เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 78 สหายรู้ใจ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 3 บทที่ 78 สหายรู้ใจ
เล่มที่ 3 บทที่ 78 สหายรู้ใจ
ภายในห้อง จื่อถงมองซูเช่อที่มีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก
“คุณชาย แม่นางหลิงเป็นคนค่อนข้างดื้อรั้น ถ้านางปฏิเสธตั้งแต่แรกแล้ว แล้วอยากให้นางเปลี่ยนความคิด ย่อมนั้นเป็นเรื่องยากยิ่งแล้วขอรับขึ้นไปอีก”
“อืม” ซูเช่อมองออกไปนอกหน้าต่าง กล่าวเสียงนิ่งๆ ว่า “ข้ารู้”
“เช่นนั้น…ใช้ไม้อ่อนไม่ได้ ก็จำเป็นต้องใช้ไม้แข็ง พวกเราจับตัวนางมามัดแล้วเอาตัวไปเมืองหลวง” ดวงตาของจื่อถงฉายประกายสังหารออกมา
ซูเช่อขมวดคิ้ว “เจ้ายังไม่เข้าใจแม่นางหลิงผู้นั้นดีพอ ถ้าข้าทำเช่นนั้นจริงๆ นั้นก็เท่ากับว่าเป็นการล่วงเกินนางอย่างถึงที่สุดแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอ ในเมื่อสามารถช่วยคนได้ ก็สามารถสังหารคนได้เช่นกัน ข้าอยากจะให้นางรักษาอาการของท่านย่าด้วยความสมัครใจ มิใช่ใช้วิธีเช่นนี้มาบีบบังคับนาง การกระทำอย่างนั้นจะมีแต่จะได้ผลตรงข้ามกับที่คาดหวัง”
“เช่นนั้นคุณชายมีแต่ต้องค่อยๆ ให้เวลานาง แต่ว่าคุณชายมีเวลาขนาดนั้นหรือขอรับ?อย่าลืมว่าท่านมีภารกิจที่จะต้องทำอีกนะขอรับ” จื่อถงถอนหายใจ
ซูเช่อทอดมองถนนอันเจริญรุ่งเรืองสายนั้น นิ้วมือสัมผัสลูบไล้พัดที่ถืออยู่อย่างแผ่วเบา ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นมีความคิดอันลึกซึ้งอยู่ภายใน ทั้งยังเป็นแววตาที่ผู้คนอ่านไม่ออกอีกด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์กับซูเช่อพักอยู่ห้องติดกัน ทุกวันที่หลิงมู่เอ๋อร์ออกไปตรวจโรค ซูเช่อก็จะออกไปจัดการธุระเช่นเดียวกัน ในเวลากลางวันพวกเขาไม่ได้พบหน้ากัน มีเพียงตอนกลางคืนที่กลับมาพักผ่อนเท่านั้นที่บางครั้งก็จะพบกันที่ห้องโถงใหญ่บ้าง พวกเขาได้นั่งทานอาหารบนโต๊ะเดียวกันบ้าง มีพูดคุยกันไม่กี่ประโยคเป็นครั้งคราว และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะไปเมืองหลวงอีก ดูไปแล้วก็นับได้ว่าปรองดองกันยิ่งนัก
โจวฉี่เยี่ยนไม่ค่อยได้เอ่ยอันใด แทบจะเป็นซูเช่อและหลิงมู่เอ๋อร์ที่สนทนากันเสียมากกว่า โจวฉี่เยี่ยนก็เหมือนกับฉากประกอบพื้นหลังอย่างไรอย่างนั้น แต่ว่าฉากประกอบนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ
ร่างกายของเจ้าสำนักถังดีขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของโจวฉี่เยี่ยนเองก็ผ่อนคลายลงมากเช่นกัน แววตาที่มองหลิงมู่เอ๋อร์นั้นก็นุ่มนวลราวกับหยดน้ำ
เถ้าแก่เนี้ยมาหาซูเช่อเพื่อสนทนาด้วยอยู่บ่อยครั้ง หากลูกค้าเข้าพักในโรงเตี๊ยมมีอาการปวดหัวตัวร้อนอันใด เถ้าแก่เนี้ยก็จะออกหน้าเชิญหลิงมู่เอ๋อร์มาตรวจอาการ และนางก็ไม่เคยปฏิเสธ
เวลาแต่ละวันผ่านไปอย่างสงบสุข เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปสามสี่เดือนแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์และโจวฉี่เยี่ยนพักอยู่ที่เมืองเฟิ่งเป็นเวลานานมากแล้ว
“อีกไม่นานอากาศก็จะเย็นแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์มองพายุลมแรงด้านนอก “พวกเราต้องกลับไปแล้ว หากยังไม่กลับไปอีก เกรงว่าจะเดินทางลำบาก ข้าเองก็เริ่มคิดถึงคนในครอบครัวแล้วเช่นกัน”
