เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 4 บทที่ 109 เนื้อย่าง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 4 บทที่ 109 เนื้อย่าง
เล่มที่ 4 บทที่ 109 เนื้อย่าง
พึ่งเปิดประตูบานนั้น ลมหนาวก็พัดเข้ามาปะทะใบหน้า ทำให้หลิงมู่เอ๋อร์ตัวสั่นขึ้นมา
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยขดตัวอยู่ในเสื้อคลุมกันลมขนจิ้งจอก นางพ่นลมใส่มือ ดึงหลิงมู่เอ๋อร์เดินออกไป
“แม้ว่าตอนแรกจะหนาวอยู่สักหน่อย แต่พอคุ้นชินแล้วก็จะรู้สึกดีขึ้นมาก เปิ่นจวิ้นจู่ไม่ว่าลมจะมาฝนจะตกล้วนไม่หวั่น ไม่มีทางถูกความลำบากเพียงเล็กน้อยแค่นี้ทำให้ล้มลงได้!”
หลิงมู่เอ๋อร์มองหญิงสาวเบื้องหน้าที่สดใสดุจแสงอาทิตย์ นางสว่างไสวจริงๆ ดูแล้วงดงามเปี่ยมเสน่ห์ถึงเพียงนั้น หากไม่เผยเขี้ยวเล็บที่แหลมคมคู่นั้นออกมา แท้จริงแล้วยังน่ารักอยู่มากทีเดียว พูดไปแล้ว ก็เป็นเพียงเด็กน้อยที่ถูกคนในครอบครัวเอาใจจนเสียนิสัยคนหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงนางไม่มาหาเรื่องนาง นางก็ไม่ใจแคบถึงเพียงนั้น
“เจาหยาง” หลิงมู่น้อยคิดตกแล้ว ก็ไม่ผลักไสนางแล้ว “ที่แท้เจ้าจะพาข้าไปที่ใดกัน?”
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสรรพนามของนาง รอยยิ้มยิ่งจริงใจมากขึ้น นางงดงามมาก เพียงแต่ความเกเรในยามปกติทำให้ความงามของนางลดลง
“เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้แล้ว” เจาหยางจวิ้นจู่น้อยพานางทะลุผ่านเรือนหลังแล้วหลังเล่า ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์จะแข็งเป็นแท่งน้ำแข็งนั่นเอง พวกเขาก็หยุดลงในที่สุด และยามนี้ ด้านหน้าของพวกนางมีบุรุษหลายคนนั่งอยู่ พวกเขากำลังนั่งอยู่ในศาลาพักร้อน รายล้อมตะแกรงย่างย่างเนื้ออยู่
“เจาหยาง” ซูเช่อไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น แต่นั่งแยกดื่มสุราอยู่ด้านข้าง ด้านหน้าของเขาไม่มีตะแกรงย่าง มีเพียงกับแกล้มทั่วไป “เหตุใดเจ้าจึงพามู่เอ๋อร์? ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่สตรีควรอยู่”
“ท่านพี่ใจแคบเกินไปแล้ว ข้าพามู่เอ๋อร์ออกมาเดินเล่นจะเป็นไร ที่นี่มีพี่ชายของนางอยู่นะ ใช่หรือไม่เจ้าคะ พี่หลิง?” แก้มของเจาหยางจวิ้นจู่น้อยแดงระเรื่อ มองหลิงจือเซวียนอย่างหลงใหล
ในยามที่หลิงจือเซวียนเห็นเจาหยางจวิ้นจู่น้อยอีกครั้งก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่เมื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ก็ยิ้มออกมา
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยพลันรู้สึกน้อยใจอย่างมาก นางรู้ว่า ในใจของหลิงจือเซวียน ตนไม่มีภาพลักษณ์ที่ดีอะไร แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรังเกียจนางเช่นนี้กระมัง? นางก็ไม่เคยกระทำเรื่องใดที่ทำร้ายครอบครัวของพวกเขา เหตุใดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่ว่านางจะทำมากเท่าใด เขาก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย?
