับมีสตรีอวบอิ่มนางหนึ่งเดินออกมา หลังจากสตรีนางนั้นแลกเปลี่ยนสายตากับโจวฉี่เยี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง สายตาก็มองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่เบื้องหลัง จากนั้นก็ยิ้มออกมา “ท่านนี้คือแม่นางเซียนแพทย์ใช่หรือไม่ เชิญรีบเข้ามาเถิด
สตรีนางนั้นมองอายุไม่ออก แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือใบหน้าล้วนงดงามอย่างมาก โดยเฉพาะในยามที่แย้มยิ้ม ในความเย้ายวนแฝงไปด้วยความเขินอายอยู่หลายส่วน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนที่มีเรื่องราว
“ข้าเข้าใจว่าผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลคุ้มกันเรือน ปกติแล้วจะเป็นท่านลุงที่มีอายุแล้ว คิดไม่ถึงว่า องค์ชายเจ็ดผู้นี้จะชอบความประณีตงดงามเช่นนี้” หลิงมู่เอ๋อร์อดล้อเล่นอย่างขำขันมิได้ บังเกิดความอยากรู้ในตัวองค์ชายเจ็ดผู้นี้เพิ่มมาอีกสองสามส่วน
สายตาของโจวฉี่เยี่ยนมืดลง ดวงตาที่แข็งกร้าวรีบกวาดไปรอบทิศทันที เมื่อมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดแอบฟัง จึงได้ลอบถอนหายใจ “มู่เอ๋อร์ จำไว้ หลังจากพบองค์ชายเจ็ดแล้ว คำพูดเช่นนี้อย่าได้กล่าวอีกเป็นอันขาด ที่เขาไม่ชอบที่สุด ก็คือการที่ผู้อื่นไปวิจารณ์คนข้างหมอนของเขา” มิใช่ว่าเขากลัวองค์ชายเจ็ดผู้นั้น หากคนผู้นั้นกระทำสิ่งใดต่อหลิงมู่เอ๋อร์เพียงเพราะคำพูดที่ผิดพลาดไม่กี่คำ เขาจะปกป้องนางไว้เบื้องหลังโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด เขากลัวเพียงอันตรายไม่รู้จะมาถึงเมื่อใด
“ดูท่าที่องค์ชายเจ็ดหนีการแต่งงานก็เพื่อนาง?” หลิงมู่เอ๋อร์พลันเข้าใจขึ้นมา
ยังจำเมื่อหนึ่งปีก่อนได้ ที่ซูเช่อถูกคนวางยา ก็เป็นเพราะองค์ชายเจ็ดผู้นี้ ตอนนั้น เขาไม่เต็มใจกลับเมืองหลวงกับซูเช่อ จึงจัดนางคณิกามาล่อลวงซูเช่อ ให้เขายุ่งกับเรื่องของตนเองจนไม่มีเวลาไปจัดการกับเขา
องค์ชายเจ็ดพึ่งกลับเมืองหลวงได้ไม่กี่วัน แม้ฝ่าบาทจะทรงพระราชทานสมรสให้เขา แต่ก็ไม่ได้ยินข่าวเรื่องการประกอบพิธีแต่งงานออกมาเลย
หลายปีก่อนแม่นางเซิงเอ๋อร์ได้ช่วยชีวิตองค์ชายเจ็ดไว้ครั้งหนึ่ง เพื่อตอบแทนบุญคุณ องค์ชายเจ็ดไถ่ตัวให้นาง และซื้อเรือนหลังนี้ไว้ แม่นางเซิงเอ๋อร์แม้จะมีที่มาจากหอนางโลม แต่ก็มิด้อยกว่าคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองหลวงแม้แต่น้อย นางไม่เพียงเชี่ยวชาญ พิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด ทั้งยังมีสติปัญญาที่ฉับไว ช่วยองค์ชายเจ็ดไว้หลายครั้ง เมื่อเวลาผ่านไปจึงได้กลายเป็นสตรีผู้รู้ใจ
มิน่าหลิงมู่เอ๋อร์จึงรู้สึกว่า บนร่างของนางมีกลิ่นอายที่คุณหนูสูงศักดิ์ที่คุณหนูทั่วไปไม่มี แต่กลับมีความผ่าเผยและเย้ายวนเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน นางชื่นชมสตรีเช่นนี้
“เหยีย [1] หมอหลวงมิได้กำชับมิให้ทรงดื่มสุราหรือเพคะ เหตุใดเซิงเอ๋อร์มิอยู่เพียงครู่เดียวก็ทรงดื่มแล้วเล่า?” เซิงเอ๋อร์ราวกับได้เห็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดก็ไม่ปาน ขมวดคิ้ววิ่งซอยเท้าเข้าไป แย่งจอกเหล้าในมือขององค์ชายเจ็ดมาอย่างไม่เกรงใจ “เซิงเอ๋อร์จะรินชาพระองค์ นี่เป็นชาใหม่ในฤดูร้อนของปีนี้ ดื่มมากหน่อยดีต่อร่างกายนะเพคะ”
“จิบเพียงไม่กี่จอกเท่านั้น อยู่ในวังหลวงมีคนควบคุม คิดไม่ถึงว่าออกจากวังแล้วก็ยังไม่ยอมให้ข้าได้สาสมใจอีก” แม้คำพูดจะกล่าวเช่นนั้น แต่บนใบหน้าขององค์ชายเจ็ดกลับไม่เห็นการตำหนิใด แต่ในเบื้องลึกของดวงตาและคิ้วกลับเป็นความโปรดปรานเอ็นดู เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับแม่นางเซิงเอ๋อร์ผู้นี้มากเพียงใด
องค์ชายเจ็ดด้านหนึ่งลูบมือของเซิงเอ๋อร์ อีกด้านหนึ่งหันสายตามาอย่างไม่ตั้งใจ “พวกเจ้ากลับตรงเวลาเสียจริง ท่านนี้คิดว่าน่าจะเป็นแม่นางเซียนแพทย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง มิน่า เจ้าซูเช่อนั่นถึงได้คะนึงหาเจ้าไม่วาย ช่างเป็นสตรีที่งามพร้อมด้วยรูปโฉมและสติปัญญาอย่างยากจะหาได้ในโลกมนุษย์จริง ๆ ”
น้ำเสียงของเขามีความล้อเล่นอยู่หลายส่วน แต่อารมณ์ในคำพูดกับเรียบเฉย ทำให้คนมองอารมณ์ไม่ออก มิอาจคาดเดาถึงความคิดในใจได้
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ชอบถูกคนมองอย่างวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ ยังดีที่เขาเหลือบมองเพียงแค่ครั้งเดียว มิเช่นนั้น นางคงจะสะบัดหัวจากไปแล้ว อะไรคือองค์ชายเจ็ดผู้ไม่สามัญกัน จากที่นางดู ก็เป็นเพียงพวกเหล่าทายาทที่เสเพลเท่านั้น
“ได้ยินว่าสุขภาพขององค์ชายเจ็ดมีปัญหา หากเชื่อใจข้าก็ทรงยื่นมือข้างซ้ายออกมาได้เพคะ” หลิงมู่เอ๋อร์ทางหนึ่งกล่าววาจา อีกด้านหนึ่งวางกล่องยาลง ทำสัญลักษณ์มือที่แสดงถึงการเชิญ
“ไม่รีบ อย่างไรซะพิษนี้อยู่ในร่างกายข้า เพียงครู่เดียวคงไม่อาจกำเริบขึ้นมาได้ มิสู้นั่งลงทานข้าวก่อนสักมื้อ เซียนแพทย์มาเยือนถึงบ้าน ย่อมมิอาจไม่ดูแลให้ดี” องค์ชายเจ็ดส่ายหัว จากนั้นยื่นมือไปหยิบจอกเหล้า ข้างหูได้ยินเสียงที่แสร้งโกรธ เขาหัวเราะแล้วส่ายหัว จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นจอกชา เมื่อดื่มหมดในครั้งเดียว สายตาก็ประสบเข้ากับโจวฉี่เยี่ยน “ยังเหม่ออะไรอยู่เล่า เจ้าก็นั่งลงด้วย แม่นางเซียนแพทย์จะได้ไม่เคร่งครัดมากเกินไป”
โจวฉี่เยี่ยนขมวดคิ้ว ในอดีตองค์ชายเจ็ดมิได้มีท่าทีเช่นนี้ นอกจากเซิงเอ๋อร์แล้ว เขาไม่มีความสนใจในตัวหญิงอื่น ตอนนี้เขาจะทำสิ่งใดกันแน่?