“ร่างกายของท่านอาจารย์ฟื้นตัวได้ดียิ่ง เมื่อวานข้าแอบไปดูอาการของท่านอาจารย์มา ท่านอาจารย์ยังรั้งให้ข้าเล่นหมากรุกด้วยสักกระดาน” มุมปากของโจวฉี่เยี่ยนหยักกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย
“หาได้ยากจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของท่าน” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเบาๆ “สามารถทำให้ภูเขาน้ำแข็งยิ้มได้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาของข้านี้นับว่ามิได้เหนื่อยไปเปล่าๆ แล้ว”
แววตาของโจวฉี่เยี่ยนเปล่งประกาย สีหน้าที่มองหลิงมู่เอ๋อร์นั้นพลันเปลี่ยนเป็นมุ่งมั่นขึ้นมา
แม่นางน้อยที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เช่นนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นก้อนหินก็สามารถใจสั่นได้ แล้วยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ใช่ก้อนหิน เพียงแค่ไม่ชอบแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าก็เท่านั้น
หลิงมู่เอ๋อร์นวดที่ไหล่ “ในเมื่อท่านเห็นด้วย เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าก็จะไปพบคนไข้เหล่านั้นอีกสักครา แล้วค่อยแจ้งกับพวกเขาว่าข้าจะต้องไปแล้ว”
“คนไข้ในเมืองเฟิ่งต้องอาลัยอาวรณ์เจ้าเป็นแน่ มองดูทั้งใต้หล้านี้ไม่มีหมอคนใดที่รักษาให้คนจนโดยไม่คิดค่ารักษาเช่นเจ้าแล้ว” โจวฉี่เยี่ยนมองนางด้วยความเคารพเลื่อมใส
“ที่จริงแล้วในใต้หล้านี้ยังมีหมออีกหลายคนที่เป็นตัวแทนกล่าวถึงความทุกข์ยากของประชาชน” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าก็ไม่ได้เสียสละอุทิศตนเหมือนที่ท่านคิดอย่างนั้นหรอก”
“ไม่มีความเห็นแก่ตัวเลยแม้แต่น้อยนั่นก็ไม่ใช่หมอ แต่เป็นเทพเซียนแล้ว” ท่าทางของโจวฉี่เยี่ยนแสดงออกมาว่านั่นเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็น
วันรุ่งขึ้น โจวฉี่เยี่ยนไปกล่าวลาเจ้าสำนักถัง พวกเขาสังเกตการณ์อยู่นานและแน่ใจว่าไม่มีคนแอบจับตาดูพวกเขาในที่ลับ ถึงได้เข้าไปพบกับเจ้าสำนักถังเงียบๆ
ทุกครั้งที่โจวฉี่เยี่ยนไปนั้นก็มักจะปลอมตัวเป็นพ่อค้าขายผัก เขามักจะหอบฟืนและผักสดเข้าไปในสำนักศึกษา เพื่อเอาไปมอบให้กับเจ้าสำนักถัง การกระทำเช่นนี้สามารถปกปิดฐานะของตนเองได้ และเขาเองก็ต้องการที่จะมอบอาหารให้กับเจ้าสำนักถังจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ท่านอาจารย์ต้องออกไปซื้ออาหารที่ถนนเอง เจ้าสำนักถังอาศัยอยู่ตัวคนเดียวจึงทำให้เขาต้องดูแลตนเองเสมอ
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวลาพวกคนไข้ตามแผนที่นางคิดเอาไว้ ครั้นนางปลอบใจเหล่าคนไข้เสร็จ ตอนที่กลับไปเก็บสัมภาระในโรงเตี๊ยมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังออกมาจากด้านนอก คนที่เคาะประตูนั้นรีบร้อนเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
นางเปิดประตูออก เห็นจื่อถงที่ยืนอยู่ด้านนอก
“แม่นาง รีบไปช่วยคุณชายของข้าเร็วเข้าขอรับ” จื่อถงดึงแขนของหลิงมู่เอ๋อร์แล้วลากไปด้านนอกทันที
หลิงมู่เอ๋อร์สะบัดแขนของเขาออก มองไปที่ชายหนุ่มอย่างไม่พอใจ “จะมาเล่นลูกไม้อันใดอีก?”
“แม่นาง ไม่ได้เล่นลูกไม้ขอรับ เป็นนายน้อยของพวกข้าลำบากแล้วจริงๆ ท่านรีบไปช่วยเขาหน่อยเถิด” จื่อถงเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เชื่อตนเอง รู้ว่าเป็นเพราะช่วงนี้ไปวุ่นวายกับนางจนทำให้นางรำคาญแล้ว หญิงสาวจึงคิดว่าครั้งนี้พวกเขาจะมาเล่นลูกไม้อันใดอีก ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเสียใจกับการกระทำที่ผ่านมา
เสียงดังตุบดังขึ้น จื่อถงคุกเข่าอยู่บนพื้น โขกศีรษะให้กับหลิงมู่เอ๋อร์พลางกล่าว “แม่นาง คุณชายของพวกเราเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ ท่านอย่าได้ถือโทษโกรธเคือง รีบไปช่วยคุณชายของพวกข้าด้วยเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางของเขาที่ไม่ได้เสแสร้ง นางข่มอารมณ์ไม่พอใจแล้วตามเขาไป
จื่อถงเห็นเช่นนั้นก็ดีใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบพานางวิ่งออกไปทางด้านนอกทันที
ใช่แล้ว! วิ่ง
ท่าทางของจื่อถงรีบร้อนเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าเกิดเรื่องร้ายอันใดขึ้น
พวกเขาที่รีบร้อนวิ่งมาตลอดทาง ในที่สุดก็ได้มาถึงสถานที่ซึ่งเป็นหอนางโลมแห่งหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์หยุดฝีเท้าลง เลิกคิ้วมองไปทางจื่อถง
จื่อถงใบหน้าแดงก่ำ กระมิดกระเมี้ยนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยความแค้นเคือง “แม่นางอย่าได้คิดไปไกล เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด คุณชายของพวกข้าถูกผู้อื่นลอบกัดลับหลัง แม่นาง ท่านรีบเข้าช่วยคุณชายของพวกข้าด้วยเถิดขอรับ!”