“พวกเรายังคงไปเถิด! อย่างรบกวนพวกเขาเลย” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นในกลุ่มคนมีหลิงจือเซวียน จูฉี และยังมี ซั่งกวนเซ่าเฉิน
สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินในตอนนี้ยากที่จะคาดเดา ดูไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใด แต่นางมีความรู้สึกหนึ่ง หากยังรั้งอยู่ที่นี่ต่อแล้วล่ะก็ ใจแคบๆของซั่งกวนเซ่าเฉินก็จะหาเรื่องอีกแล้ว
“ในเมื่อมาแล้ว ก็นั่งสักครู่เถอะ! ข้าให้พวกเขาตั้งตะแกรงย่างแยกให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ” ซูเช่อมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน
ทุกคนล้วนสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของซูเช่อ สายตาที่มองหลิงมู่เอ๋อร์มีทั้งชื่นชมจนถึงเคารพ เพราะมิใช่ทุกคนที่จะเหมือนกับซั่งกวนเซ่าเฉิน ที่กล้าแย่งชิงสตรีกับซูเช่อ การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของซูเช่อที่มีต่อนางทำให้ทุกคนเข้าใจบางอย่าง ดังนั้น ทุกคนต่างจึงไม่กล้ามองไปทั่วอีก ได้แต่ชื่นชมทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้าแทน
“เช่นนั้นก็ดี เรียกพี่หลิงมาด้วยเถอะ!” เจาหยางจวิ้นจู่น้อยมองหลิงจือเซวียนที่อยู่ในกลุ่มคน
ซูเช่อถอนใจเบาๆ สตรีโตแล้วมิอาจรั้งไว้จริงๆ [1] เรื่องในวันนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเจาหยางหลอกใช้หลิงมู่เอ๋อร์ เจาหยางชอบหลิงจือเซวียน เขาก็พึ่งรู้ไม่นานเช่นกัน เพราะจากไปหลายเดือน เขาก็ไม่ได้คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของน้องสาวตน ดังนั้น ในยามที่ได้รู้เรื่องนี้ ความประหลาดใจของเขาก็มิได้น้อยไปกว่าผู้อื่นเลย
“พี่หลิง พี่จู มู่เอ๋อร์เป็นน้องสาวและศิษย์น้องของพวกท่าน พวกท่านมิใช่คนนอก เช่นนั้นก็เชิญด้วยกันเถิด” ซูเช่อกล่าวกับหลิงจือเซวียนและจูฉี
หลิงจือเซวียนและจูฉีย่อมไม่มีความเห็นอื่น พวกเขาย่อมไม่คาดหวังให้มู่เอ๋อร์ใกล้ชิดซูเช่อมากเกินไป
หลิงจือเซวียนมองซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ไม่ไกล กล่าวกับซั่งกวนเซ่าเฉินว่า “พูดไปแล้ว มู่เอ๋อร์ยังเป็นน้องสาวบุญธรรมของพี่ซั่งกวนด้วย ไม่สู้ท่านก็มาร่วมด้วยเถอะ?”
ซั่งกวนเซ่าเฉินก็เป็นคนที่ไม่เข้ากับกลุ่มคนอย่างมากเช่นกัน เมื่อครู่มีคนจำนวนมากมาคารวะสุราเขา เขากลับไม่แตะต้องแม้แต่หยดเดียว เขาก็ราวกับหมาป่าเดียวดายตัวหนึ่ง นอกจากผู้ที่ตนให้ความสำคัญแล้ว ใครก็ไม่อยู่ในสายตาของเขา นับจากเมื่อครู่จนถึงตอนนี้ ก็สนใจเพียงหลิงจือเซวียนเท่านั้น แม้แต่หน้าของซูเช่อก็ไม่ไว้ บัดนี้ ได้ยินหลิงจือเซวียนพูดเช่นนี้ พวกเขาจึงพึ่งรู้ว่า ซั่งกวนเซ่าเฉินกับมู่หลิงเอ๋อร์ยังมีความสัมพันธ์เช่นนี้อยู่ มิน่า เขาจึงเต็มใจไว้หน้าหลิงจือเซวียน ทว่า สตรีที่สามารถเป็นน้องสาวบุญธรรมของมัจจุราชมีชีวิต ที่แท้มีความสามารถพิเศษใดกัน?
