เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 83 ชื่อเสียงโด่งดัง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 3 บทที่ 83 ชื่อเสียงโด่งดัง
เล่มที่ 3 บทที่ 83 ชื่อเสียงโด่งดัง
หญิงสาวในชุดขาวปิดคลุมใบหน้าเดินมาจากระยะไกลๆ ไม่ว่านางจะเดินไปที่ใด ทุกคนล้วนแล้วแต่หลีกทางให้ คนเหล่านั้นเริ่มกล่าวทักทายหญิงสาว นางตอบรับอย่างนุ่มนวล ตลอดทางที่ผ่านมา ทุกคนต่างล้วนแย่งชิงกันเพื่อให้ได้ไปอยู่ต่อหน้าหญิงสาวในชุดขาว
ด้านหน้าของหญิงสาวมีสาวใช้สองนางติดตามมาด้วย สาวใช้ทั้งสองนางนั้นสวมใส่ชุดสีเขียว สาวใช้ทั้งสองยืนกำบังอยู่ด้านหน้าของหญิงสาวในชุดขาว เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาใกล้จนเกินไป
ด้านหลังของหญิงสาวชุดขาวมีบุรุษสองคนคอยติดตามมาไม่ห่าง บุรุษทั้งสองคนนั้นเป็นคนดูแลจวนที่หญิงสาวชุดขาวซื้อมาใหม่ นางตั้งชื่อให้พวกเขาว่าหลิงเฉินและหลิงหลี
หลิงเฉินและหลิงหลีเดิมทีเป็นคนระเหเร่ร่อน เนื่องจากได้ล่วงเกินคนที่ไม่สมควรล่วงเกินเข้า จึงถูกทางการจับเข้าคุก หลังจากนั้นก็กลายมาเป็นทาสทางการ หลิงมู่เอ๋อร์ถูกใจในสองคนนี้และใช้เงินซื้อพวกเขาด้วยราคาสูง ตอนที่พี่น้องสองคนนี้เห็นว่าคนที่ตนเองจะต้องไปปรนนิบัติคือแม่นางน้อยร่างบอบบาง ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันที ตอนที่มาในช่วงแรกๆ พวกเขาไม่ยอมเชื่อฟัง แต่หลังจากได้เห็นฝีมือของหลิงมู่เอ๋อร์ และถึงขั้นพ่ายแพ้ในน้ำมือของนาง พวกเขาต่างก็ทำตัวว่านอนสอนง่ายเหมือนแมวก็มิปาน ตอนนี้ก็ไม่กล้าดูแคลนหลิงมู่เอ๋อร์แม้แต่ครึ่งส่วน
“หมอเทวดามักจะคลุมใบหน้า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร” เหล่าชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ “แต่ดูจากท่วงท่าอากัปกิริยานั่นสิ ย่อมเป็นสาวงามแน่นอน”
คนด้านข้างๆ กล่าวคล้อยตาม
ครั้นหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงพูดคุยสนทนาของพวกชาวบ้าน ก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ นางแค่ไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ประวัติของนางเท่านั้น เช่นนี้ก็เพราะจะได้ไม่มีคนมารบกวนชีวิตพ่อแม่ของนาง ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่านางคือหลิงมู่เอ๋อร์ ซึ่งเป็นบุตรสาวของคนสกุลหลิงที่เปิดเหลาอาหารสกุลหลิงร้านนั้น พวกเขารู้แค่ว่าหมอเทวดาก็ชื่นชอบไปที่เหลาอาหารสกุลหลิงด้วยเช่นกัน ถ้าหาหมอเทวดาไม่พบที่โรงหมอ เช่นนั้นต้องไปหาที่เหลาอาหารสกุลหลิง และส่วนใหญ่นางอาจจะทานอาหารอยู่ที่นั่น กล่าวได้ว่า คนที่ต้องการให้หมอเทวดารักษาโรคให้ ถ้าพวกเขากล่าวถ้อยคำดีๆ เข้าหูหยางซื่อสักสองสามประโยค พวกเขาพบว่าหมอเทวดาจะมารักษาคนเหล่านี้โดยเร็ว ด้วยเหตุนี้ผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มเข้าประตูหลัง [1] ของเหลาอาหารสกุลหลิง และคนในเหลาอาหารสกุลหลิงก็ได้รับความเกรงใจไปโดยปริยาย
“แย่แล้ว…แย่แล้ว…เหลาอาหารสกุลหลิงถูกไฟไหม้แล้ว…” ในกล่มฝูงชน มีคนตะโกนออกมาเสียงดัง
ฝีเท้าของหลิงมู่เอ๋อร์หยุดชะงัก นางมองไปยังคนที่กล่าวออกมา ขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ไฟไหม้เหลาอาหารสกุลหลิงได้อย่างไร?”
