เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 73 ลอบสังหาร
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 3 บทที่ 73 ลอบสังหาร
เล่มที่ 3 บทที่ 73 ลอบสังหาร
เทศกาลร้อยบุปผาเป็นเทศกาลที่มีชื่อเสียงของท้องถิ่น โรงหมอและเหลาอาหารต่างก็แขวนป้ายปิดทำการ หลิงมู่เอ๋อร์และครอบครัวพากันไปไหว้พระจุดธูปบูชา
ชาวบ้านที่นี่ล้วนนิยมจุดธูปบูชาในเทศกาลร้อยบุปผา ในขณะเดียวกันบนถนนที่มุ่งหน้าไปสู่วัดก็เรียงรายเต็มไปด้วยบุปผานานาพันธุ์ ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของเทศกาลร้อยบุปผานั่นเอง
หยางซื่อไม่ได้เดินตลาดกับหลิงมู่เอ๋อร์นานแล้ว เป็นเรื่องยากที่ทุกคนในครอบครัวจะได้พักผ่อนพร้อมกันในวันนี้ หยางซื่อและหลิงมู่เอ๋อร์ประคองถังซื่อ ช่วยกันดูแลไม่ห่างกาย จนทำเอาถังซื่อยิ้มจนมิอาจปิดปากลงได้
“ท่านแม่…” ท่ามกลางกลุ่มคน ฟางซื่อดึงหวังซื่อที่มีสีหน้าดุร้ายไว้
หวังซื่อมองไปที่หยางซื่อและหลิงมู่เอ๋อร์อย่างชั่วร้าย ครั้นนางเห็นว่าบนกายของถังซื่อสวมใส่ผ้าแพรชั้นดี อีกทั้งบนศีรษะยังสวมใส่เครื่องประดับทองคำ ในใจจึงรู้สึกเคียดแค้นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตามความคิดของนางแล้ว หลิงต้าจื้อเป็นนางที่ให้กำเนิด อีกทั้งนางยังเป็นย่าของหลิงมู่เอ๋อร์ เป็นแม่สามีของหยางซื่อ เครื่องประดับทองคำและผ้าแพรเหล่านั้นสมควรที่จะมอบให้นาง ทว่าผลลัพธ์ล่ะ? คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะส่งนางเข้าคุกเพียงเพราะอาหารหนึ่งมื้อ
ยังมีนังหญิงสารเลวหลานซื่อผู้นั้นอีก อย่าคิดว่าเพราะนางทำให้ตนเองออกจากคุกได้แล้วจะหมดเรื่อง หญิงสารเลวผู้นั้นกล้าดีอย่างไรถึงหย่ากับบุตรชายของนาง นางเป็นเพียงสตรีมั่วโลกีย์นางหนึ่ง ยังกล้ามีความคิดเป็นอื่นอีก ตอนนี้สตรีนางนั้นหนีไปจากบุตรชายของนางแล้วทั้งยังมีชีวิตที่ดีขนาดนี้ ดูจากผิวที่ละเอียดเนียนนุ่มของนางก็ได้ นั่นงดงามกว่าตอนที่นางยังอายุน้อยเสียอีก นี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเองมิใช่หรือ? นี่ไม่ได้เป็นการยืนยันแล้วหรือว่าชีวิตของพวกเขา ยามที่อาศัยอยู่ในบ้านสกุลหลิงนั้นดีมากเพียงใด? ตอนนี้คนในหมู่บ้านด่าทอและนินทาลับหลังครอบครัวของพวกเขาจนคนในครอบครัวของพวกเขาล้วนไม่กล้าที่จะออกจากบ้าน
“วันนี้คนพลุกพล่าน” หวังซื่อยกยิ้มอย่างชั่วร้าย “หากเบียดเสียดกันไปมา จะต้องมีพลัดหลงจากกันเป็นแน่! ภรรยาของญาติผู้พี่เจ้ามิใช่ว่าสิ้นใจไปได้สองปีแล้วหรือ? ”
ฟางซื่อตัวสั่นระริก นางกำลังคิดว่า หญิงชรานางนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือนางค้นพบอันใดหรือไม่? เป็นไปไม่ได้! ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เรื่องของนางและญาติผู้พี่
“ท่านแม่ ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?” ในใจของฟางซื่อลุกลี้ลุกลน แต่แสร้งทำเป็นสงบนิ่ง
หวังซื่อด่าทอว่าโง่เขลาด้วยเสียงต่ำ จากนั้นก็เอ่ยที่ข้างใบหูของฟางซื่อหนึ่งรอบ เมื่อฟางซื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาก็ฉายประกายออกมา
ที่แท้หญิงชรานางนี้ต้องการให้ญาติผู้พี่ของนางทำให้หลานซื่อด่างพร้อย! แต่ว่า ญาติผู้พี่เป็นของนางนะ! นางไม่ยอมให้เขาแตะต้องสตรีอื่นแน่ ฟางซื่อเกิดความรู้สึกอิจฉาอยู่ในใจ