คนทั้งมวลเกิดความสงสัยในตัวหลิงมู่เอ๋อร์เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน แม้พวกเขาจะไม่กล้ามองนางอย่างเปิดเผย แต่ก็มีบางคนใช้หางตามองนาง
ซั่งกวนเซ่าเฉินเดิมกำลังเบื่อหน่าย ได้ยินหลิงจือเซวียนพูดเช่นนี้ ถึงจะมิได้ตอบรับเขา แต่ขายาวที่ก้าวเข้ามานั้น ก็ได้ตอบกลับถึงการตัดสินใจของเขาแล้ว
ที่โต๊ะเล็กอีกโต๊ะหนึ่ง หลิงจือเซวียน จูฉี ซั่งกวนเซ่าเฉิน ซูเช่อ และหลิงมู่เอ๋อร์กับเจาหยางจวิ้นจู่น้อยที่พึ่งเข้าร่วมนั่งล้อมโต๊ะเล็กๆอยู่
เหล่าคนรับใช้ตั้งตะแกรงอย่างรู้งาน นำกาเหล้ามาเพิ่ม และเพิ่มของว่างแสนอร่อยอีกสองสามอย่าง
คนอื่นต่างรู้สึกว่าบรรยากาศมีความพิเศษอยู่บ้าง ในกลุ่มนั้น ชายที่แต่งกายเหมือนบัณฑิตคนหนึ่งกล่าวกับชูเซ่อว่า “จวิ้นอ๋องน้อย พวกพี่หวังกำลังแต่งกลอนอยู่ที่เรือนหน้า พวกข้าในใจเกิดความอยากรู้ อยากไปเปิดหูเปิดตา จึงขอลาไปล่วงหน้าก่อนแล้ว”
“ไปเถอะ!” ซูเช่อกล่าวอย่างราบเรียบ “ต้องการสิ่งใดสามารถไปหาพ่อบ้านได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ขอรับ” บัณฑิตผู้นั้นพูดจบ ก็คารวะอีกครั้ง
เมื่อครู่ยังมีอีกสิบกว่าคนที่นั่งล้อมตะแกรงย่างอยู่ เพียงพริบตาเดียวก็จากไปหมดแล้ว บัดนี้ เหลือเพียงพวกเขาไม่กี่คนที่อยู่บนโต๊ะนี้เท่านั้น
ดวงตาของเจาหยางจวิ้นจู่น้อยมองเห็นเพียงหลิงจือเซวียน เห็นหลิงจือเซวียนรินชาให้หลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน ดวงตาของเจาหยางจวิ้นจู่น้อยก็แดงขึ้นมาแล้ว
แม้หลิงมู่เอ๋อร์จะเป็นน้องสาวของหลิงจือเซวียน แต่เจาหยางจวิ้นจู่น้อยก็ยังคงรู้สึกเสียใจ นางมองหลิงจือเซวียนอย่างตัดพ้อ ราวกับหลิงจือเซวียนเป็นบุรุษหลายใจเสียอย่างนั้น
หลิงจือเซวียนเมื่อเห็นท่าทางของเจาหยางจวิ้นจู่น้อย ก็ขมวดคิ้วอย่างหมดปัญญา เขาก็รินชาให้นางจอกหนึ่ง
“ขอบคุณมาก”เจาหยางจวิ้นจู่น้อยขอบคุณเขาอย่างยินดี
หลิงมู่เอ๋อร์มองหลิงจือเซวียนอย่างประหลาดใจ
หรือว่า เป็นนางเดาผิดไปแล้วหรือ? ที่จริงแล้วหลิงจือเซวียนก็มีความรู้สึกต่อเจาหยางเช่นกัน? ไม่เช่นนั้น เหตุใดเขาจึงทำดีกับนาง?
“พี่ชาย” หลิงมู่เอ๋อร์ไต่ถามหลิงจือเซวียนอย่างไร้เสียง
แก้มของหลิงจือเซวียนแดงขึ้นมา มองไปทางอื่น และท่าทางเช่นนี้ของเขายิ่งทำให้หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกไม่ดี
แย่แล้ว! นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นอาการของคนมีรักแรก ที่แท้มิใช่เจาหยางจวิ้นจู่น้อยที่เฝ้าคิดถึงอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น พี่ชายของนางก็ถูกสาวน้อยนางนี้จับไว้นานแล้ว
แต่ว่า นี่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน? ในระหว่างพวกเขา เกิดสิ่งใดที่นางไม่รู้ขึ้นหรือ?
