เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 81 โจมตี
เล่มที่ 3 บทที่ 81 โจมตี
นั่งอยู่บนรถม้า เห็นเพียงชายหนุ่มนั่งอยู่ในมุมของรถม้า หลิงมู่เอ๋อร์พลันขมวดคิ้ว
โจวฉี่เยี่ยนสวมชุดนักโทษ ศีรษะพิงอยู่กับมุมรถม้าไม่ยอมโผล่ออกมา นี่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ชายหนุ่มผู้สุขุมสงบเยือกเย็นผู้นั้นกลับกลายเป็นตกต่ำได้เช่นนี้
ตามร่างกายของเขามีบาดแผลอยู่หลายแห่ง ชุดนักโทษสีขาวถูกทุบตีจนขาดวิ่นหลุดลุ่ยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่มีร่องรอยของการเฆี่ยนตีจวนจะกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้ว บาดแผลเหล่านั้นที่ไม่ได้พันแผลเอาไว้ยังคงมีเลือดไหลอยู่ และบางแห่งถึงขนาดกับมีมดแมลงไต่ตอม สามารถจินตนาการได้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ในช่วงหลายวันนี้ของเขาจะเป็นอย่างไร
จากมุมของนางสามารถเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเขา หนวดเคราที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นปกปิดรูปลักษณ์ที่ดูดีของเขาไว้ นัยน์ตาของเขาหลุบลง ร่างกายเสื่อมโทรมลง
“คุณชายพวกเจ้าล่ะ?” หลิงมู่เอ๋อร์เปิดม่านออก และถามคนขับรถม้าที่นั่งอยู่ข้างนอก
คนขับรถม้ากล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ “แม่นางรีบนั่งให้ดี ข้าจะเพิ่มความเร็วแล้วขอรับ”
เมื่อนึกถึงคำถามของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาก็กล่าวเสริมอีกครั้งว่า “คุณชายกำลังทำเรื่องบางอย่างอยู่ ไม่อาจไปในตอนนี้ได้ เขาให้ข้าน้อยส่งพวกท่านกลับไปก่อน คุณชายกล่าวว่ารอเขาทำงานสำเร็จลุล่วงแล้ว ก็จะไปรับแม่นางที่จวนไปยังเมืองหลวง ช่วงระยะนี้ให้แม่นางจัดการธุระของท่านให้เรียบร้อยเสียก่อนขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าซูเช่อก็มีปัญหามากมายเช่นกัน เหตุการณ์วางยาที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ยังไม่ได้จัดการอย่างราบคาบ นอกจากนี้เขายังมาพร้อมกับภารกิจบางประการ
เมื่อได้รู้ถึงแผนของซูเช่อแล้ว นางก็ไม่เอื้อนเอ่ยอันใดอีก ปล่อยม่านลงและกลับเข้าไปในรถม้า นางค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังข้างกายของโจวฉี่เยี่ยน
นางค้นกล่องยาออกมา ค้นหากรรไกรจากข้างในนั้นและนำมาตัดชุดนักโทษบนกายของโจวฉี่เยี่ยน
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนท้าย โจวฉี่เยี่ยนก็ราวกับคนตายอย่างไรอย่างนั้น ไม่ขยับเขยื้อน ไม่ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะสัมผัสโดนบาดแผลของเขาหรือไม่ เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “เรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว คนตายแล้วมิอาจฟื้นคืนชีพได้ สภาพตอนนี้ของท่าน จะทำให้อาจารย์ของท่านสบายใจได้อย่างไร?”