ไหนเลยหวังซื่อจะล่วงรู้ความในใจของฟางซื่อ? ในตอนนี้นางเพียงแค่ไม่อาจทนเห็นครอบครัวนั้นมีชีวิตที่ดีได้ ยิ่งพวกเขาทุกข์ทรมานมากเท่าไร นางยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
“ท่านแม่ ไม่จำเป็นต้องให้พวกเราลงมือ ก็จะต้องมีคนจัดการพวกเขาแน่เจ้าค่ะ ท่านดูพวกคนอันธพาลตรงนั้นสิเจ้าคะ พวกมันหมายตาไว้ตั้งนานแล้ว” ฟางซื่อทำปากยื่นไปยังสถานที่หนึ่งไม่ไกลออกไปมากนัก เห็นเพียงแต่ชายฉกรรจ์ที่เกียจคร้านปล่อยชีวิตให้ผ่านไปวันๆ สองสามคนอยู่ที่นั่น และพวกเขามองไปที่หลานซื่อ สีหน้าท่าทางในดวงตานั้นช่างให้รู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก
หวังซื่อพ่นหัวเราะเยาะเย็นชาฮึๆ
“ท่านแม่…” ฟางซื่อรู้สึกว่าสีหน้าของหวังซื่อนั้นน่าขนลุกขนชันเกินไปแล้ว “พวกเราไปไหว้พระกันเถิดเจ้าค่ะ! ท้องของไฉ่เวย…”
“เฮ้อ! ” เมื่อเอ่ยถึงบุตรสาวอันเป็นที่รัก หวังซื่อก็มีท่าทางโศกเศร้า ครรภ์ของหลิงไฉ่เวยไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ แต่นางเด็กคนนั้นยืนกรานว่าไม่ยอมให้แตะต้องท้องของนาง นางกล่าวว่าจะต้องการหาโอกาสโยนความผิดเรื่องนี้ให้หลิงหูเตี๋ย เพื่อให้ทุกคนคิดว่าหลิงหูเตี๋ยเป็นคนฆ่าเด็กในท้องของนาง
หวังซื่อเป็นคนมีประสบการณ์มาก่อน นางรู้ว่าการกระทำเช่นนั้นไม่ดีต่อสุขภาพของหลิงไฉ่เวย ทารกตายในครรภ์จำเป็นจะต้องนำออกมาให้เร็วที่สุด มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะเป็นเรื่องที่สุดจะคาดคิด
สถานที่ไม่ไกลนัก หลิงมู่เอ๋อร์ไปจุดธูปบูชาพร้อมกับหยางซื่อและถังซื่อ วันนี้มีผู้คนมากมายล้นหลาม เด็กหลายคนไม่ได้ออกจากบ้านและข้ารับใช้ในบ้านก็อยู่ที่เรือนคอยดูแลเด็กๆ
ถึงอย่างไรแล้วสถานที่เช่นนี้วุ่นวายเกินไปและง่ายที่จะเกิดการลักพาตัวเด็กมาก หากมีคนฉวยโอกาสในตอนที่ชุลมุน พวกเขาย่อมไม่อาจดูแลเด็กสองสามคนได้
พวกเขาจุดธูปถวายเครื่องหอมแล้วเดินเล่นอยู่ครู่หนึ่ง เลือกซื้อของเล่นกันเล็กน้อย
“เจ้านี่นะ ตามใจเด็กพวกนี้จนเสียคนแล้ว” ครั้นหยางซื่อเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ซื้อของมามากมายก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา “ภายภาคหน้าเจ้าเป็นมารดาคนแล้ว จะไม่ตามใจลูกของเจ้าเอามากๆ หรือ? เด็กสามารถรักทะนุถนอนได้ แต่ไม่อาจตามใจจนเสียนิสัย หากตามใจจนนิสัยเสียแล้ว ภายหลังคิดที่จะหยุดนิสัยของเขาย่อมมิใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก”
“แม่เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง เจ้าหาเงินได้ แต่อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับเด็กเหล่านี้ ต่อไปพวกเขาจะรู้สึกว่านี่คือเรื่องที่สมควรจะเป็น” ถังซื่อกล่าวชี้แนะ
หลิงมู่เอ๋อร์ฟังบทสนทนาของพวกนางด้วยรอยยิ้มตาหยี นางกล่าวกับหยางซื่อและถังซื่อว่า “ท่านยาย ท่านแม่ พวกท่านวางใจได้เลย เด็กๆ ในครอบครัวของพวกเราไร้เดียงสา ไม่ใช่คนที่ถูกตามใจจนนิสัยเสียแบบนั้นแน่เจ้าค่ะ”
“ถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้” ถังซื่อจิ้มที่หน้าผากของนาง “นั่นก็มิใช่ว่าต้องการสิ่งใดก็ให้สิ่งนั้น เจ้าคิดว่าตนเองเปิดบ่อทองคำหรือ?”