ซูเช่อก็ค้นพบสถานการณ์ระหว่างพวกเขาสองคนเช่นกัน เขาดื่มสุราลงไปรวดเดียวคำหนึ่ง จากนั้นก็รินให้ซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่ด้านข้างจนเต็ม ส่วนผู้อื่นนั้น แม้เขาจะไม่ได้รินให้ แต่ก็ส่งกาสุราให้กับเจาหยาง เห็นได้ชัดว่าต้องการให้เจาหยางลงมือปรนนิบัติ เจาหยางย่อมอยากจะดูแลหลิงจือเซวียนอยู่แล้ว เช่นนี้จึงจะสามารถเข้าใกล้เขาได้มากขึ้น
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยเดินมายังข้างกายของหลิงจือเซวียน รินสุราให้เขาอย่างระมัดระวัง ในยามที่รินสุรานั้น ดวงตาของนางก็มองหลิงจือเซวียนอย่างหลงใหล
หลิงมู่เอ๋อร์อ้าปาก สุดท้ายก็มิได้พูดสิ่งใด เพราะซั่งกวนเซ่าเฉินดึงฝ่ามือนางอยู่ด้านล่าง มือใหญ่ที่หยาบกร้านเสียดสีอยู่บนมือของนาง
ซูเช่อสังเกตพบความเคลื่อนไหวของคนทั้งสอง ดวงตาลุ่มลึก เขายิ้มบางๆว่า “ได้ยินว่าองค์หญิงต้องการแต่งราชบุตรเขย ใต้เท้าซั่งกวนก็คือตัวเลือกอันดับหนึ่ง”
นิ้วของหลิงมู่เอ๋อร์ขยับ หยิกซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างแรงไปทีหนึ่ง ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกว่า บนฝ่ามือของตนทิ้งรอยประทับของสาวน้อยนางนี้ไว้
เขามองหลิงมู่เอ๋อร์ครั้งหนึ่ง กล่าวกับซูเช่อว่า “ใต้เท้าซูช่างมีข่าวสารฉับไวนัก เช่นนั้นใต้เท้าซูทราบหรือไม่ว่า เป็นผู้ใดที่กล่าวถึงข้าต่อหน้าฝ่าบาทกัน?”
“เรื่องนี้เปิ่นจวิ้นอ๋องจะทราบได้อย่างไร” ซูเช่อหัวเราะเบา “อาจเป็นเพราะใต้เท้าซั่งกวนโดดเด่นเกินไป องค์หญิงจึงโปรดท่านด้วยพระองค์เองกระมัง!”
“ในโลกนี้มีผู้ที่เป็นดั่งต้นไม้หยกเช่นใต้เท้าซู องค์หญิงระลึกถึงไม่เสื่อมคลาย จะไปต้องตาชอบบุรุษจากสกุลอื่นได้อย่างไร? นี่ใต้เท้าซูไม่เชื่อในเสน่ห์ของตนเองหรือ?” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองซูเช่อนิ่งๆ
“บุรุษในใต้ฟ้ามีนับพันนับหมื่น ล้วนมีจุดเด่นของตน ผู้แซ่ซูแม้จะหลงตนเองเพียงใด ก็ไม่คิดว่าสตรีทุกนางต้องชื่นชอบในตัวข้า ในเมืองหลวงมิใช่มีหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่นอกจากท่านแล้วจะมิยอมแต่กับผู้ใดหรือ? แม่นางหลิงน่าจะพอทราบกระมัง! เพราะมักจะเข้าออกแต่ละจวน ทราบความในใจของคุณหนูสกุลใหญ่เหล่านั้น” ซูเช่อมองนาง
เจาหยางจวิ้นจู่น้อยมองคนนี้ทีคนนั้นที นางตัดสินใจว่า ยังคงย่างเนื้อของตนต่อไปดีกว่า เรื่องอื่นอย่าได้ไปยุ่งแล้ว โลกของบุรุษนั้น นางไม่เข้าใจจริงๆ
อื้ม นางเพียงต้องเข้าใจโลกของหลิงจือเซวียนผู้เดียวก็พอแล้ว
ที่จริงแล้ว มีคำพูดหนึ่งของพี่ชายนางที่ไม่ได้พูดผิด บุรุษบนโลกนี้มีมากมาย แต่ละคนต่างก็มีข้อดีของตน เป็นไปไม่ได้ที่ผู้หญิงทุกคนจะชอบคนเช่นพี่ชาย อย่างไรซะ นางก็ไม่ชอบคนแบบพี่ชายแม้แต่น้อย จากที่นางดู พี่ชายควบคุมได้จนยากเกินไป ยังคงเป็นหลิงจือเซวียนที่ดี หลิงจือเซวียนเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ เขาจะไม่เสแสร้ง ยิ่งจะไม่หลอกลวงนาง