ครั้นเอ่ยถึงเจ้าสำนักถัง ลมหายใจของโจวฉี่เยี่ยนก็หนักอึ้งขึ้นเล็กน้อย เขาบีบมือแน่นและกัดฟันจนเป็นเสียงดังกรอดๆ
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ท่านยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มีแต่จะทรมานตนเอง ท่านเจ็บปวดทุกข์ทรมาน แต่ศัตรูของท่านกลับมีความสุขอย่างมาก”
“ข้าต้องการแก้แค้น” โจวฉี่เยี่ยนที่ซึ่งไม่เอื้อนเอ่ยอันใดมาโดยตลอดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางกล่าว “ข้าต้องการแก้แค้น…ข้าจะต้องสังหารเขาให้ได้”
หลิงมู่เอ๋อร์เงียบ
คนที่เขาต้องการสังหารคือฮ่องเต้ ตอนนี้เป็นการปกครองโดยกษัตริย์ กษัตริย์ในสมัยโบราณคือเทพเจ้า และการที่เขาคิดจะโค่นเทพเจ้าผู้หนึ่งมันง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
แต่ว่า ตอนนี้เขากำลังได้รับการโจมตีอย่างหนักหน่วง จำเป็นต้องการใครสักคนมาปลอบโยน ถ้าหนึ่งความเชื่อมั่นจากนางจะสามารถจุดประกายความหวังในการมีชีวิตใหม่ต่อไปอีกครั้ง เช่นนั้นก็แก้แค้นเถิด!
“ได้ แก้แค้น” หลิงมู่เอ๋อร์กุมมือของโจวฉี่เยี่ยน ให้พลังที่จะยืนหยัดแก่เขา “ท่านสามารถทำได้”
โจวฉี่เยี่ยนช้อนดวงตาขึ้น ภายในนัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายเพลิงแห่งความแค้น ครั้นอยู่ต่อหน้ากับหลิงมู่เอ๋อร์ ประกายเพลิงที่ลุกโชนนั้นก็มอดดับลงไปในที่สุด
เขาตระกองกอดหลิงมู่เอ๋อร์เอาไว้แน่น กอดนางไว้ในอ้อมแขน ในเวลานี้ หลิงมู่เอ๋อร์เป็นเหมือนที่พึ่งสุดท้ายของเขา คำพูดที่เขากล่าวก็คือสิ่งที่ใจเขาเชื่อมั่น เขาบอกกับตนเองว่า เขาจะล้างแค้นให้คนในครอบครัวอย่างแน่นอน
บนกายของโจวฉี่เยี่ยนเต็มไปด้วยเลือด หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใคร่ชอบการสัมผัสอย่างใกล้ชิดเช่นนี้จากใจจริง บัดนี้บนกระโปรงของนางถูกคราบสกปรกเปื้อนเต็มไปหมด
“ข้าช่วยท่านพันแผลสักหน่อยก็แล้วกัน!” หลิงมู่เอ๋อร์ขยับตัว
“อย่าขยับ ให้ข้ากอดอีกสักหน่อย ขอร้องเจ้าล่ะ” โจวฉี่เยี่ยนในตอนนี้เปราะบางเป็นอย่างมาก
หลิงมู่เอ๋อร์ใจแข็งไม่พอ จึงได้แต่ปล่อยให้เขากอดเอาไว้อย่างนั้น พวกเขาค้างท่าทางนั้นไว้เป็นเวลานาน ร่างกายของหลิงมู่เอ๋อร์เริ่มแข็งทื่อแล้ว ในที่สุดโจวฉี่เยี่ยนก็ปล่อยนางเป็นอิสระ
หลิงมู่เอ๋อร์ขยับแขน เพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายลง ตอนนี้แขนของนางแข็งทื่อไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าอยากจะพันแผลให้เขา แต่ในเวลานี้ก็ไม่อาจทำได้
โจวฉี่เยี่ยนดูเหมือนจะไม่รู้สึกอันใดเลย เขายังคงตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง ปล่อยให้เลือดสีแดงสดบนกายไหลรินลงมาทีละหยดทีละหยด สีหน้าของเขาก็ซีดเซียวลงเรื่อยๆ และยังไม่ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเขาสักเสียง หรือว่าในสายตาของเขา ความเจ็บปวดของร่างกายยังเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดในใจเสียอีก ครั้นนึกถึงการตายของเจ้าสำนักถัง เขาก็อยากให้เป็นตนเองแทน
ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เจ้าสำนักถังก็จะยังมีชีวิตอยู่ การปรากฏตัวของเขามีแต่จะนำพามาซึ่งความตายมาให้เขา
โจวฉี่เยี่ยนเห็นร่างสิ้นลมหายใจของเจ้าสำนักถังด้วยตาของตนเอง บนลำคอของเขามีกระบี่เล่มหนึ่งเสียบอยู่ เลือดสีสดหลั่งไหลไปทั่วพื้น ในตอนนั้น เขาอยากจะเข้าไปเมืองหลวงและสังหารคนผู้นั้นจริงๆ แต่ว่าเขาไม่อาจทำอันใดได้เลย เขาเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากข้างนอก หลังจากนั้นก็มียอดฝีมือหลายสิบคนพุ่งเข้ามาต่อสู้กับเขา ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของเขาจะไม่ธรรมดา นั่นก็ยังไม่อาจเทียบเคียงได้กับกองกำลังองครักษ์เงาของฮ่องเต้ ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็ชัดเจนมาก เขาหนึ่งคนต่อสิบคนจึงตกไปอยู่ในมือของคนเหล่านั้น และถูกกำหนดโทษในข้อหาวางแผนลอบสังหารอาจารย์
เขาไม่เข้าใจว่า ถ้าต้องการจะสังหารเขาก็สามารถปลิดชีพเขาในที่เกิดเหตุได้ทันที เหตุใดยังต้องใช้วิธีอ้อมค้อมขนาดนี้? ถ้าหากลงมือปลิดชีพเขาในที่ตอนนั้น เขาก็คงไม่รอดแล้ว
โจวฉี่เยี่ยนรู้ว่าคนที่ช่วยเขาเป็นผู้ใด ในสถานที่แห่งนี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้ คนผู้นั้นบอกกับเขาว่า เหตุผลที่ช่วยเขาเป็นเพราะหลิงมู่เอ๋อร์
ไม่ง่ายเลยกว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะพันแผลให้โจวฉี่เยี่ยนเสร็จ นางเช็ดเหงื่อ พลางกล่าวกับคนขับรถม้าที่อยู่ข้างนอกว่า “คนขับรถม้า หาสถานที่เงียบหยุดรถม้าสักหน่อย”
คนขับรถม้าตอบรับ “ได้ขอรับ!”
หลังจากที่รถม้าหยุดลง หลิงมู่เอ๋อร์ก็โยนเสื้อผ้าสะอาดหนึ่งชุดใส่บนร่างของโจวฉี่เยี่ยน แล้วกล่าวว่า “บาดแผลบนกายได้ทำแผลเสร็จแล้ว บัดนี้ก็เปลี่ยนอาภรณ์ให้เรียบร้อย ถ้าหากกลับไปให้ท่านแม่ข้าเห็นสภาพเช่นนี้ของท่าน เกรงว่าจะไต่ถามอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นบัดนี้ท่านเหลือเพียงน้องชายของท่านผู้เดียวที่เป็นญาติพี่น้องแล้ว”
ความหมายก็คือ ท่านอาจจะไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเป็นห่วงหรือไม่ก็ได้ แต่คงไม่อยากให้น้องชายของตนเองเป็นห่วงหรอกกระมัง?
เปลือกตาของโจวฉี่เยี่ยนขยับวูบไหว แล้วรับเสื้อผ้ามา “ขอบคุณ”
“ชายชาตรี มีความทุกข์หรือความลำบากอันใดที่ทนไม่ได้กัน?” หลิงมู่เอ๋อร์ตบไหล่ของโจวฉี่เยี่ยน “ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน”
โจวฉี่เยี่ยนผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ในรถม้า หลิงมู่เอ๋อร์หาต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จากนั้นก็ทำการเปลี่ยนอาภรณ์อยู่หลังต้นไม้ใหญ่
หลังจากที่นางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เสร็จแล้ว ก็กลับไปยังหน้ารถม้า นางตั้งเตาก่อกองไฟที่ตำแหน่งนั้น จากนั้นจึงเริ่มลงมือย่างกระต่ายป่า
ครั้นคนขับรถม้าเห็นกระต่ายในมือของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล กระต่ายป่าตัวนั้นอวบอ้วน ดูแล้วน่าจะอร่อยยิ่ง
“แม่นางเก่งกาจจริงๆ กระต่ายป่าเหล่านี้ว่องไวมาก ไม่ใช่ว่าจะจับได้ง่ายๆ ขนาดนั้น” คนขับรถม้ากล่าวอย่างจริงใจพลางทอดถอนหายใจ
“ก็ไม่เท่าไร” หลิงมู่เอ๋อร์ชำเลืองมองไปที่รถม้าหนึ่งที “เจ้าไปดูว่าเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วหรือไม่ ถ้าเปลี่ยนเสร็จแล้ว ให้เขาลงมาเดินขยับเขยื้อนสักหน่อย”
พวกเขาต้องนั่งรถม้าเป็นเวลาหลายวัน รถม้าเทียบไม่ได้กับรถไฟและรถยนต์ในปัจจุบัน มันสั่นสะเทือนเกินไปแล้วจริงๆ ประกอบกับถนนหนทางในสมัยโบราณไม่ดีนัก ไม่เหมือนกับถนนในปัจจุบันที่เป็นพื้นเรียบ ด้วยเหตุนี้ การนั่งอยู่ในรถม้าหลายวันลำบากกว่านั่งรถไฟหรือรถยนต์หลายวันเสียอีก
ถ้าไม่ลงมาเดินขยับเขยื้อนร่างกาย เช่นนั้นก็มีแต่ต้องรอพักผ่อนตอนกลางคืนตอนที่พักค้างแรมเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บของเขาจะสามารถขยับเคลื่อนไหวได้หรือไม่
ครั้งนี้โจวฉี่เยี่ยนยังถือว่าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี คนขับรถม้าเรียกอยู่ด้านนอก โจวฉี่เยี่ยนที่เพิ่งเปลี่ยนชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเสร็จก็เดินออกมาพอดี
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่เขาหนึ่งที “ขนาดพอดีตัวมาก”
“ขอบคุณมาก” ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่นางทำเพื่อเขา นางคือดาวนำโชคของเขาจริงๆ สามารถพานพบนางในชีวิตนี้ ถือเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่ในทั้งชีวิตของเขา
โจวฉี่เยี่ยนไม่ใช่คนที่ชอบแสดงออก ไม่ว่าในใจของเขาจะซุกซ่อนความรู้สึกลึกซึ้งเอาไว้มากเพียงใด ก็ไม่อาจกล่าวมันออกมาได้
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นความซาบซึ้งใจในดวงตาของเขา แต่สำหรับอย่างอื่นนั้น นางมองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย
“ท่านพักผ่อนอยู่แถวๆ นี้สักหน่อยเถิด! ข้ากำลังจะย่างเสร็จแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์นำกระต่ายเสียบไว้บนท่อนไม้ จากนั้นก็ย่างพลิกไปพลิกมา นางพกเครื่องปรุงรสติดตัวมาด้วย ในขณะที่ผงโรยยี่หร่าลงไปด้านบน กลิ่นหอมกรุ่นก็ส่งกลิ่นโชยออกมา ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากอาหาร
โจวฉี่เยี่ยนถูกเฆี่ยนตีอย่างหนักมาหลายวัน ตอนนี้ทั่วทั้งร่างล้วนเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนหยัดที่จะเคลื่อนไหวร่างกายอย่างช้าๆ
ในตอนที่เขาถูกจับกุม อันที่จริงก็ได้เตรียมใจที่คิดว่าจะต้องตายไว้แล้ว ชั่วขณะนั้นเขามีความรู้สึกไม่ยินยอมที่จะต้องตายเป็นอย่างมาก ความตายไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือเขายังไม่ได้แก้แค้น
“สุกแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เป่ากระต่ายที่ย่างสุกแล้ว ฉีกแบ่งขากระต่ายหนึ่งข้าง
คนขับรถม้าที่อยู่ด้านข้างเข้าใจเป็นอย่างดี เขารีบนำใบบัวที่ตระเตรียมไว้พร้อมยื่นออกไป
หลิงมู่เอ๋อร์วางขากระต่ายไว้บนใบบัว พลางกล่าวกับโจวฉี่เยี่ยนว่า “ทานได้แล้ว”
โจวฉี่เยี่ยนเดินกลับมาที่ด้านข้างกายของนาง มองหาก้อนหินพร้อมนั่งลง เขารับขากระต่ายมา และวางไว้ระหว่างจมูกแล้วดมกลิ่นของมัน พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หอมมาก”
“แน่นอนอยู่แล้ว ท่านไม่เชื่อมั่นในฝีมือของข้าหรือ?” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้ม “ไม่ว่าจะมีเรื่องทุกข์ใจมากมายเพียงใด อาหารก็จำเป็นต้องทาน”