“เขาเป็นอันใดกันแน่?” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้รีบร้อนเข้าไป ถึงอย่างไรนางกับซูเช่อก็ยังไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นนั้น สถานที่ประเภทนี้เป็นสถานที่ที่สตรีดีๆ อย่างนางสมควรจะมาหรือ?เหตุใดนางจะต้องเสี่ยงอันตรายเพียงเพื่อบุรุษคนหนึ่งที่ไม่มีความสำคัญกับนางด้วย?ดังนั้นก่อนที่เรื่องราวยังไม่ได้พูดให้กระจ่าง นางจะไม่เข้าไปแน่นอน
ครั้งนี้แม้ว่าจื่อถงจะโขกศีรษะกับพื้นจนหัวร้างข้างแตก นางก็จะไม่เปลี่ยนความคิดในใจอย่างแน่นอน
จื่อถงเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ใจแข็ง ก็ทำได้แต่ต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกมาอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว
ที่แท้องค์ชายเจ็ดในวังหนีการอภิเษก ซูเช่อได้ตามร่องรอยที่เขาทิ้งเอาไว้ก่อนจะพบเขาเข้าที่เมืองเฟิ่ง ช่วงระยะนี้ซูเช่อตามติดองค์ชายเจ็ดผู้นั้นเป็นเงาไม่ห่างกายเพราะอยากจับตามองเขาเอาไว้ ความหมายก็คือเพื่อไม่ให้เขาหนีไปที่อื่นอีก ทว่าไม่เคยคิดเลยว่า องค์ชายเจ็ดจะยื่นข้อเสนอหนึ่งมาให้แก่เขา หากซูเช่อยอมดื่มสุราเคล้านารีกับพระองค์สักครา พระองค์ก็จะยอมกลับไปกับเขา
ซูเช่อครุ่นคิดไปมา สุดท้ายแล้วก็ตอบตกลงไป องค์ชายเจ็ดองค์นี้เป็นคนปลิ้นปล้อนเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากเกิดว่าวันนี้พลาดท่าเสียเข้าก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรถึงจะพาเขากลับไปได้ ฝ่าบาททรงเร่งเร้ามานานมากแล้ว ซูเช่อไม่อาจล่าช้าได้อีกต่อไป ด้วยเพราะเหตุนี้ ขอเพียงแค่องค์ชายเจ็ดยินยอมที่จะกลับเมืองหลวงเพื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรส เรื่องอื่นๆ เขาล้วนสามารถอดทนได้
สุดท้ายครั้นถึงหอนางโลม องค์ชายเจ็ดก็ใช้หญิงนางโลมหลายคนมาเหนี่ยวรั้งซูเช่อเอาไว้ ส่วนตัวพระองค์เองก็พาสาวงามที่รู้พระทัยที่สุดไปดื่มสุราเคล้านารีอย่างสบายพระทัยในห้องส่วนพระองค์
เรื่องราวหลังจากนั้นคือปัญหาที่เกิดขึ้น ซูเช่อถูกสตรีนางหนึ่งวางยา คิดไม่ถึงว่าจะถูกหลอกให้ดื่มสุราปลุกความใคร่ซึ่งมีพิษที่รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
“ดังนั้นแล้ว เจ้าให้ข้ารีบร้อนมาที่นี่ ก็เพื่อให้ข้าถอนพิษให้แก่เขา?” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่จื่อถงด้วยรอยยิ้มบาง
ขอเพียงแค่จื่อถงกล้าเอ่ยคำว่าใช่ออกมาหนึ่งคำ กรงเล็บของหลิงมู่เอ๋อร์ก็จะบีบเข้าที่ลำคอของเขาทันที ให้ได้เขารู้ถึงความร้ายกาจของนาง
จื่อถงยิ้มเจื่อน “แม่นาง ข้าได้แต่ขอร้องท่านแล้ว ท่านรีบเข้าไปเถิดขอรับ!ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงเกียรติยศของคุณชายพวกข้าก็คงไม่เหลือแล้ว”
“พิษปลุกกำหนัดประเภทนี้ใช้ในการเกี้ยวพาระหว่างบุรุษและสตรี เพียงแค่คุณชายของพวกเจ้ากับหญิงนางโลมที่อยู่ในนั้นเริงวสันต์กันสักครา วันรุ่งขึ้นก็ไม่เป็นอันใดแล้ว เจ้ากระวนกระวายเกินเหตุ ให้ข้ารีบมาตั้งไกลเพื่อเรื่องแค่นี้น่ะหรือ?ข้าคิดว่าเกิดเรื่องคอขาดบาดตายขึ้นเสียอีก!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่พอใจ
“แม่นาง… ท่านไม่เข้าใจ คุณชายพวกข้าไม่ใช่คนง่ายดายถึงเพียงนั้น ท่านรีบเข้าไปเถิดขอรับ!” จื่อถงเห็นท่าทีที่ไม่เดือดไม่ร้อนของหลิงมู่เอ๋อร์ ในใจก็อดโกรธเคืองขึ้นมาไม่ได้ แต่ว่าตอนนี้เขาไม่กล้าล่วงเกินนางจึงทำได้เพียงกดข่มอารมณ์โกรธเคืองนั้นลงไป
หลิงมู่เอ๋อร์เย้าแหย่จื่อถงอยู่ครู่หนึ่ง รู้ว่าไม่อาจยืดเยื้อเวลาไปได้นานกว่านี้อีกแล้ว ในเมื่อซูเช่อไม่อยากเสียตัว นางก็จะออกหน้าช่วยเขาก็แล้วกัน!
“อุ๊ย หนุ่มน้อยกลับมาแล้ว!” แม่เล้าเห็นจื่อถงจึงแย้มรอยยิ้มสว่างไสวออกมา ทว่าในยามที่หันไปเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ รอยยิ้มบนใบหน้าพลันหยุดชะงักลงเล็กน้อย “หนุ่มน้อย เจ้าหมายความว่าอย่างไร?มาเดินหอนางโลมที่ใดจะพาสตรีมาด้วย?เจ้าคงไม่ได้ตั้งใจมาก่อความวุ่นวายใช่หรือไม่?”
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นแม่เล้าขวางทางอยู่ด้านหน้า จื่อถงก็ไม่รู้จะรับมือกับสตรีเช่นนี้อย่างไร นางขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าสามีของข้าอยู่ที่นี่ ถ้าส่งตัวเขาออกมาได้ ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปดีๆ มิเช่นนั้น ก็อย่ามากล่าวโทษว่าข้าไม่เกรงใจ”
แม่เล้าทำราวกับได้ยินเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ นางฉีกปากหัวเราะเสียงดัง “ช่างเป็นนังเด็กตัวเหม็นที่อวดดีเสียจริง มาตามหาบุรุษถึงที่ของข้านี่ เด็กๆ จับสตรีนางนี้ไว้ รูปร่างหน้าตาผิวพรรณอ่อนนุ่ม ถ้าหากเก็บไว้ปรนนิบัตินายท่านจะต้องขายได้ราคาดีมากแน่นอน”
จื่อถงคิดไม่ถึงว่าแม่เล้านางนี้จะรนหาที่ตายได้ถึงขนาดนี้ เขากล่าวด้วยใบหน้าดำคล้ำเครียดว่า “นี่เป็นฮูหยินของคุณชายพวกข้า เจ้าอย่าได้บังอาจแตะต้องนาง”
“ฮูหยินไม่ฮูหยินอันใด ข้าไม่รู้จัก” แม่เล้ายิ้มเย็นชาพลางกล่าว “ข้ารู้เพียงแต่ว่า สินค้าส่งมาถึงหน้าประตูแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ทำการค้าขาย”
หลิงมู่เอ๋อร์นับว่ามองออกแล้ว การที่แม่เล้านางนี้กล้ากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ หนึ่งคือยืนยันได้ว่านางต้องมีคนที่อยู่เบื้องหลัง และสองคือคนสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังแม่เล้านางนี้ต้องแข็งแกร่งมากเป็นแน่
เคยได้ยินมานานแล้วว่าในเมืองเฟิ่งเองก็มีผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่อยู่มากมาย ไม่รู้ว่าแม่เล้าผู้นี้เป็นคนของผู้ใด จึงไม่เกรงกลัวเพราะมีคนหนุนหลังเช่นนี้
ยังมีอีกหนึ่งข้อ นางไม่รู้ฐานะของซูเช่อ ถ้าหากรู้แล้วก็คงไม่กำเริบเสิบสานเช่นนี้
ซูเช่อออกไปทำธุระ แต่งตัวเหมือนกับคุณชายผู้ร่ำรวยมั่งคั่งธรรมดา เครื่องแต่งกายที่โอ้อวดฐานยามที่ได้พบครั้งที่แล้วนั้น ครานี้เขามิได้สวมใส่ ดังนั้นแม้แต่แม่เล้าเองก็ย่อมมองข้ามเขาไป ไม่เก็บไว้ในสายตา
แต่ว่า นี่กลับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แม่เล้าไม่ได้หาเรื่องพวกเขา แล้วนางจะถือโอกาสใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้อย่างไร?ถือโอกาสสุมไฟนี้ ทำให้ไฟนั้นเผาไหม้ตัวแม่เล้ากลับไปเอง
หอนางโลมสถานที่แบบนี้เป็นสถานที่สกปรกมาแต่ไหนแต่ไร ไม่รู้ว่าที่นี่ได้ทำร้ายผู้คนไปเท่าใดแล้ว สายตาของแม่เล้านางนี้มีความชั่วร้าย จะต้องมิใช่คนดีอันใดแน่นอน
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ ” หลิงมู่เอ๋อร์หยิบขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ นางเปิดขวดยานั้นออกก่อนจะสาดมันไปทางแม่เล้านางนั้นทันที
แม่เล้าเตรียมรับมือกับหลิงมู่เอ๋อร์อยู่นานแล้ว ครั้นเห็นนางหยิบสิ่งของออกมา ยังนึกว่าเป็นอาวุธลับอันใด ด้วยเหตุนี้นางจึงใช้สิ่งของมาบังเอาไว้ ทว่าผงสีขาวที่สาดเข้ามากลับมีส่วนเหลือรอดติดอยู่บนกายนาง ถึงขนาดยังลอยอยู่ในอากาศตรงหน้านางอีกไม่น้อย ไม่นานแม่เล้านางนั้นก็พบว่ามีบางสิ่งผิดปกติ นางชี้นิ้วไปที่หลิงมู่เอ๋อร์พร้อมกายที่สั่นเทา ทว่ากลับเอ่ยอันใดไม่ออก
ตุบ!แม่เล้าล้มลงไปบนพื้นลุกขึ้นมาไม่ได้
ในช่วงเวลานี้เอง เหล่าลูกสมุนของแม่เล้าพลันวิ่งออกมา พวกมันมีจำนวนหลายสิบคน บุกเข้ามาในเวลาเดียวกัน ก่อนจะปิดล้อมพวกเขาเอาไว้
“รนหาที่ตาย” เหล่าลูกสมุนเห็นแม่เล้าที่นอนอยู่บนพื้นก็ไม่จำเป็นต้องมีคนสั่งการอีก พวกเขาชิงบุกเข้าหาหลิงมู่เอ๋อร์และจื่อถงก่อนทันที
จื่อถงรับมือกับพวกลูกสมุนเหล่านั้น พลางกล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ว่า “แม่นาง ท่านรีบไปหาคุณชายของพวกข้าก่อนเถิด ข้ากลัวว่าเขาจะทนไม่ไหวแล้วทำเรื่องผิดพลาดขึ้น!”
ครั้นหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินก็หลุดเสียงหัวเราะออกมา
ครั้นนึกถึงซูเช่อผู้ซึ่งควบคุมตนเองได้อย่างดีมาโดยตลอดนั้นกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของหญิงสาวในหอนางโลม เหตุใดนางกลับถึงมีความรู้สึกดีใจในความโชคร้ายของผู้อื่นกันนะ?แน่นอนว่า การที่ได้เห็นหน้ากากใบนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ นับเป็นเรื่องที่นางโปรดปรานยิ่งนัก แต่ว่า เพื่อรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของคุณชายผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นเอาไว้ นางจะต้องรีบไปช่วยคนเสียก่อน!
หลิงมู่เอ๋อร์กระโดดข้ามเหล่าฝูงชนไป จนในที่สุดก็มาถึงชั้นสองของโรงเตี๊ยม แต่ว่าชั้นสองนั้นมีห้องอยู่มากมาย แล้วซูเช่อจะอยู่ที่ใดกันล่ะ?นางไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้เพียงตะโกนเรียกชื่อของซูเช่ออยู่ด้านนอก แต่ว่าเรียกอยู่หลายครั้งก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากซูเช่อ นางอดคิดไม่ได้ว่า หรือว่าเขาจะหมดสติไปแล้ว?หรือบางทีสตรีนางนั้นจะทำสำเร็จไปแล้ว?