“รู้สึกไม่สะดวกใจอยู่บ้างจริง ๆ เพคะ ที่โรงหมอยังมีผู้ป่วยอีกมากรอหม่อมฉัน อีกอย่าง หากมิใช่พี่โจวเป็นเชื้อเชิญแกมขอร้อง หม่อมฉันก็คงไม่มาตรวจอาการถึงที่นี่” แต่ไรมา กฎของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่ชอบให้คนมาทำลาย แต่โจวฉี่เยี่ยนกล่าวว่า บัดนี้ ในเมืองเมืองหลวงได้มีหลายคนคอยจับจ้องแล้ว หากนางออกมาในเวลาบ่ายตามความเคยชิน จะต้องถูกค้นพบแน่ นางคิดดูแล้วว่าอย่างไรซะก็มีซางจือกับเจี้ยงเซียงอยู่ ก็ไม่มีสิ่งใดที่ไม่วางใจ
“พี่โจว ช่างเป็นคำเรียกที่สนิทสนมเหลือเกิน มิน่า หลายวันมานี้ซูเช่อจึงได้อารมณ์ขุ่นมัวนัก” องค์ชายเจ็ดหัวเราะทีหนึ่ง ริมฝีปากบางที่ดูเย้ายวนยกขึ้นเล็กน้อย ดูไปแล้วอารมณ์ไม่เลว ทว่า แผนการเล่นงานที่แวบผ่านนั้นผู้อื่นอาจมองไม่เห็น แต่ไม่อาจหนีพ้นสายตาของหลิงมู่เอ๋อร์ไปได้
เขาตั้งใจลองเชิงความสัมพันธ์ของนางกับโจวฉี่เยี่ยน อยากใช่เรื่องนี้มาควบคุมโจวฉี่เยี่ยน ยังมี เขาจงใจพูดถึงซูเช่อถึงสองครั้ง ก็เพราะต้องการจะดูการตอบสนองของนาง เพราะในเวลานี้ องค์ชายองค์อื่น ๆต่างก็ต้องการดึงตระกูลซูไปเป็นพวก หากสามารถกุมข้อผิดพลาดของซูเช่อไว้ได้ ก็เท่ากับกุมจุดอ่อนของเขาไว้ได้ จึงจะสามารถควบคุมได้ง่ายน่าเสียดายที่เขาดีดลูกคิดผิด
“สำหรับหม่อมฉันแล้วพี่โจวเป็นทั้งพี่และเพื่อน หากมิใช่เขาเชิญ หม่อมฉันก็ไม่มีทางมาที่นี่เพคะ คู่หมั้นของหม่อมฉันซั่งกวนเซ่าเฉิน ก็ไม่มีทางอนุญาตให้หม่อมฉันมาที่นี่” น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ราบเรียบเช่นกัน พูดจบก็เล่นเข็มเงินในมือ ราวกับไม่ใส่ใจสิ่งใด การอธิบายอย่างไม่ได้ตั้งใจเพียงพอให้สีหน้าขององค์ชายเจ็ดหยุดชะงัก
องค์ชายเจ็ดขมวดคิ้ว มีชั่วขณะหนึ่งที่ประหม่า ผู้อื่นไม่รู้ฐานะของซั่งกวนเซ่าเฉิน แต่เขารู้ดีแก่ใจ คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งปีที่ไม่ได้กลับเมืองหลวง ในเมืองหลวงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเช่นนี้ โดยเฉพาะมัจจุราชผู้ชอบใช้ความรุนแรง ซั่งกวนเซ่าเฉินผู้นั้น เขาก็ถึงกลับมีจิตใจของมนุษย์ธรรมดาด้วย ฮ่า ดูท่าครั้งนี้มิได้กลับเมืองหลวงมาเสียเปล่าจริง ๆ