คนผู้นั้นเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ รีบร้อนพูดขึ้น “เป็นความจริง ท่านหมอเทวดา ไฟกำลังไหม้เหลาอาหารสกุลหลิงอย่างหนัก ที่นั่นเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดหนีออกมาเลย”
ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์เกิดความสับสนไปหมด นางมองไปที่หลิงเฉินและหลิงหลีที่อยู่ไม่ไกล หลิงเฉินและหลิงหลีรู้จักฐานะของหลิงมู่เอ๋อร์ดี พวกเขาไม่รอคำสั่งจากนางก็รีบรุดไปที่เหลาอาหารสกุลหลิงทันที
“ยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดถึงไฟไหม้ขึ้นมาล่ะ? พวกเราก็ไปดูกันเถิด!” เหล่าชาวบ้านต่างก็รีบไปที่เหลาอาหารสกุลหลิง
“คุณหนู ท่านช้าหน่อยเจ้าค่ะ” ซางจือประคองหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์ในขณะนี้สูญเสียความสงบนิ่งในยามปกติไปแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความร้อนรน ทันทีที่นางได้ยินว่าไม่มีผู้ใดหนีออกมาจากเหลาอาหาร ในใจของนางก็ตื่นตระหนก
ความคิดมากมายวนเวียนขึ้นมาอยู่ในหัวของนาง คาดเดาว่าหรือจะเป็นศัตรูของพี่น้องตระกูลโจวที่มาหาถึงหน้าบ้านแล้ว มิเช่นนั้นจะเกิดไฟไหม้ขึ้นมากะทันหันได้อย่างไร?
ในขณะที่นางมาถึงเหลาอาหารสกุลหลิง สิ่งที่นางเห็นคือทะเลเพลิงผืนหนึ่ง ณ ตอนนั้นสมองของนางก็ว่างเปล่า
เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันก็กำลังช่วยกันดับไฟ น้ำถังแล้วถังเล่าถูกยกเข้าไป เพลิงไฟกำลังค่อยๆ ดับลง ทว่า กลุ่มควันดำลอยฟุ้งกระจายออกมา และส่งกลิ่นเหม็นไหม้กระจายไปทั่วอากาศ ปีศาจงูเพลิงตัวนั้นสะท้อนในดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ เหมือนกับอสุรกายร้ายตัวหนึ่งที่ต้องการจะกลืนกินร่างกายและจิตใจของนาง
หลิงมู่เอ๋อร์แย่งถังน้ำของคนที่อยู่ด้านข้างมา ราดใส่บนกายของตนเอง ทําท่าจะวิ่งบุกเข้าไปในกองเพลิง
คนที่ถูกแย่งถังน้ำตกใจจนผงะไป ครั้นได้เห็นหลิงมู่เอ๋อร์ก็พึมพำว่า “ท่านหมอเทวดา ท่านกำลังทำสิ่งใด?”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้สนใจต่อคำถามขอคนผู้นั้น นางกระโจนเข้าไปในทะเลเพลิง ในขณะที่นางกำลังจะวิ่งเข้าไปนั้น มีเงาร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้นด้านข้างและกอดนางเอาไว้ แล้วใช้สันมือข้างหนึ่งฟาดลงไปเพื่อทำให้นางหมดสติ ในห้วงเวลาที่กำลังจะหมดสติ หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
นางจะไปช่วยครอบครัวของนาง เหตุใดต้องทุบตีนางให้สลบด้วย?
ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย ท่านลุง ท่านย่า…
และยังมีข้ารับใช้เหล่านั้นที่ติดตามพวกเขา
พวกเขาจะตาย
หลิงมู่เอ๋อร์นอนกระสับกระส่าย ในห้วงแห่งความฝัน นางเห็นอัคคีเพลิงขนาดใหญ่และคนในครอบครัวของนางเดินเข้าไปในกองเพลิงนั้นทีละก้าวทีละก้าว และหายไปในสิ้นสุด
นางตื่นจากภวังค์ความฝันด้วยน้ำตานองใบหน้า นางเช็ดน้ำตาและเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย ดวงตาของนางว่างเปล่า
“คุณหนู…” ซางจือได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของหลิงมู่เอ๋อร์ จึงรีบเดินเข้ามา นางเห็นดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาของหลิงมู่เอ๋อร์ก็อดที่ปวดใจขึ้นมาไม่ได้ “คุณหนู ท่านไม่ต้องเสียใจไปเจ้าค่ะ นายท่านและฮูหยินล้วนไม่เป็นอันใด คุณชายใหญ่ ท่านลุงและฮูหยินเฒ่าก็ไม่เป็นอันใดเช่นกัน เพียงแต่ว่าแม่เฒ่าสองนางที่ดูแลห้องครัวถูกไฟคลอกได้รับบาดเจ็บเจ้าค่ะ”
ชั่วขณะนัยน์ตาที่ว่างเปล่าของหลิงมู่เอ๋อร์พลันสว่างวาบขึ้น นางหยัดกายขึ้นมานั่งพลางจ้องเขม้นไปที่ซางจือ “เจ้าพูดจริงหรือ?”
“เป็นความจริงเจ้าค่ะ” ซางจือพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
“แล้วพวกเขาอยู่ที่ใด?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวพลางจะลุกขึ้นจากเตียง
เดิมทีนางไม่เป็นอันใด เพียงแต่ถูกคนตีจนสลบไปเท่านั้น ลำคอของนางมีอาการเจ็บเล็กน้อย นางคลำลำคอที่เจ็บของนาง พลางกล่าวอย่างไม่พอใจ “เป็นผู้ใดกันที่ตีข้าสลบ?”
ซางจือยิ้มแห้งๆ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอันใด
“หากเจ้าไม่พูด ข้าก็จะถามออกมาเอง เพียงแต่ ข้ารู้ว่าคนผู้นั้นต้องการช่วยข้า” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเสียงต่ำ “ข้าไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะดีเลว”
“แม่นางคิดเช่นนี้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” แก้มของซางจือขึ้นสีแดงระเรื่อ “พวกเขาบอกว่าเป็นสหายของพี่ใหญ่ของท่านเจ้าค่ะ”
“พวกเขา?” หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิด และก็เข้าใจในที่สุด นั่นคือคนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินทิ้งเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าพี่ชายบุญธรรมที่ได้มาอย่างไม่ตั้งใจในตอนแรก แม้จะจากไปนานขนาดนี้จนนางเกือบจะลืมเขาไปแล้ว แต่กลับยังมาช่วยชีวิตคนในครอบครัวของพวกเขา “ท่านพ่อและท่านแม่ข้าเป็นพวกเขาช่วยชีวิตไว้ใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณหนู” ซางจือพยักหน้าซ้ำๆ “ฟังจากที่พวกเขาบอก ดูเหมือนว่าก่อนที่แม่นางจะรีบกลับมา พวกเขาได้ยินข่าวก็รีบรุดมาช่วยคนในทันที ตอนนั้นเพลิงยังไม่ลุกไหม้หนักมากนัก พวกเขารีบเข้าไปช่วยนายท่านและฮูหยินก่อน ยังมีคุณชาย ท่านลุง ฮูหยินเฒ่าและคนอื่นๆ เจ้าค่ะ แต่เพราะไปช่วยแม่ครัวสองนางที่อยู่ในห้องครัวเป็นคนสุดท้าย ดังนั้นพวกนางจึงถูกไฟคลอกแล้ว เพราะท่านหมดสติไป พวกข้าจึงเรียกหมอท่านอื่นมาก่อน ท่านหมอกล่าวว่าไฟไหม้ค่อนข้างรุนแรง”
“ข้าจะไปดูพวกเขาสักหน่อย” หลิงมู่เอ๋อร์ลุกจากเตียงและสังเกตภายในห้องอย่างละเอียด ที่นี่น่าจะเป็นโรงเตี๊ยม