ถึงอย่างไรโจวฉี่เยี่ยนก็เป็นบุรุษร่างใหญ่ ในเมื่อตระหนักคิดได้แล้วก็จะไม่ทำท่าทีเหมือนหญิงสาวตัวเล็กๆ อีกต่อไป เพียงแต่ว่า ความคิดที่จะแก้แค้นได้หยั่งรากลึกลงไปในใจแล้ว
การกลับไปในคราวนี้ เขาไม่อาจคอยติดตามอยู่ข้างกายนางได้ตลอดเวลาอีกต่อไป เพราะเขาต้องการทำในเรื่องที่เขาได้คิดวางแผนเอาไว้แล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์เป็นคนฉลาด สิ่งที่โจวฉี่เยี่ยนจะทำอะไรต่อจากนี้ แม้ว่านางไม่ได้ถาม แต่ก็สามารถคาดเดาได้ นั่นเป็นทางที่เขาเลือก นางจะไม่เข้าไปก้าวก่าย สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ก็คือรักษาเขาเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บ ภายหลังถ้ามีส่วนที่ต้องการความช่วยเหลือจากนาง นางก็จะยื่นมือเข้าช่วย
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ค่อยอยากอาหาร ขากระต่ายสี่ขา โจวฉี่เยี่ยนทานเพียงหนึ่งขา นางทานสองขา คนขับรถม้าทานหนึ่งขา จากนั้นเนื้อส่วนอื่นๆ ล้วนถูกแบ่งให้กับคนขับรถม้าและโจวฉี่เยี่ยน หลังจากนางทานขากระต่ายไปสองขา ก็ได้กินผลไม้ไปอีกสองลูก และท้องของนางก็อิ่มแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นประตูเมืองที่คุ้นเคยแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์ลูบหน้าผากที่เจ็บของตน มองไปที่ชายหนุ่มที่กำลังเคลิ้มหลับอยู่ข้างๆ แล้วกล่าวกับคนขับรถม้าว่า “ตรงไปที่เหลาอาหารสกุลหลิง”
“ได้ขอรับ!” คนขับรถม้าตะโกนเสียงดัง
เหลาอาหารสกุลหลิง หยางซื่อและถังซื่อกำลังจะเตรียมตัวออกไปซื้ออาหาร ครั้นเห็นรถม้าหนึ่งคันหยุดลง ฝ่ามือเรียวยาวข้างหนึ่งแหวกเปิดม่านของรถม้าออก และก็มีคนผู้หนึ่งเดินลงมาจากในนั้น
“ไอ๊หยา มู่เอ๋อร์ของพวกเรากลับมาแล้ว” หยางซื่อกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ มู่เอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าเห็นแล้ว” สภาพจิตใจของถังซื่อดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ดวงตาของนางคล้ายกับตอนที่ยังเป็นสาว สามารถมองเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ได้อย่างชัดเจนแล้ว
ทันทีหลิงมู่เอ๋อร์ลงจากรถม้าก็พบกับหยางซื่อและถังซื่อ นางกางแขนออกแล้วกระโจนตัวเข้าไป “ท่านแม่ ท่านยาย ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ถังซื่ออายุมากแล้ว ไม่อาจทนรับแรงการกระโจนของนางได้ คนที่นางต้องการกระโจนตัวเข้าไปหาคือหยางซื่อ หยางซื่อชินกับท่าทางซุกซนราวกับลิงของนางมานานแล้ว ในช่วงที่ไม่ได้เห็นนาง ก็มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่างอยู่ในใจ รู้สึกไม่สบายใจตลอดทั้งวัน บัดนี้ได้พบคนที่คิดอยู่ตลอดเวลาแล้ว หยางซื่อก็ยิ้มจนปิดปากไม่ลง
“กลับมาก็ดีแล้ว” หยางซื่อดึงพวงแก้มของหลิงมู่เอ๋อร์ “เหตุใดถึงได้ผ่ายผอมเช่นนี้?”
“ท่านแม่ อาหารข้างนอกไม่อร่อยเลยเจ้าค่ะ ท่านจะต้องบำรุงให้ข้านะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์แสร้งกล่าวอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ได้ ได้” หยางซื่อรีบร้อนกล่าว