เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 89 เชิญอาจารย์
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 3 บทที่ 89 เชิญอาจารย์
เล่มที่ 3 บทที่ 89 เชิญอาจารย์
จูชิงเฟิงสามารถทำให้หลายคนหัวปวดไปตามๆ กันได้ แน่นอนว่าไม่ใช่คนที่พูดคุยได้ง่ายๆ ถ้าหลิงมู่เอ๋อร์พูดแค่คำสองคำแล้วเชิญเขากลับไปได้แล้ว นางกลับจะสงสัยว่าคนผู้นี้เป็นตัวปลอมหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ตอนที่จูชิงเฟิงปฏิเสธหลิงมู่เอ๋อร์ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่ได้รู้สึกตกใจเลยแม้แต่น้อย นางพูดเพียงแค่ประโยคเดียวว่าพรุ่งนี้จะมาอีกครั้งแล้วก็เดินจากไป
หลังจากที่หลิงมู่เอ๋อร์กลับไป เหยาซื่อภรรยาของจูชิงเฟิงก็มองไปที่จูชิงเฟิงและชายหนุ่มจูชีที่อยู่ด้านข้างอย่างสับสนงุนงง
จูชิงเฟิงไม่ได้กล่าวอะไรก็เดินถือไม้เท้ากลับไปที่ห้อง เหยาซื่อยืนทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้มอยู่ตรงนั้น จูชีตบไหล่ของเหยาซื่อเพื่อปลอบใจนาง
“ชีเอ๋อร์ แม่นางท่านนั้นแตกต่างจากผู้อื่นยิ่งนัก ไม่แน่ว่าอาจจะ…” เหยาซื่อไม่กล้ากล่าวออกมาได้เต็มปาก เพราะถึงตอนนั้นแล้วผิดหวังอีกครั้ง จูชีอาจจะรับไม่ไหว
จูชีกลับไม่ได้นำคำพูดของเหยาซื่อมาใส่ใจ เขายิ้มอย่างอ่อนโยนพลางพูดว่า “ท่านแม่ ต่อให้ไม่ใช่เพราะเรื่องของข้า แต่เพื่อท่านพ่อก็ต้องให้เขาไปเป็นอาจารย์ที่บ้านของแม่นางท่านนั้น ท่านพ่อมักจะอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน ไม่ช้าก็เร็วร่างกายจะรับไม่ไหว อาการเจ็บป่วยของเขาก็เป็นเพราะเกิดจากความกังวลมากเกินไป ป่วยโรคทางใจก็ต้องรักษาด้วยยาใจถึงจะถูก”
“ข้าก็อยากให้พ่อเจ้าออกไปข้างนอกบ้าง แต่ว่านิสัยของเขาช่างดื้อรั้นเหลือเกิน แม้แต่ฮ่องเต้ในรัชสมัยนั้นยังถูกเขาทำเอาจนลำบากใจได้เลย” เหยาซื่อจนปัญญา
“ข้าเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวัน ท่านพ่อจะกลับมาจิตวิญญาณที่ฮึกเหิมดังเช่นปีนั้นได้แน่นอน ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ข้ารู้สึกเชื่อมั่นในตัวของแม่นางผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง” จูชียิ้มเล็กน้อย
เหยาซื่อมองบุตรชายร่างสูงโปร่งตรงหน้าคนนี้ เขาอ่อนโยนทั้งยังมีรูปลักษณ์หล่อเหลาขนาดนี้ หากไม่ใช่เพราะดวงตาคู่นั้น ก็ไม่รู้ว่าจะมีแม่นางมากมายเพียงใดที่ชื่นชอบเขา ทว่าไม่เพียงแต่ดวงตาเท่านั้นที่เป็นตัวถ่วงของเขา แม้แต่บิดามารดาทั้งสองอย่างพวกเขาก็เป็นตัวถ่วงของเขาเช่นกัน ถ้าหากเขาเกิดมาในครอบครัวที่ดีกว่านี้ ก็คงไม่ต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ลำบากแบบนี้
อีกด้านหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์กลับมาถึงบ้านและจัดการเรื่องของร้านค้าต่อ อีกห้าหกวันเหลาอาหารสกุลหลิงก็จะสามารถเปิดทำการได้แล้ว ตอนนี้กำลังตกแต่งในขั้นตอนสุดท้ายอยู่ สิ่งของที่จำเป็นต้องเตรียมของโรงหมอค่อนข้างเยอะกว่า ตอนนี้ได้วางเค้าโครงของด้านในเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่หาร้านขายยามาร่วมมืออีกสองสามราย เพียงแต่ว่าเรื่องหาร้านขายยานั้นเป็นเรื่องใหญ่ นางจำต้องสอบถามให้แน่ชัดก่อนที่จะตัดสินใจ คุณสมบัติของเจ้าของร้านขายยาก็เป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งที่นางจะต้องตรวจสอบให้ดีเช่นเดียวกัน นางเกลียดพ่อค้าประเภทที่แอบลดวัตถุดิบยาเป็นที่สุด