“ต่อให้มิใช่ตัวข้าผู้เป็นองค์ชายป่วย ก็จะต้องไปนั่งเล่นที่โรงหมอของเจ้าแน่ ครั้งนี้ที่กลับมา ชื่อได้ยินมากที่สุดก็คือเจ้า แม่นางเซียนแพทย์ ครั้งนี้ที่ได้พบ ไม่เหมือนกับคุณหนูสูงศักดิ์นางอื่นในเมืองหลวงจริง ๆ พวกเพริศแพร้วพริ้งพราวเต็มไปด้วยแผนการพวกนั้น จะมีความพิเศษเช่นแม่นางเซียนแพทย์ได้อย่างไร” องค์ชายเจ็ดถลกแขนเสื้อขึ้นมา วางข้อมือไว้บนโต๊ะ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง “อาหารของข้า มีผู้ชิมโดยเฉพาะ อาภรณ์เครื่องใช้ก็มีผู้ตรวจสอบ ผู้ที่สามารถเข้ามาใกล้ชิดได้ล้วนเป็นคนสนิท ไม่รู้จริง ๆ ว่าได้รับผิดมาตั้งแต่เมื่อใด ลำบากแม่นางเซียนแพทย์แล้ว”
ทั้งที่เมื่อครู่ ยังเป็นองค์ชายที่เอาแต่เล่นไม่ทำงาน เพียงละสายตาก็กลายเป็นลึกล้ำดำมืด เป็นดังที่คาด เมื่อเข้าสู่ประตูวังก็ลึกล้ำดุจทะเล เด็กที่เติบโตในสถานที่เยี่ยงนั้น บางทีก็คงมีใบหน้าสองแบบกระมัง? เช่นนั้น ซั่งกวนเซ่าเฉินล่ะ? เหตุใดเขาจึงมีใบหน้าสองแบบด้วย?
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้เพราะเหตุใด เวลานี้ในสมองของนางจึงคิดถึงชายผู้นั้น
นางเป็นหมอ ในสายตาของหมอไม่มีดีชั่ว มีเพียงผู้ป่วย ต่อให้นางจะไม่ชอบองค์ชายเจ็ด ก็ไม่อาจไม่สนใจผู้ป่วยได้
“ช่วงที่ผ่านมานี้องค์ชายเจ็ดได้รับบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่เพคะ? ทรงได้เคยเสวยผงยาหมาซื่อหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์ตรวจชีพจรให้เขา จากนั้นก็ใช้เข็มเงินเจาะเลือดดำออกมาเพื่อทำการตรวจสอบ ณ ที่นั้น ครึ่งชั่วจอกชาให้หลัง นางมีสีหน้าเคร่งเครียด
ในดวงตาขององค์ชายเจ็ดเผยความประหลาดใจออกมาอย่างเด่นชัด “เซียนแพทย์ไม่เสียทีที่เป็นเซียนแพทย์ ครึ่งเดือนก่อนข้าถูกคนลอบสังหาร ไปพบแพทย์ผู้มีชื่อเสียงจึงสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ยานั้นของเขามีปัญหาใดหรือ? ”
หลิงมู่เอ๋อร์หยิบยาชาที่เหลืออยู่ครึ่งขวดที่องค์ชายเจ็ดหยิบออกมาจากในอก มาดมใต้จมูก หลับตาลง เมื่อเปิดขึ้นอีกครั้ง ในดวงตาก็มีความมั่นใจ “ผงยาหมาซื่อเป็นยาแก้พิษที่หายากอย่างแท้จริง แต่มันเป็นทั้งยาแก้พิษ และก็เป็นยาพิษเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าเป็นยาพิษ”
สตรีนางหนึ่งก็รีบลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ทันที กล่าวด้วยสีหน้าประหม่าว่า “คำกล่าวนี้ของแม่นางอ้างอิงจากสิ่งใด?”