“เจ้าค่ะ ท่านยายสั่งสอนได้ถูกต้อง” แน่นอนว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะไม่โต้เถียงกับคนชราเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าบางคำถามก็ไม่ต้องการคำตอบ “ใช่แล้ว ท่านน้าหลานล่ะเจ้าคะ?”
ตั้งแต่หลานซื่อหย่ากับหลิงหลิน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่เรียกนางว่าท่านอาสะใภ้เล็กอีกต่อไป นางต้องการให้หลานซื่อมีชีวิตใหม่ ดังนั้นจึงไม่เอ่ยถึงอดีตอันน่าอัปยศที่ผ่านมาของนาง นางยอมปฏิบัติต่อหลานซื่อเหมือนหญิงธรรมดาทั่วไป แต่ว่า ถึงอย่างไรเฉิงเอ๋อร์ก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพวกเขา เขายังคงเป็นญาติผู้น้องของนาง
“เมื่อครู่ยังอยู่ที่นี่อยู่เลย! ” หยางซื่อมองไปรอบๆ “คนมากเกินไป ดูเหมือนว่าพลัดหลงกันแล้ว”
“พวกเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ! อีกประเดี๋ยวคนจะยิ่งมากขึ้น คิดจะเบียดออกไปย่อมยากแล้ว พวกเราถือโอกาสในตอนนี้ที่คนยังไม่มากเกินไปลงเขากันก่อน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
“ตกลง ฟังความเจ้า” หยางซื่อประคองถังซื่ออย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ ระวังเจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์มองผู้คนที่เบียดเสียดกันเข้ามาเหล่านั้น และพยายามดันพวกเขาออกไป อย่างไรก็ตามคนมีจำนวนมากเกินไป ไม่ใช่ว่าทุกคนจะให้ความร่วมมือกับหลิงมู่เอ๋อร์
ในเวลานี้ เงาร่างสูงใหญ่เงาหนึ่งก็มายืนปรากฏอยู่ตรงหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ ชายผู้นั้นมองคนรอบข้างด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่าน สามารถหลีกทางสักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ? ตรงนี้มีคนชราและยังมีแม่นางน้อยอีก ถ้าหากถูกชนจนหกล้มแล้วจะบาดเจ็บเอาได้”
ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาของซูเซ่อปรากฏขึ้น แม่นางน้อยรอบๆ ข้างก็มองมาที่เขาอย่างลุ่มหลง พวกนางหลบออกไปด้านข้างตามสัญชาตญาณ หลีกทางให้หลิงมู่เอ๋อร์และคนอื่นๆ
นอกจากแม่นางน้อยแล้ว ยังมีหญิงออกเรือนเหล่านั้นอีกด้วย ตั้งแต่อายุไม่กี่ปีไปจนถึงหลายสิบปี ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนชื่นชอบเขา แม้กระทั่งชายหนุ่มบางคนยังเผยสีหน้าลุ่มหลงออกมาด้วยซ้ำ
หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าซูเช่อหน้าตาดี เพียงแต่ไม่เคยรู้ว่าใบหน้านั้นจะมีอิทธิพลมากขนาดนี้ นางแบะปาก กำลังคิดว่าคุณชายผู้สูงศักดิ์เหล่านี้น่าสนใจเสียจริง
เมื่อพวกเขาออกมาจากกลุ่มฝูงชนและกลับเข้าสู่ถนนสายหลักได้แล้ว คนในละแวกใกล้เคียงนี้ก็ลดน้อยลงในที่สุด หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างว่า “ขอบคุณมาก”
ซูเช่อยิ้มบางๆ “แม่นางเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าเพียงแค่อยากตอบแทนบุญคุณด้วยวิธีของตนเองเท่านั้น เมื่อแม่นางกล่าวคำขอบคุณ ความพยายามเมื่อครู่ของข้านั้นก็เท่ากับไร้ประโยชน์แล้ว ดูเหมือนว่าจะต้องคิดวิธีตอบแทนบุญคุณใหม่”
หลิงมู่เอ๋อร์แบะปาก “ข้าไม่เคยคิดที่จะอยากได้อันใดจากตัวเจ้า หมอย่อมมีจิตใจเมตตา ข้าแค่ทำในสิ่งที่ตนเองสมควรทำ เจ้าไม่ต้องคิดที่จะตอบแทนบุญคุณแล้ว”
“เช่นนั้นไม่ได้ คนแซ่ซูไม่เคยมีความคิดที่จะติดค้างผู้อื่น” ซู่เช่อกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ตามใจเจ้าเถิด” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเสียงราบเรียบ “คุณชายซู พวกข้าขอตัวลาก่อน เจ้าเดินเล่นต่อเถิด!”