“โปรดนำหยกพกนี้มอบให้กับเจ้านายของพวกเจ้า แล้วกล่าวว่าข้ามาตามคำขอของเขาแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ยังหาร้านยาที่เหมาะสมไม่ได้ นั่นจึงทำให้นางนึกถึงซูเช่อขึ้นมา
ซูเช่อเป็นคนที่มีอิทธิพลของที่นี่ จะต้องเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ดีแน่นอน นางผู้ที่มาจากต่างแดนอยากจะมาตั้งรกรากที่มั่นคงอยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีคนคอยหนุนหลังนั่นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ซูเช่อเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของนางในตอนนี้ มิใช่ว่าซูเช่ออยากให้นางรักษาอาการป่วยท่านย่าของเขาหรอกหรือ?เป็นการดีที่จะฉวยโอกาสนี้มาทำความคุ้นเคย
หลิงมู่เอ๋อร์นำสิ่งของยืนยันตัวตนที่ซูเช่อมอบให้มาที่โรงเตี๊ยมที่เขาเคยกล่าวเอาไว้ แล้วนำสิ่งของยืนยันตัวตนมอบให้กับหลงจู๊ของที่นั้น จากนั้นก็รอให้ซูเช่อมาหานาง
ทว่าซูเช่อกลับรีบร้อนมากกว่าที่นางได้คิดเอาไว้ นางเพิ่งจะกลับมาถึงบ้านก็เห็นรถม้าหรูหราโอ่อ่าคันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
ซูเช่อเดินลงมาจากรถม้า มองหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าของเขาแย้มรอยยิ้มออกมาอย่างสว่างไสว “ไม่พบกันนานเลย แม่นางหลิง”
หลิงมู่เอ๋อร์ถือกล่องเครื่องมือแพทย์ มองไปที่เขาอย่างนิ่งๆ “ไปตอนนี้เลยหรือไม่?”
ซูเช่อเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าลงแล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดี “อาการป่วยของท่านย่าข้าสาหัสมาก ถ้าแม่นางไม่มีเรื่องอื่นใด ก็เชิญไปกับข้าตอนนี้เลย ขอเพียงแค่เจ้าช่วยท่านย่าของข้า เจ้าก็จะเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลซูของพวกเรา หลังจากนี้หากมีผู้ใดกล้ารังแกพวกเจ้า คนแซ่ซูไม่มีทางที่จะนิ่งเฉยอย่างแน่นอน”
สิ่งที่หลิงมู่เอ๋อร์รออยู่ก็คือคำพูดประโยคนี้ของเขา มีคำพูดประโยคนี้ของเขาแล้ว แม้ว่าจะลำบากสักเพียงใดก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
นางปีนขึ้นไปและเข้าไปนั่งในรถม้าของซูเช่อ ติดตามซูเช่อมาถึงจวนซู
จวนซู ควรจะกล่าวว่าจวนจวิ้นอ๋อง ซูเช่อผู้นี้มีฐานะเป็นถึงจวิ้นอ๋อง หลิงมู่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะมองดูให้มากหน่อย
ซูเช่อเคยชินกับการมองสำรวจของคนอื่นนานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาที่สงสัยของหญิงสาว สำหรับเขาแล้วราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยจนเคยชินอย่างไรอย่างนั้น เขาโบกพัดในมือและยิ้มต้อนรับ
“นำทางไป” หลิงมู่เอ๋อร์เบะปากอย่างไม่พอใจ “โปรยเสน่ห์เสียจริง”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซูเช่อหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง เขามองหญิงสาวที่สาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไปในจวนจวิ้นอ๋องอย่างจนใจ เขาลูบที่ใบหน้าของตนเอง แอบถอนหายใจหรือว่าเสน่ห์ของเขาได้ลดลงแล้วจริงๆ มิเช่นนั้นเหตุใดหญิงสาวนางนี้ถึงเมินเฉยทำเป็นเหมือนมองไม่เห็น?
“จวิ้นอ๋องเล็ก” เหล่าบ่าวรับใช้หญิงเห็นซูเช่อพาหญิงสาวเข้ามาในจวน ดวงตาแต่ละคู่ก็กวาดมองทั้งสองคน
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้หันกลับไปมองก็สัมผัสได้ถึงดวงตาหลายคู่ที่มองมาอย่างไม่พอใจราวหึงหวงก็มิปาน นางแอบด่าทอคนตัวซวยผู้นั้นอยู่ในใจ
“ฮูหยินเฒ่าพักผ่อนแล้วหรือ?” ซูเช่อพาหลิงมู่เอ๋อร์มาถึงหน้าประตูจวนอันโอ่อ่าสวยงาม
มีแม่นมเฒ่านางหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ ทำความเคารพต่อซูเช่อ ครั้นได้ยินคำพูดของซูเช่อ แม่นมเฒ่าก็กล่าวอย่างเคารพนบนอบ “ทูลจวิ้นอ๋องเล็ก ฮูหยินเฒ่าเพิ่งจะเสวยเกาเตี่ยน [1] ไป เพลานี้อาหารยังไม่ย่อยเล็กน้อย ยังไม่ได้พักผ่อนเพคะ”
“เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี ข้าพาหมอมาพอดี” ซูเช่อมองที่หลิงมู่เอ๋อร์ กล่าวกับแม่นมว่า “ท่านนี้ก็คือหมอเทวดาที่ข้าพบตอนอยู่ด้านนอก ถ้าไม่ใช่เพราะท่านหมอเทวดา ชีวิตน้อยๆ ของข้าก็คงดับสิ้นไปนานแล้ว อย่าได้ดูแคลนว่าแม่นางท่านนี้อายุน้อย นางได้ถูกขนานนามว่าเป็นเซียนหมอในหมู่เหล่าชาวบ้านสามัญชน แม่นมอย่าได้ละเลยแขกคนพิเศษของข้าเป็นอันขาด”
ครั้นแม่นมเฒ่าเห็นหญิงสาวที่อายุยังน้อยขนาดนี้ ก็ดูถูกแคลนหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ในใจพอดี นางกำลังคิดว่าไม่รู้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้ใช้กลอุบายใดประจบประแจงจวิ้นอ๋องเล็กของพวกเขา ตอนนี้ได้ยินคำขู่ของจวิ้นอ๋องเล็กแล้วนั้น แม่นมเฒ่าก็ไม่กล้าที่คิดดูแคลนอีกต่อไป นางนำหลิงมู่เอ๋อร์เดินเข้ายังเขตชั้นในพลางกล่าวว่า “เชิญแม่นางรีบเข้ามาในห้องเถิดเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านเป็นแขกคนพิเศษของจวิ้นอ๋องเล็กแล้ว จะต้องได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี บ่าวชราไม่กล้าละเลยแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์พินิจมองการจัดแต่งภายในห้อง ภายในมีนางกำนัลรูปโฉมงดงามหลายนางที่กำลังเล่นไพ่นกกระจอกกับหญิงชรานางหนึ่งอยู่ เมื่อหญิงชราเห็นซูเช่อเดินเข้ามา ก็รีบร้อนวางสิ่งของที่อยู่ในมือลงอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวทักทายด้วยความดีอกดีใจว่า “หลานชายคนดีของข้า เหตุใดวันนี้เจ้าถึงได้มีเวลาว่างมาเยี่ยมย่าได้ล่ะ?รีบเข้ามาให้ย่าดูหน่อยเถิด”
ซูเช่อมีรูปลักษณ์หล่อเหลา ไม่ว่าสตรีในวัยใดล้วนไม่อาจปฏิเสธความหล่อของบุรุษได้ โดยเฉพาะบุรุษผู้นี้ที่ยังเป็นหลานชายของนางอีกด้วย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังรู้สึกมองไม่พอสักที เรื่องนี้ทำให้ฮูหยินเฒ่าประหลาดใจมาก
ตอนอยู่ด้านนอกซูเช่อก็คงรักษาภาพลักษณ์สง่างามของคุณชายได้เป็นอย่างดี แต่หลังจากที่นั่งลงข้างกายของฮูหยินเฒ่าแล้วนั้น ก็มีท่าทีทะเล้นขึ้นมาทันที หยอกล้อเสียทำเอาฮูหยินเฒ่ายิ้มไม่หุบ
“แม่นางท่านนี้คือ…” ฮูหยินเฒ่ารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของหลิงมู่เอ๋อร์ นางเลิกคิ้วหลิ่วตามองไปที่ซูเช่อ
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางราวกับเด็กซุกซนของหญิงชรา ในใจก็คิดว่ามิน่าเล่าเหตุใดซูเช่อถึงได้เป็นกังวลต่อท่านย่าของเขามากขนาดนั้น เกรงว่าความสัมพันธ์ของสองย่าหลานคู่นี้จะดีเป็นอย่างมาก
“ท่านย่า ยังจำที่ข้าเคยเล่าให้ท่านฟังเมื่อครั้งก่อนได้หรือไม่ขอรับ?” ซูเช่อเล่าถึงเรื่องที่เขาได้รับบาดเจ็บ และถูกหลิงมู่เอ๋อร์ช่วยชีวิตไว้อีกรอบ “แม่นางท่านนี้ก็คือคนที่เคยช่วยชีวิตข้าเอาไว้ วิชาแพทย์ของนางสูงส่งเป็นอย่างมาก มีชื่อเสียงโด่งดังในที่นั่น แม่นางได้รับคำเชื้อเชิญจากข้าให้มาเมืองหลวง ตลอดทางล้วนถูกคนขนานนามว่าเซียนหมอ ข้าให้นางมาดูอาการให้ท่านย่า ไม่ใช่เพราะว่ากังวลว่าสุขภาพของท่านย่าจะมีปัญหาอันใด เพียงต้องการให้นางตรวจชีพจรของท่านย่าดู ให้หลานชายได้วางใจสักหน่อย เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลตอนที่หลานอยู่ด้านนอกขอรับ”
“แม่นางงดงามขนาดนี้ที่แท้ก็เป็นเซียนหมอ” ฮูหยินเฒ่าซูมองหลิงมู่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “เข้ามาให้ข้าดูสักหน่อย”
หลิงมู่เอ๋อร์เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว นางปล่อยให้ฮูหยินเฒ่าซูจับมือและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบนางสักพักหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคนในครอบครัวของนางก็คงถูกซักถามจนละเอียดแล้ว
“ฮูหยินเฒ่า ให้ข้าได้จับชีพจรของท่านเถิดเพคะ!” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยขัดจังหวะฮูหยินเฒ่า
ฮูหยินเฒ่ายืนข้อมือออกไปให้หลิงมู่เอ๋อร์อย่างเต็มใจ
ซูเช่อมองดูอยู่ด้านข้าง เขากล่าวหยอกล้อฮูหยินเฒ่าเพื่อให้นางผ่อนคลาย เช่นนี้ก็จะทำให้หลิงมู่เอ๋อร์จับชีพจรได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น
“ร่างกายของฮูหยินเฒ่าแข็งแรงดี เพียงแต่ในยามปกติต้องเดินในจวนให้มากหน่อย ข้าเชื่อว่าร่างกายจะต้องแข็งแรงมากยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มพลางกล่าวกับฮูหยินเฒ่าซู
“ข้าบอกแล้วว่าข้าแข็งแรงดี เจ้าเด็กคนนี้มักจะชอบกระวนกระวายใจไปเอง ตอนนี้ท่านหมอก็กล่าวเช่นนี้ เจ้าคงจะเชื่อได้แล้วกระมัง?” ฮูหยินเฒ่าถลึงตาจ้องไปที่ซูเช่อพลางกล่าว
ซูเช่อรีบตอบรับ เขามองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้าง “ในเมื่อท่านย่าไม่ได้เป็นอันใด เจ้าก็กลับไปก่อนเถิด!วันหลังข้าค่อยไปสนทนากับเจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์หยัดกายลุกขึ้นยืน ย่อกายคารวะไปทางทั้งสองคน แม่นมเฒ่านางนั้นก็นำนางเดินออกไป แม่นมเฒ่าเดินมาส่งนางที่หน้าประตูใหญ่
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่บนรถม้าของตระกูลซูและจากไปต่อหน้าทุกคน ในตอนที่รถม้ากำลังเคลื่อตัวออกไป ก็มีเงาร่างสีแดงสายหนึ่งกระโดดขึ้นมา เงาร่างสีแดงนั้นชำเลืองมองที่หลิงมู่เอ๋อร์หนึ่งที พลางขมวดคิ้วหรี่ตาเล็กน้อย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหญิงสาวนางนี้ก็รู้สึกว่าท่าจะไม่ดีแล้ว วันนี้ช่างโชคไม่ดีเสียจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับคุณหนูเอาแต่ใจท่านนี้ ทั้งยังใบหน้าของนาง…เวลาผ่านไปนานมากแล้ว ดูเหมือนว่าใบหน้าจะหายดีแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้นางใช้ชีวิตอยู่อย่างไร ถ้าหากให้นางรู้ว่าคนที่วางยานั้นเป็นตนเอง เกรงว่าจะต้องเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาอีกครั้งแน่นอน
“ข้าเป็นหมอ มาที่นี่ก็ย่อมต้องมาตรวจอาการป่วยให้กับคนไข้ หากคุณหนูไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว โปรดหลีกทางด้วย!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเรียบราบ
หญิงสาวในชุดสีแดงเบะปาก ส่งเสียงหึในลำคอแล้วออกจากที่นั่น นางกระโดดลงมาจากม้า โยนเชือกให้กับข้ารับใช้ที่อยู่ด้านข้าง แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้าไปในจวน
หลิงมู่เอ๋อร์มองแผ่นหลังของหญิงสาวในชุดแดงพลางทำท่าทางครุ่นคิด “พี่ชาย คุณหนูท่านนั้นเป็นผู้ใดในจวนของพวกท่านเจ้าคะ?”
คนรถม้าตอบกลับ “ท่านนั้นคือคุณหนูของจวนพวกเรา ก็คือองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยางขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจอย่างถ่องแท้ ซูเช่อเป็นจวิ้นอ๋องเล็ก นางเป็นองค์หญิง อันที่จริงถ้ามองอย่างละเอียดทั้งสองคนก็มีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันมากๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นพี่น้องกัน
ซูเช่อเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือ ถึงแม้จะเป็นบุคคลค่อนข้างอันตราย แต่ก็สามารถแสร้งทำทีเป็นคุณชายผู้สง่าได้ตลอด แต่องค์หญิงเล็กท่านนี้เป็นช่างโหดเหี้ยมเสียจริง ไม่แม้แต่จะเสแสร้ง
เชิงอรรถ
[1] เกาเตี่ยน (糕点) หมายถึง ชื่อของขนมชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้งโดยทั่วไป