ซางจือพาหลิงมู่เอ๋อร์ไปที่ห้องด้านข้าง หยางซื่อและถังซื่อพักอยู่ที่นั่น และยังมีหลิงจื่ออวี้และหยางเสี่ยวหู่ที่พักกับพวกเขา หลิงจื่ออวี้และหยางเสี่ยวหู่เพิ่งกลับมาจากสำนึกศึกษา ไม่ได้ประสบเจอกับเหตุการณ์น่ากลัวนี้ แต่ว่าขณะที่พวกเขาอยู่ในสำนักศึกษาก็ได้ยินว่าเหลาอาหารสกุลหลิงถูกไฟไหม้ ดังนั้นพวกเขาจึงกังวลใจอยู่ตลอดเวลา
“ท่านยาย ท่านแม่” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นทั้งสองคน ก็รีบร้อนเดินเข้าไป “ท่านไม่ได้บาดเจ็บใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“มู่เอ๋อร์” เดิมทีหยางซื่อเป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอนางหนึ่ง ครั้นได้ประสบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ นางก็ไม่มีคนให้ยึดเหนี่ยวจิตใจ ตอนนี้ได้พบกับหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกหวั่นไหวในทันที
“มู่เอ๋อร์ พวกข้าไม่เป็นอันใด เจ้าอย่าได้กังวลใจ” ถังซื่อมีผ่านอะไรมามากมาย รู้ว่าควรที่จะปลอบประโลมอารมณ์ของหลิงมู่เอ๋อร์เสียก่อน ถึงอย่างไรพวกเขาก็รอดพ้นจากอันตรายแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้หลิงมู่เอ๋อร์ขวัญเสียตามพวกเขา แต่ว่าเมื่อสักครู่น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ถึงถังซื่อจะอายุอานามมากแล้ว ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายแบบนี้มามาก แต่สภาพจิตใจก็ไม่ค่อยจะดีนัก
หลิงมู่เอ๋อร์สังเกตเห็นอารมณ์ของถังซื่อ รีบนำยาหนึ่งเม็ดใส่เข้าในปากของนาง ยาเม็ดนั้นมีฤทธิ์สงบใจ ทำให้จิตใจของถังซื่อสงบลงได้
หลังจากถังซื่อกินยาลงไปก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาแล้วบ้าง นางหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าว “มีเพียงเด็กเช่นเจ้าเท่านั้นที่พกยาติดตัว”
“ข้าเป็นหมอนี่เจ้าคะ!” หลิงมู่เอ๋อร์จับมือของถังซื่อแล้วตรวจชีพจรให้นาง “เพียงแค่ตกใจเล็กน้อยเท่านั้น พักผ่อนสักสองสามวันก็หายดีแล้ว ช่วงสองสามวันนี้อย่าได้คิดมากนะเจ้าคะ”
“ตกลง หญิงชรายังต้องการมีชีวิตอยู่อีกหลายปี คอยเลี้ยงบุตรให้เจ้า จะยังไม่ตายเร็วๆ นี้” ถังซื่อยิ้มบางๆ พลางกล่าว
“ท่านยาย ท่านแม่ เพลิงไหม้ครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเจ้าคะ? ยามปกติทุกคนล้วนระมัดระวังดีมาก อีกอย่างเกิดเพลิงไหม้ตอนกลางวัน ทุกคนล้วนอยู่ในร้าน คงจะไม่อาจไหม้ได้ขนาดนี้กระมัง ตอนที่ข้ามาถึงที่นี่ เพลิงนั้นก็ไม่อาจควบคุมได้แล้ว ตอนนี้เหลาอาหารถูกไฟไหม้จนราบคาบแล้ว” เงินที่หามาได้จากเหลาอาหารสกุลหลิงนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งมอบให้นางเพื่อเก็บเอาไว้ ครึ่งหนึ่งให้หยางซื่อเก็บไว้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตั๋วเงินอีกครึ่งหนึ่งของหยางซื่อคาดว่าถูกไฟเผาไหม้จนหมดแล้ว
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หยางซื่อก็รู้สึกโมโห นางกล่าวอย่างจนใจว่า “ไฟเริ่มลุกลามมาจากในห้องครัว ตอนนั้นแม่ครัวสองนางอยู่ในห้องครัว พวกข้าทุกคนอยู่ที่เรือนด้านหน้าคอยดูแลลูกค้า จะว่าไปแล้วก็ประจวบเหมาะพอดี เวลานั้นมีรายการสั่งอาหารชุดใหญ่เข้ามา ข้ากับท่านแม่กำลังหารือเรื่องซื้อวัตถุดิบอยู่ ท่านพ่อและลุงของเจ้ากำลังดูแลคนผู้นั้น ส่วนคนอื่นๆ ต่างยุ่งอยู่กับงานของตนเอง คิดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ ไฟนั้นลุกลามไปเร็วมาก พวกข้ากันเหล่าลูกค้าให้ออกไปก่อน ถึงตอนที่พวกข้าอยากจะไปดับเพลิงก็ไม่อาจควบคุมเพลิงได้แล้ว ตอนแรกก็มีแค่พวกข้าเพียงไม่กี่คน พี่ใหญ่โจวและพี่รองโจวของเจ้าก็ไม่อยู่”