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์ออกห่างจากซูเช่อ หยางซื่อและถังซื่อที่อยู่ข้างๆ ก็มองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาไม่พูดอันใด เพียงแค่ใช้ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองมาที่นาง
หลิงมู่เอ๋อร์ถูกจ้องด้วยสายตาทั้งสองคู่พร้อมกัน ก็กล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “พวกท่านต้องการกล่าวอันใดเจ้าคะ?”
“มู่เอ๋อร์ คุณชายท่านนั้นมาทานอาหารที่ร้านของพวกเราบ่อยๆ ทุกครั้งเวลาที่เขามา การค้าของร้านพวกเราก็จะดีมากเป็นพิเศษ เหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่หนานกงอยู่ที่นี่” หยางซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มตาหยี “ที่แท้เขาเป็นคนไข้ของเจ้านี่เอง! เหตุใดถึงไม่ได้ยินเจ้าพูดมาก่อน?”
“ท่านแม่ ข้าพบเจอกับคนไข้มากมายในแต่ละวัน ถ้าหากจะกล่าวถึงทีละคนๆ ไหนเลยจะกล่าวได้หมดเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มตาหยี
“เจ้าเด็กคนนี้…” หยางซื่อกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าฉลาดถึงเพียงนี้ น่าจะเข้าใจความหมายของแม่”
“ข้ารู้ว่าท่านต้องการให้ข้าแต่งออกไป” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หยางซื่ออย่างเศร้าเสียใจ “แต่ว่าท่านดูรูปลักษณ์หล่อเหลาดึงดูดสายตาผู้คนของเขาสิเจ้าคะ นั่นเป็นคนที่ข้าจะอาจเอื้อมได้หรือ? อย่าได้กล่าวถึงฐานะของเขาเลย กล่าวเพียงว่าเขามีรูปโฉมเช่นนี้ แค่ออกไปจากประตูบ้าน สตรีนับไม่ถ้วนก็ยอมอิงแอบแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว ถ้าหากข้าเลือกบุรุษแบบนี้ เช่นนั้นจะไม่เหนื่อยตายหรือเจ้าคะ?”
ครั้นหยางซื่อได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าของก็จางหายไป นางกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “เจ้าพูดถูก ไม่อาจแต่งกับบุรุษรูปงามเกินไปได้ ยังเป็นเจ้าที่เฉลียวฉลาด”
ถังซื่อตบหลังมือของหยางซื่อ “มู่เอ๋อร์ฉลาดและมีความคิดเป็นของตนเอง เจ้าปล่อยให้นางตัดสินใจเองเถิด อย่าได้ช่วยนางตัดสินใจตามอำเภอใจเลย”
“เจ้าค่ะ” หยางซื่อหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ข้ากังวลมากเกินไปแล้วจริงๆ ”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดคุยกับหยางซื่อถังซื่ออีกเล็กน้อย ครั้นตอนที่นางเห็นเงาร่างที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ สองสามคนในกลุ่มฝูงชน ในใจพลันมืดครึ้มลง
คนเหล่านั้นสวมเสื้อผ้าของชาวบ้านคนธรรมดา แต่ว่าแต่ละคนต่างมีรูปร่างสูงใหญ่ นัยน์ตาแฝงไปด้วยความดุร้าย และฝีเท้าที่เบา ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
หรือว่าจะเป็นคนที่มาทำร้ายซูเช่อ?
ซูเช่อยังคงอยู่บนภูเขา นางควรจะบอกกล่าวแก่เขาหรือไม่?
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าคนเหล่านั้นรีบวิ่งไปทางภูเขา นางก็ไม่มีเวลาที่จะลังเลและตัดสินใจแล้ว
“ท่านยาย ท่านแม่ พวกท่านกลับไปก่อนนะเจ้าคะ! ข้าจำได้ว่ายังมีสิ่งที่ไม่ได้ทำ ข้าจะไปแล้วรีบกลับเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับถังซื่อและหยางซื่อจบก็หมุนกายเบียดเข้าไปในกลุ่มฝูงชนทันที
“เด็กคนนี้…” หยางซื่อมองหลิงมู่เอ๋อร์ที่จากไปอย่างจนใจ “เมื่อครู่ยังจะกล่าวว่าไม่สนใจ! หรือว่าจริงๆ แล้วเด็กคนนี้เกิดความคิดที่จะเปลี่ยนใจขึ้นมากัน?”
แม่นางน้อยตระกูลใดจะไม่ชื่นชอบหนุ่มรูปงาม? ซูเช่อมีรูปโฉมเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงแม่นางน้อยที่ยังไม่ได้ออกเรือนเลย คนที่ออกเรือนแล้วพอได้เห็นล้วนใจเต้นทั้งสิ้น
“ลูกหลานต่างก็มีวาสนาของตนเอง เจ้าสนใจเรื่องของตนเองให้ดีเถิด อย่าได้ไปสนใจเรื่องของเด็กสาวคนนั้นเลย นางน่ะ มีความคิดเป็นของตนเอง” ถังซื่อตบๆ ไปที่มือของบุตรสาว
“จากที่นี่กลับถึงเรือนก็ไม่ไกลมากนัก พวกเราค่อยๆ เดินกลับกันเถิดเจ้าค่ะ! ” หยางซื่อคิดได้แล้ว สนใจแค่เรื่องที่จะอยู่ถังซื่อเท่านั้น ไม่แบ่งใจไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
เดิมทีนิสัยของหยางซื่อก็อ่อนแออยู่แล้ว เมื่อสามีอยู่ที่บ้าน สามีคือสวรรค์ของนาง ตอนนี้บุตรชายบุตรสาวเติบใหญ่แล้ว ลูกๆ ก็คือสวรรค์ของนาง นางมิใช่สตรีประเภทที่ชอบเผด็จการ ตอนนี้นอกจากเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของบุตรสาว เรื่องอื่นนั้นก็ไม่มีอันใดให้สนใจอีกแล้ว ดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของถังซื่อ หยางซื่อก็เริ่มปล่อยวาง
อย่างไรเสียหลิงมู่เอ๋อร์ก็อยู่คนเดียว ไม่มีท่านแม่กับท่านยายคอยถ่วงรั้ง นางจึงรีบข้ามขึ้นเขาด้วยความรวดเร็ว นำหน้าชายน่าสงสัยเหล่านั้นไปก่อน
ซูเช่อเป็นคนที่มีประกายโดดเด่นในตนเอง ขอเพียงแค่เขายังอยู่บนภูเขาก็จะหาเขาพบได้ในไม่ช้า หากเขายังอยู่ที่ใด ที่แห่งนั้นก็จะมีบรรยากาศที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นเสมอ
อย่างเช่นในเวลานี้ คุณหนูบุตรีของคนร่ำรวยผู้งดงามกำลังยืนอยู่ตรงหน้าของซูเช่อ ในมือถือดอกไม้หนึ่งช่อ มองไปที่เขาอย่างเขินอายและประหม่า
ซูเช่อแย้มรอยยิ้มบางยืนอยู่ที่นั่น ฟังสิ่งที่คุณหนูนางนั้นกล่าวนิ่งๆ ทว่าเมื่อมองอย่างละเอียดก็จะพบว่ารอยยิ้มของเขานั้นเสแสร้งเหลือเกิน
หลิงมู่เอ๋อร์อดที่จะคิดไม่ได้ว่าสตรีเหล่านี้มองไม่เห็นความเฉยชาในดวงตาของเขาเลยหรือ? แน่นอนว่า ความไม่รู้ก็เป็นความโชคดีอย่างหนึ่งเช่นกัน