ไม่แปลกที่เป็นคนข้างหมอนที่องค์ชายเจ็ดเชื่อถือมากที่สุด ความกังวลของนางนี้ไม่เหมือนกับเสแสร้ง
“ผงหมาซื่อหากรับประทานมากเกินไปจะมีผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กำเริบ แต่หากรับประทานติดต่อกันเวลานานจะทำให้หัวใจและม้ามถูกทำลาย ตับก็จะค่อย ๆ เสียหายลงด้วย ก็เหมือนกับผ้าผืนหนึ่งที่สมบูรณ์ไร้ตำหนิ ทันทีที่ติดเปลวไฟ ก็ลุกลามไปทุกส่วน แม่นางเซิงเอ๋อร์เข้าใจสิ่งที่ข้ากล่าวหรือไม่” น้ำเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ราบเรียบ สายตามองไปที่องค์ชายเจ็ด “เป็นผู้ใดทำให้องค์ชายเจ็ดได้รับบาดเจ็บกัน เป็นผู้ใดให้องค์ชายเจ็ดรับประทานผงหมาซื่อ และเป็นผู้ใดที่รู้อย่างชัดเจนว่า อาการบาดเจ็บนี้ผงหมาซื่อสามารถรักษาได้? เชื่อว่าองค์ชายคงจะทรงมีพระวินิจฉัยของพระองค์เอง”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่กล่าวมากอีก แต่ให้แม่นางเซิงเอ๋อร์หาพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกมาให้นาง “จัดยาตามใบรายการยานี้ รับประทานครั้งละหนึ่งชุด วันละสองครั้ง ไม่อาจตกหล่นเป็นอันขาด ไม่เกินเจ็ดวัน พิษก็จะถูกกำจัดทิ้งไป ”
“แม่นางเซียนแพทย์ช่างสมคำร่ำลือจริง ๆ เชื่อว่าหลังจากที่เหยียของข้าทานยาแก้พิษของท่านแล้ว จะต้องหายอย่างรวดเร็วเมื่อได้รับยาแน่นอน? ท่านกล่าวเถอะ อยากได้รางวัลเป็นสิ่งใด” เซิงเอ๋อร์ตื้นตันจนน้ำตาคลอ แต่ในดวงตานั้น กลับเป็นความปวดใจและขอบคุณที่มาจากภายในใจจริง ๆ
ทั้ง ๆ ที่เป็นสตรีร่วมห้องที่มิได้แต่งเข้าผู้หนึ่งเท่านั้น หญิงคณิกาที่ไถ่ตัวแล้วนางหนึ่ง บัดนี้ ราวกับเป็นนายหญิงของเรือนแห่งนี้ก็ไม่ปาน และองค์ชายเจ็ดยังพยักหน้าอีก สีหน้านั้นราวกับกำลังกล่าวว่า ‘เจ้าสามารถบอกข้อเรียกร้องมาได้เลย ข้าจะรับปากทั้งหมด’ เห็นได้ชัดถึงฐานะของเซิงเอ๋อร์ผู้นี้ในใจขององค์ชายเจ็ด ดูไปแล้ว พิธีสมรสในวันหน้ามีงิ้วสนุกให้ดูแล้ว
“พี่จูได้จ่ายเงินให้ข้าแล้ว รับเงินของผู้อื่นช่วยผู้อื่นกำจัดเภทภัย ข้าได้ทำเต็มความสามารถแล้ว ขอให้องค์ชายเจ็ดแข็งแรงในเร็ววัน”
นางไม่ชอบมีการติดต่อกับผู้คนในวังหลวงมากนัก ที่มาช่วยคนที่นี่ก็เป็นเพราะโจวฉี่เยี่ยน ที่จงใจกล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อให้เขาได้มีอนาคตที่ดียิ่งขึ้น โจวฉี่เยี่ยนคิดจะใช้องค์ชายเจ็ดในการแก้แค้น หลังจากผ่านเรื่องนี้ไปแล้วย่อมทำให้องค์ชายเจ็ดเชื่อมั่นในตัวเขายิ่งขึ้น
“รอก่อน หรือแม่นางเซียนแพทย์ไม่อยากรู้ว่าเป็นใครที่ไปล้มอยู่หน้าโรงหมอของเจ้าเมื่อหลายวันก่อน กรรโชกและใส่ร้ายหรือ?” เห็นหลิงมู่เอ๋อร์บอกว่าจะจากไป องค์ชายเจ็ดก็เอ่ยปากอย่างช้า ๆ “แม่นางช่วยชีวิตข้า ตัวข้าองค์ชายผู้นี้ย่อมควรตอบแทน พ่อครัวของจวนข้าแม้จะเทียบกับร้านอาหารของบ้านเจ้าไม่ได้ แต่ก็มีรสชาติไปอีกแบบ”
องค์ชายเจ็ดส่งสายตาให้โจวฉี่เยี่ยน เป็นสัญญาณให้เขาตามไป ก่อนจากไป เขาสั่งการเสียงดังว่า “เซิงเอ๋อร์ ต้องรับแม่นางเซียนแพทย์ให้ดี
—————————–
[1] เหยีย เป็นสรรพนามที่มีความหมายว่า นายท่าน