“ช่วงนี้พี่ใหญ่โจวพี่รองโจวไม่ค่อยอยู่ในบ้านใช่หรือไม่เจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม
“เจ้าสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกเขาหรือ? ไม่น่าจะใช่หรอกกระมัง! เด็กสองคนนั้นเป็นเด็กดี” หยางซื่อส่ายหัว
“ข้าไม่ได้บอกว่าพวกเขาทำเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์อดยิ้มไม่ได้ “ในเรื่องนี้ข้ายังเชื่อใจพวกเขาทั้งสองคน ความหมายของข้าคืออาจจะเป็นศัตรูของพวกเขาที่เป็นคนทำ”
“ช่วงนี้พวกเขาสองพี่น้องค่อนข้างเก็บตัว แทบจะไม่ออกทางประตูด้านหน้าเลย ถึงแม้จะออกไปทางประตูหลังก็จะปลอมตัวอย่างดี โดยทั่วไปแล้ว คงจะไม่มีผู้ใดจำพวกเขาได้” หยางซื่อคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ของทั้งสองคน “ไม่ว่าจะอย่างไร ทุกคนไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว สงสารก็แต่แม่เฒ่าสองคนนั้น พวกนางบาดเจ็บหนัก”
“ท่านแม่วางใจ ข้าจะรักษาพวกเขาให้หายเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าผู้ใดเป็นคนวางเพลิงกันแน่? ถ้าหากตรวจสอบยังไม่ได้ ข้าไม่อาจวางใจได้”
“ร้านของพวกเรา…การค้าดีถึงเพียงนั้น ร้านดีขนาดนั้น พริบตาเดียวก็ไม่มีแล้ว” ความปวดใจของถังซื่อและหลิงมู่เอ๋อร์นั้นแตกต่างกัน นางรู้สึกปวดใจคือร้านค้าที่เป็นแหล่งผลิตเงินทองได้ จากมุมมองของถังซื่อ ชีวิตของบุตรสาวและบุตรเขยกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในเวลานี้
“ซางจือ เจ้าเข้ามานี่” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับซางจือที่อยู่ด้านข้างสองสามประโยค หลังซางจือฟังแล้ว ก็พยักหน้ารับ
หลังจากซางจือไปแล้ว หยางซื่อถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เจ้าให้ซางจือทำสิ่งใดหรือ?”
“ข้าให้นางไปทำอาหารให้ทานเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ท่านยาย ท่านแม่ พวกท่านและพวกน้องๆ พักผ่อนสักหน่อยเถิด! ข้าจะไปดูแผลของแม่เฒ่าสองนางนั้นสักหน่อยเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ไปดูหลิงต้าจื้อและหยางต้าหนิวอีกครั้ง แขนของทั้งสองคนมีรอยแผลไฟไหม้เล็กน้อย แต่ว่าไม่ได้ร้ายแรง เพียงแค่ต้องล้างแผลสองครั้งก็ไม่เป็นอันใดแล้ว
บาดแผลของข้ารับใช้คนอื่นๆ มีทั้งใหญ่และเล็กต่างกัน มีเพียงแม่เฒ่าสองนางนั้นที่มีรอยแผลจากไฟไหม้เป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะเส้นผมและใบหน้าของพวกนาง รอยแผลเป็นบนใบหน้านั้นรุนแรงมาก แต่เดิมทีพวกนางก็ไม่ได้หน้าตาดีนัก บัดนี้ถูกไฟคลอกจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ถ้าออกมาเดินเพ่นพ่านกลางดึก คงดูเหมือนกับวิญญาณร้ายจริงๆ
“คุณหนู เป็นพวกข้าไม่ดีเองเจ้าค่ะ พวกข้ากำลังทำอาหารอยู่ ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ก็หลับไป” สตรีนางหนึ่งร่ำไห้พลางกล่าว
เชิงอรรถ
[1] เข้าประตูหลัง ( 走后门) หมายถึง ใช้เส้นสายวิธีการที่ไม่ถูกต้องเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์หรือเป้าหมายบางอย่าง