แต่ว่า ในใจของบุรุษผู้นี้มีด่านอยู่ด่านหนึ่ง ทุกครั้งที่นางรู้สึกว่าใกล้จะเข้าใกล้เขาแล้ว เขาก็จะผลักนางออกไปอย่างรวดเร็ว นางไม่เข้าใจจริงๆว่าเขาต้องการทำสิ่งใด
หากไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อนาง เหตุใดครั้งก่อนที่นางถูกพวกอันธพาลรังแก เขาจึงออกหน้าตีคนพวกนั้นจนวิ่งหนีไปแล้ว ทั้งยังทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บอีก? แต่หากชอบนาง เหตุใดเมื่อเห็นนางก็ราวกับหลีกเลี่ยงเทพแห่งโรคระบาด แม้นางจะเสนอตัวแสดงไมตรีก่อน เขาก็ไม่มีท่าทีหวั่นไหวแม้แต่น้อย
จูฉีน่าจะเป็นผู้ที่รู้สึกกระดากมากที่สุด ด้านข้างของหลิงจือเซวียนยังมีเจาหยางจวิ้นจู่น้อยคอยราวี หลิงมู่เอ๋อร์ก็ถูกบุรุษสองคนขนาบไว้ตรงกลาง ส่วนตัวเขา เหมือนจะมีเพียงสุราดีและอาหารอร่อยเบื้องหน้าให้ใช้ผ่อนคลาย ดังนั้น เขาจึงเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถกินดื่มอย่างเต็มที่ได้ ในยามที่เขากินเนื้อย่างลงท้องไปจนหมดนั้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็โมโหแล้ว
“พี่จู!” หลิงมู่เอ๋อร์จ้องจูฉี “ท่านกินหมดแล้วหรือ”
จูฉีกะพริบตา จูฉีในตอนนี้มีดวงตาที่สุกสกาวอย่างมากคู่หนึ่ง เมื่อมองดวงตาคู่แล้ว ต่อให้มีโทสะเพียงใด ก็จะต้องคลายความโมโหลง
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่า จูฉีได้ใช้ดวงตาของเขาโจมตีนางอีกแล้ว ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ ขอเพียงเขาเผยท่าทีของผู้บริสุทธิ์ออกมา นางก็ได้แต่ยอมแพ้เท่านั้น
“ช่างเถอะ พวกเจ้านำเนื้อย่างมาเพิ่มอีกหน่อย พี่จูไม่อาจกินเนื้อย่างได้แล้ว ท่านยังมิได้แต่งภรรยา กินเนื้อมากขนาดนี้ไปทำไมกัน?” หลิงมู่เอ๋อร์ใช้ฐานะของแพทย์กล่าวคำนี้ ลืมไปอย่างสิ้นเชิงว่าตนยังเป็นสตรีนางหนึ่ง เจาหยางจวิ้นจู่น้อยที่อยู่เบื้องหน้าเขินอายจนใบหน้าแดงระเรื่อ ส่วนนาง ยังคงมีท่าทีบริสุทธิ์ไร้เดียงสาดังเดิม
ซั่งกวนเซ่าเฉินอยากจะผ่าหัวของเจ้าตัวน้อยนี้ออกมาดูเสียจริงว่าข้างในใส่สิ่งใดไว้ เหตุใดนางจึงสามารถใช้คำพูดที่บริสุทธิ์ถึงเพียงนี้ กล่าวสิ่งที่ทำให้คนเกิดจินตนาการฟุ้งซ่านออกมาได้? เขากล้ายืนยันได้เลยว่า บุรุษที่อยู่ที่นี่ล้วนคิดไปในทางอื่นแล้ว แม้จะเป็นเขา ก็ออกจะหัวเราะมิได้ร้องไห้ไม่ออกเช่นกัน
—————————-
[1] สตรีโตแล้วมิอาจรั้ง เป็นสำนวนหมายถึง สตรีเมื่อโตแล้วก็จะต้องออกเรือน ไม่อาจรั้งอยู่กับครอบครัวได้นาน มักนำมาเปรียบเปรยกับหญิงสาวที่พึงใจชายอื่น เข้าข้างบุรุษอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว