เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 4 บทที่ 103 หวานล้ำราวน้ำผึ้ง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 4 บทที่ 103 หวานล้ำราวน้ำผึ้ง
เล่มที่ 4 บทที่ 103 หวานล้ำราวน้ำผึ้ง
ความเผด็จการของซั่งกวนเซ่าเฉินพิสูจน์ถึงความใส่ใจที่เขามีต่อหลิงมู่เอ๋อร์ ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์มีความสุข แต่ยังคงเบะปากอย่างเย่อหยิ่งซั่งกวนเซ่าเฉินมองดวงหน้าเล็กที่งดงามของนาง สายตาที่น่ารักเปี่ยมเสน่ห์ ก็รู้สึกเพียงว่าเปลวเพลิงกองหนึ่งในร่างใกล้จะเผาไหม้เขาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน เขาอยากจะแต่งหญิงสาวนางนี้กลับบ้านไปในเวลานี้เลยจริง ๆ แต่ว่าที่เรื่องยุ่งยากมากมายที่กองอยู่ที่บ้านจะต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อน ในยามที่ยังไม่ได้กำจัดทิ้งจนหมดสิ้น เขาไม่กล้าแต่งนางกลับไปอกสั่นขวัญแขวนกับเขาด้วย
นิ้วมือที่หยาบกระด้างสัมผัสพวงแก้มของนางเล่น ผิวสีชมพูเนียนนุ่มนั้นทำให้เขารักใคร่จนไม่ปรารถนาที่จะวางมือ คนทั้งสองอยู่ในห้องนานแล้ว ก็มีเสียงของหยางซื่อดังมาจากด้านนอก
หลิงมู่เอ๋อร์รีบผลักซั่งกวนเซ่าเฉินออก จัดเสื้อผ้าของตน ซั่งกวนเซ่าเฉินกลับเสื้อผ้าเป็นระเบียบ ไม่หลุดลุ่ยแม้แต่น้อย บนร่างของหลิงมู่เอ๋อร์กับมีร่องรอยการแสดงความรักเหลืออยู่ ในยามที่หลิงมู่เอ๋อร์จัดเสื้อผ้านั่นเอง ดวงตาของซั่งกวนเซ่าเฉินก็ลึกซึ้งอีกครั้ง แม้จะหันหลังให้เขา ก็สามารถรับรู้ได้ถึงสายตาที่ร้อนดั่งไฟของเขา
“มู่เอ๋อร์ ข้ารับใช้บอกว่าเจ้าทะเลาะกับเจ้าหนุ่มเฉินแล้ว? มีเรื่องอะไรพูดกันดี ๆ ไม่ได้ เหตุใดจึงได้ทะเลาะกันเล่า? เจ้าหนุ่มเฉินปกติแล้วอารมณ์ดี เป็นเจ้าทำให้เขาโมโหใช่หรือไม่?” เสียงของหยางซื่อดังขึ้นจากด้านนอก หลิงมู่เอ๋อร์ค้อนซั่งกวนเซ่าเฉินทีหนึ่ง เดินไปเปิดประตู
หยางซื่อเห็นคนทั้งสองมีสีหน้าปกติ เสื้อผ้าก็เรียบร้อยอย่างมาก ดูแล้วไม่เหมือนทำเรื่องบุ่มบ่ามมุทะลุมา ทันใดนั้นหัวใจที่ล่องลอยอยู่ ก็กลับสู่ที่เดิม
เมื่อครู่นางได้ยินว่าซั่งกวนเซ่าเฉินอุ้มหลิงมู่เอ๋อร์เข้าไปในห้อง นางลังเลอยู่นานแต่ยังคงตัดสินใจมาเคาะประตู เพราะอย่างไรก็เป็นบุตรสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือน ไม่อาจถูกบุรุษรังแกเอาได้ แม้นางจะชอบซั่งกวนเซ่าเฉินเพียงใด ในยามที่ไร้ซึ่งการสู่ขอ ก็ไม่อาจมอบบุตรสาวให้เขาได้ ไม่เช่นนั้น มิเท่ากับว่าลูกสาวของนางเสียเปรียบครั้งใหญ่หรือ?
“พวกเจ้าทั้งสองคนทะเลาะกันจริงหรือ?” หยางซื่อมองสำรวจคนทั้งสอง ทั้งสองคนนี้ยิ่งมาก็ยิ่งรู้จักแสดงแล้ว นางมองสิ่งใดไม่ออกเลยซะอย่าง
หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้นออกมา ดึงมือของหยางซื่อ พูดที่ข้างหูของนางว่า “ท่านแม่วางใจเถิด มีแต่ข้าที่รังแกเขา เขาไม่รังแกข้าหรอกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเมื่อครู่มันเรื่องอะไรกัน? ตอนที่ได้ยินข้ารับใช้พูด ข้าก็ตกใจจนสะดุ้ง” หยางซื่อถลึงตาใส่นางอย่างมีอารมณ์ “เจ้าทำสิ่งใดอีกแล้วเล่า?”
“เหตุใดจึงเป็นข้าอีกแล้วเล่า?” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านแม่ ท่านลำเอียงจริง ๆ มักจะเข้าข้างเขา ครั้งนี้ท่านเดาผิดแล้ว เป็นเขารังแกข้า”
หยางซื่อมองซั่งกวนเซ่าเฉินที่อยู่เบื้องหน้า ในใจของคนหลังรู้สึกกระดากอยู่บ้าง การรังแกที่หลิงมู่เอ๋อร์พูดมิใช่การรังแกแบบที่หยางซื่อคิด แต่เป็นการรังแกระหว่างชายหญิง ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ไม่กล้าพูดตามตรง ได้แต่แบกรับหม้อใบใหญ่ที่ชื่อรังแกนี้ไว้ แน่นอนว่า เขาย่อมไม่สามารถให้แม่ยายในอนาคตรังเกียจเขาได้
“เมื่อครู่เห็นมู่เอ๋อร์คุยกับจวิ้นอ๋องน้อย ข้าเพียงอยากออกหน้าเตือนนางเสียงหน่อยว่า จวิ้นอ๋องน้อยผู้นี้เป็นบุตรชายขององค์หญิงใหญ่ สภาพแวดล้อมรอบกายมีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก” ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดเสียงต่ำ “มู่เอ๋อร์ยังคงไม่ไปมีความเกี่ยวพันกับคนเช่นนี้ลึกซึ้งเกินไปจะดีกว่า จะนำความยุ่งมากมาสู่ตัวเจ้าได้”
ในดวงตาของหยางซื่อมีประกายความเข้าใจแวบผ่าน มิใช่เพราะข้างกายของจวิ้นอ๋องน้อยอันตรายเกินไป แต่เป็นซั่งกวนเซ่าเฉินกำลังหึงหวง! มิน่าล่ะ บรรยากาศเมื่อครู่จึงดูแปลก ๆ
“พี่ใหญ่ของเจ้าพูดไม่ผิด พวกคนที่มีฐานะสูงส่งเหล่านั้น พวกเรายังคงหลีกห่างหน่อยจะดีกว่า” หยางซื่อพูดอย่างยิ้มแย้ม “ในเมื่อไม่ได้ทะเลาะกัน ข้าก็วางใจแล้ว อย่างนั้นพวกเจ้าคุยกันเถิด ข้าจะไปทำงานแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์มองหยางซื่อจากไป พ่นหัวเราะออกมา “ท่านให้ท่านพ่อท่านแม่ข้าดื่มน้ำแกงมอมวิญญาณใด ไม่ว่าอะไรก็เข้าข้างท่าน?”
ทันทีที่หยางซื่อจากไป ซั่งกวนเซ่าเฉินก็กอดนางไว้ในอ้อมอกอีกครั้ง กล่าวที่ข้างหูของนางว่า “ข้าอยากกรอกน้ำแกงมอมวิญญาณให้เจ้ามากกว่า สาวน้อยเช่นเจ้า ช่างสั่งสอนยากเกินไปแล้ว”
หลังส่งซั่งกวนเซ่าเฉินจากไป หลิงมู่เอ๋อร์ก็ลูบแก้มที่ร้อนระอุของตน ที่ข้างหูยังมีเสียงของซั่งกวนเซ่าเฉินดังอยู่ ในใจของนางหวานล้ำ
เวลาค่อยไหลไป ในการดำเนินชีวิตที่สงบเรียบง่าย พวกเขาก็ได้ต้อนรับหิมะแรกหลังจากเข้าเมือง จะถึงวันข้ามปีแล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มยุ่งกันขึ้นมา
หลิงมู่เอ๋อร์ให้เหลาอาหารสกุลหลิงเปิดตัวชุดหม้อไฟออกมา กับเรื่องนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็เกิดกระแสหม้อไฟขึ้นมา กิจการของร้านอาหารสกุลหลิงยิ่งโชติช่วงประดุจไฟ กระจ่างใสดั่งชา [1]
ความสัมพันธ์ระหว่างหลิงมู่เอ๋อร์และซั่งกวนเซ่าเฉินก็ค่อย ๆ ยกระดับไปอีกขั้น ซั่งกวนเซ่าเฉินงานยุ่งอย่างมาก แต่ทำสามวันห้าวันก็มักจะไปแสดงตัวที่บ้านสกุลหลิง คนในสกุลหลิงจากบนลงล่างต่างก็ยอมรับโดยปริยายแล้วว่าเขาจะมาเป็นบุตรเขยในอนาคต หยางซื่อและหลิงต้าจื้อดีต่อเขายิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ส่วนหนานกงอี้จือ ลูกผู้น้องคนนี้ อยู่ในสกุลหลิงก็เข้าทำนองน้ำขึ้นเรือสูง [2] ตามไปด้วย
แม้จะยังมิได้เจาะทะลุกระดาษกรุหน้าต่างแผ่นนี้ แต่ทุกคนต่างก็รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างคนทั้งสอง หลิงต้าจื้อยิ่งได้เรียกซั่งกวนเซ่าเฉินมาพูดคุยรอบหนึ่ง ในคำพูดทั้งเปิดเผยและแฝงนัยล้วนเต็มไปด้วยความพึงพอใจที่มีต่อเขา เห็นได้ชัดว่า แม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะยังมิได้มอบฐานะให้หลิงมู่เอ๋อร์ แต่คนสกุลหลิงก็พึงพอใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก
“หลังปีใหม่เจ้าจะลงสนามจริงหรือ?” ในเรือน จูชิงเฟิงนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะหิน ด้านหน้าของเขามีบุรุษหนุ่มที่อ่อนโยนและสง่างามนั่งอยู่ผู้หนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นี้มิใช่ใครอื่น ก็คือลูกศิษย์คนใหม่ที่จูชิงเฟิงรับมา หลิงจือเซวียนนั่นเอง จูชิงเฟิงรั้งอยู่ที่บ้านสกุลหลิงสอนเด็ก ๆ ทั้งหลาย ที่รับเป็นศิษย์กลับมีเพียงพี่น้องสกุลหลิงเท่านั้น มิใช่ว่าเขาไว้หน้าเฉพาะครอบครัวสกุลหลิง แต่เป็นเพราะในบรรดาเด็ก ๆ ทั้งหลาย มีเพียงพี่น้องสกุลหลิงที่มีพรสวรรค์ ส่วนหยางเสียวหู่และฝูเอ๋อร์ได้เป็นเพื่อนร่วมเรียนก็ไม่เลวแล้ว
หลิงจือเซวียนศึกษาตำรามาครึ่งปี รัศมียิ่งโดดเด่น ตัวเขาในยามนี้ เอ่ยปากเป็นบทความ ในจิตมีขุนเขาและสายนที [3] มิใช่หนุ่มชาวนาเมื่อครึ่งปีก่อนจะมาเปรียบได้
หลิงจือเซวียนคีบหมากตัวหนึ่งวางลงไป มองจูฉีที่นั่งอยู่ด้านข้าง ยิ้มอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าได้ปรึกษากับจูฉีแล้วว่า ถึงเวลานั้นจะเข้าสอบด้วยกันขอรับ”
“พวกเจ้าสองคนข้ากลับไม่เป็นห่วง ทว่าอวี้เอ๋อร์ยังเด็กเกินไป เขาตามไปสอบด้วยไม่ค่อยดีนัก ยังควรให้เขาเรียนเพิ่มสองปี” จูชิงเฟิงมองหลิงจื่ออวี้ที่กำลังเล่นสนุกอยู่กับหยางเสี่ยวหู่และฝูเอ๋อร์ ในดวงตาชราเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อหลิงจื่ออวี้
แม้กระทั่งเมื่อก่อนในยามเผชิญกับบุตรชายของตนเขาก็มิได้ใส่ใจเช่นนี้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าเขารักและเอ็นดูหลิงจื่ออวี้มากเพียงใด
“ท่านอาจารย์ไม่ต้องกังวลขอรับ น้องชายยังเด็ก แม้จะล้มเหลวแล้วก็สามารถเริ่มใหม่อีกครั้งได้ เขามิใช่คนที่แพ้ไม่เป็น แต่ควรจะสั่งสมประสบการณ์ สิ่งนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขาในอนาคตเช่นกันขอรับ” หลิงจือเซวียนมองจูชิงเฟิงพร้อมรอยยิ้มบาง
“เช่นนั้นก็เอาเถอะ!” ช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ข้าก็จะสอนคำถามของข้อสอบในปีก่อน ๆ แม้จะบอกว่าแต่ละปีล้วนไม่เหมือนกัน ทว่าส่วนใหญ่ล้วนไม่ต่างกันมากนัก” จูชิงเฟิงลูบเครากล่าว”
หลิงมู่เอ๋อร์ยกขนมเข้ามา นางวางขนมไว้ข้างมือของพวกเขา ยิ้มบางว่า “ลองชิมขนมที่ข้าทำขึ้นใหม่ดู รับรองว่าพวกท่านไม่เคยทานมาก่อน”
จูฉีมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน “น้องมู่เอ๋อร์ ฝีมือการทำอาหารนั้น ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ถือว่ามีชื่อเสียง พวกเราจะมีบุญปากอีกแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์มองคุณชายผู้งามสง่าที่อยู่ด้านข้าง จูฉีและหลิงจือเซวียนกลายเป็นชายรูปงามคนใหม่ที่ปรากฏตัวออกมาในเมืองหลวง บัดนี้ ทุกครั้งที่ออกจากบ้านล้วนมีหญิงสาวจำนวนหนึ่งติดตามรายล้อมพวกเขา เหล่าคุณหนูที่ว่างจนไม่มีอะไรทำพวกนั้นยังได้นำเสนอคุณชายทั้งสิบแห่งเมืองหลวงอะไรออกมา ซูเช่อจัดอยู่ในอันดับหนึ่ง หลิงจือเซวียนจัดอยู่ในอันดับสาม จูฉีจัดอยู่ในอันดับห้า
“มิน่าล่ะ ช่วงนี้ท่านป้าเหยาจึงลำบากใจถึงเพียงนั้น แม่สื่อพวกนั้นแทบจะเหยียบธรณีประตูจนแตกแล้ว พี่จู ท่านอย่าได้ไปยิ้มให้สตรีอื่นเช่นนี้ จะต้องเกิดเรื่องแน่” หลิงมู่เอ๋อร์ตบหน้าอก เผยสีหน้าที่จิตวิญญาณสั่นไหวออกมา
ผู้คนต่างกล่าวว่ายิ้มหนึ่งของสตรีสามารถล่มเมือง ยามแย้มสรวลอีกครั้งสามารถล่มอาณาจักรได้ เมื่อครู่ที่จูฉีหันมามองพร้อมรอยยิ้ม เกือบทำให้นางลุ่มหลงจนตาลาย
“คุณหนู…” ซางจือเดินเข้ามาจากด้านนอก “จวิ้นจู่น้อยส่งเทียบเชิญมา ต้องการเชิญคุณหนูและคุณชายทั้งหลายไปร่วมงานเลี้ยงเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว มองไปทางหลิงจือเซวียนด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ครึ่งปีมานี้ เจาหยางจวิ้นจู่น้อยคอยวนเวียนอยู่หน้าสกุลหลิงของพวกนาง ตอนนั้น เป็นนางพูดว่านางเกาะติดซูเช่อ เป็นสตรีที่คิดเกาะมังกรกลายเป็นหงส์ บัดนี้ นางมีความตั้งใจในการเว้นระยะห่างกับตระกูลซู นางกลับโผเข้ามาอย่างกระตือรือร้น และต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ ก็คือ หลิงจือเซวียนผู้ที่ยิ่งมายิ่งหล่อเหลา ซึ่งกำลังนั่งดื่มชาอย่างสุขสบายผู้นั้น
บัดนี้ คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่า เจาหยางจวิ้นจู่น้อยพึงใจในตัวทายาทเหลาอาหารสกุลหลิง หลิงจือเซวียน ขอเพียงมีสตรีนางอื่นมายุ่มย่ามกับหลิงจือเซวียน เจาหยางจวิ้นจู่น้อยก็จะปรากฏหน้าออกมาก่อความวุ่นวาย เมื่อเทียบกับจูฉีที่ได้รับความชื่นชอบมากขึ้นเรื่อย ๆ หลิงจือเซวียนก็คือสิ่งหวงห้ามในเมืองหลวง ใครก็ไม่กล้าล่วงเกินเจาหยางจวิ้นจู่ตัวน้อย
หยางซื่อมักจะทุกข์ใจอย่างมาก บุตรชายยิ่งมายิ่งโดดเด่น ผู้เป็นมารดาเช่นนางควรจะดีใจ ทว่า บุตรชายที่โดดเด่นเช่นนี้กับไม่มีบุตรสาวบ้านใดกล้าแต่งด้วย เช่นนั้นก็ปวดหัวแล้ว สำหรับเจาหยางจวิ้นจู่น้อยคนนั้น หยางซื่อที่อ่อนแอมาตลอดก็เริ่มไม่ชอบ โดยเฉพาะสตรีสองสามคนที่หยางซื่อต้องตาล้วนปฏิเสธการสู่ขอของนาง เหตุผลในการปฏิเสธล้วนเป็นไม่กล้าล่วงเกินจวิ้นจู่น้อย หยางซื่อก็ยิ่งขุ่นเคืองแล้ว
“พี่ชาย ท่านว่าอย่างไร?” หลิงมู่เอ๋อร์โยนเรื่องเละเทะนี้ไปให้หลิงจือเซวียน เรื่องนี้เป็นเพราะเขา ย่อมควรมีเขาเป็นผู้จัดการ
หลิงจือเซวียนวางหมากในมือลง กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “นางอยากให้เจ้าไป เจ้าก็ไปเถอะ”
“ท่านโง่จริงหรือแสร้งโง่กันแน่? ที่นางเชิญคือคุณหนูและคุณชายทั้งหลาย ย่อมหมายความว่า ท่านก็ต้องไปด้วย” หลิงมู่เอ๋อร์เคาะหน้าผากของหลิงจือเซวียนครั้งหนึ่ง
หลิงจือเซวียนกุมมือน้อยของหลิงมู่เอ๋อร์ สายตาอ่อนโยน “สาวน้อย พี่ชายจะถูกเจ้าเคาะจนโง่เขลาแล้ว ไปเรียนนิสัยไม่ดีมาจากที่ใด ไม่ว่ามีเรื่องอะไรก็จะเคาะหัว?”
หลิงมู่เอ๋อร์หดมือกลับมา ยิ้มอยากกระดาก นิสัยไม่ดีนี้ยังจะไปเรียนมาจากใครได้? แน่นอนว่าย่อมเรียนมาจากซั่งกวนเซ่าเฉิน เขาในตอนนี้ ไม่ว่าจะขยับหรือหยุดนิ่งก็ชอบเคาะศีรษะของนาง
“นางอยากให้ข้าไป เช่นนั้นข้าก็ไปแล้วกัน” หลิงจือเซวียนเงยหน้ายิ้มมองจูชิงเฟิงที่อยู่เบื้องหน้า “ท่านอาจารย์ ท่านแพ้แล้วขอรับ”
จูชิงเฟิงส่ายหัว เต็มไปด้วยความทอดถอนใจว่า “ข้ารู้เพียงว่าตนเองเป็นผู้มีพรสวรรค์ กลับไม่รู้ว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน เจ้าพึ่งเรียนเพียงครึ่งปี ไม่ว่าจะเป็นวิชาการในตำรา หรือพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาด แต่ละด้านล้วนไม่ด้อยไปกว่าข้าที่ศึกษามากว่าสิบ ยี่สิบปี ด้วยความสามารถของเจ้าในตอนนี้ แม้จะเป็นพวกคงแก่เรียนพวกนั้น ก็มิอาจหาจุดผิดพลาดใดออกมาได้”
“ท่านอาจารย์กล่าวชมเกินไปแล้ว สิ่งที่ศิษย์ได้เรียนรู้ทั้งมวลในเวลานี้ ล้วนได้ท่านอาจารย์เป็นผู้สั่งสอน ศิษย์จะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่อาจก้าวข้ามท่านอาจารย์ไปได้ หากพูดถึงพรสวรรค์แล้ว จูฉีจึงจะเป็นยอดแห่งอัจฉริยะผู้นั้น” หลิงจือเซวียนพูดอย่างถ่อมตน
“พวกท่านพูดจาน่าเหน็ดเหนื่อยจริง ๆ พี่ชายของข้าโดดเด่น พี่ใหญ่ก็โดดเด่น ไม่เช่นนั้น ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงครึ่งปี ย่อมไม่อาจครอบครองที่ยืนในเมืองหลวงได้แล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เล่นเทียบเชิญเลี่ยมทองในมือ “ในเมื่อพี่ชายบอกให้รับไว้ เช่นนั้นข้าก็จะรับไว้แล้ว จะอย่างไรหากจะไปก็เป็นท่านไป ข้าไม่มีทางไปแน่”
นางไม่มีทางไปชิงดีชิงเด่นกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ที่ชอบเข้าข้างตนเองพวกนั้น พวกนางมีอารมณ์ แต่นางกลับไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนั้น
“ไปก็ดี งานเลี้ยงในครั้งนี้มิใช่งานเลี้ยงที่ฟูเหรินในเรือนหลังเป็นผู้จัดขึ้น แต่เป็นเจตนาของท่านราชบุตรเขย ราชบุตรเขยผู้นี้ ในอดีตก็มีชาติกำเนิดเป็นท่านอ๋องเช่นกัน ตลอดมาเป็นผู้ที่รักหวงแหนผู้มีพรสวรรค์ ราวทุกครึ่งปีก็มักจะจัดงานเลี้ยงเช่นนี้ บรรดาสตรีแน่นอนว่าย่อมลิ้มรสอาหารโอชะอยู่ที่เรือนหลัง ชื่นชมทิวทัศน์อันงดงาม แต่เหล่าบุรุษอยู่ที่เรือนหน้ากับมีเรื่องต้องทำ” จูชิงเฟิงให้คำแนะนำพวกเขา “ในจวนของราชบุตรเขยมีของวิเศษล้ำค่าจำนวนมาก ในด้านนี้ เซวียนเอ๋อร์ก็ยังขาดประสบการณ์อยู่บ้าง ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตา” โชติช่วงประดุจไฟ กระจ่างใสดั่งชา
————————–
[1] เป็นสำนวน สื่อว่าได้รับความนิยมอย่างมาก
[2] น้ำขึ้นเรือสูง เป็นสำนวนสื่อถึงการได้ยกระดับฐานะเนื่องจากคนที่เกี่ยวข้องด้วยมีฐานะที่สูงขึ้น
[3] ในจิตมีขุนเขาและสายนที เป็นสำนวนหมายถึง ในยามที่ประพันธ์ผลงาน ในใจได้มีภาพอันยาวไกลอยู่ในใจแล้ว หรือเป็นการอุปมาถึงการมีความสามารถในการวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง จัดการเรื่องราวอย่างมีชั้นเชิง