เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 70 ผู้ช่วย
เล่มที่ 3 บทที่ 70 ผู้ช่วย
กลับเข้าประเด็นเดิม หลิงมู่เอ๋อร์มองชายที่อยู่ตรงหน้าและเลิกคิ้วอย่างสงสัย “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
โจวฉี่เยี่ยนมองสำรวจที่นี่เสร็จแล้วจึงหันกลับมามองนาง “ตอนนี้พี่ชายของเจ้าจัดการเรื่องราวได้ดีนัก ถึงแม้จะไม่มีข้า เขาก็รับมือได้คนเดียวสบายๆ แล้วอีกอย่างยังมีน้องชายฉี่รุ่ยคอยช่วยดูอยู่ เรื่องภายในร้านก็ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้า ข้าได้หารือร่วมกับทุกคนแล้ว คิดว่าเรื่องโรงหมอจะมีแค่เจ้าที่คอยจัดการทั้งเรื่องภายในและภายนอก ดังนั้นจึงตัดสินใจให้ข้ามาเป็นผู้ช่วยเจ้า”
หลังจากอยู่ร่วมกันมาสักระยะหนึ่ง โจวฉี่เยี่ยนก็ไม่ได้ทำตัวเย็นชากับคนในสกุลหลิงอีกต่อไป และเขายังเข้ากับครอบครัวนี้ได้ด้วยความจริงใจ
ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมื่อก่อนซั่งกวนเซ่าเฉินก็เป็นคนที่ไม่ชอบเข้าสังคม หลังจากได้อยู่ร่วมกับคนในสกุลหลิงมาระยะเวลาหนึ่งก็ยังเข้ากับครอบครัวนี้ได้เลย
แต่ละคนปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจหรือไม่นั้น ทุกคนล้วนไม่ใช่คนโง่เขลา พวกเขาย่อมรู้สึกถึงได้ เมื่อใช้ความจริงใจย่อมสามารถแลกความจริงใจคืนกลับไปได้
โจวฉี่เยี่ยนไม่ใคร่ชอบพูดจา วันนี้ถือว่าเขาพูดกับหลิงมู่เอ๋อร์ค่อนข้างมากแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าหลิงมู่เอ๋อร์ช่วยชีวิตเขา หรือบางทีเป็นเพราะว่าท่าทางและการกระทำของหลิงมู่เอ๋อร์ไม่เหมือนกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไป เมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้ว โจวฉี่เยี่ยนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
สถานที่ไม่ไกลออกไปนัก ในตรอกถนนสายหนึ่ง มีศีรษะของคนหลายคนโผล่ออกมาจากที่ตรงนั้น
“เจ้าสิบสาม ช่วงนี้พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเราใกล้ชิดกับเจ้าหนุ่มคนนี้ค่อนข้างบ่อยเลยทีเดียว!เจ้าหนุ่มนี่เป็นผู้ใดกัน?คาดไม่ถึงว่าจะกล้ามาแย่งคนของพี่ใหญ่ของพวกเรา” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำผู้หนึ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางจ้องไปที่โจวฉี่เยี่ยน “พวกเราหาเวลาไปจัดการเจ้าหนุ่มคนนั้นกัน ทำให้มันออกห่างจากพี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเราหน่อย มิเช่นนั้นหากรอให้พี่ใหญ่ของพวกเรากลับมา เกิดพี่สะใภ้ใหญ่หนีไปกับผู้อื่นแล้ว เกรงว่าพวกเราทุกคนจะรับผิดชอบผลที่จะตามมาไม่ไหว”
“อย่าได้เอ่ยความคิดไม่เข้าท่าออกมา” ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างกล่าวอย่างไม่พอใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ของพวกเราจะไปกับผู้อื่นได้ง่ายขนาดนั้นหรือ?เจ้าหนุ่มคนนี้นับว่ามีค่าอันใดที่จะแย่งพี่สะใภ้ใหญ่ไปได้? พี่สะใภ้ใหญ่ได้พบกับบุรุษอย่างพี่ใหญ่ของพวกเราแล้ว จะไปชอบชายอื่นได้อย่างไร?อีกอย่าง พี่ใหญ่ได้กำชับพวกเราครั้งแล้วครั้งเล่า หากว่าพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้มาหาพวกเรา พวกเราก็คิดเสียว่าตนเองเป็นเพียงธาตุอากาศ หากพี่สะใภ้ใหญ่ต้องการพวกเรา นางจะมาหาพวกเราเอง”
“เฮ้อ!ก็ข้าร้อนใจนี่ ร้อนใจจะแย่แล้ว” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนนั้นกัดริมฝีปาก ท่าทางราวกับคับแค้นใจ
ในโรงหมอฝั่งตรงข้าม หลิงมู่เอ๋อร์ตัวสั่นเทา นางมองออกไปที่นอกประตู แสงแดดสาดส่องเป็นทัศนียภาพที่สวยงามวิจิตรตระการตา นี่เป็นอากาศที่ไม่เลวเลย แต่ว่านางกลับมีความรู้สึกอึมครึมหนาวเย็น
“เป็นอันใดไป?” โจวฉี่เยี่ยนเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ตัวสั่นเทา “หนาวอย่างนั้นหรือ?”
“เปล่า” หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหน้า “ในเมื่อเจ้าอยากมาช่วยข้าอยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว เปิดกิจการใหม่ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกมาก เรื่องที่เล็กๆ น้อยๆ ในร้านก็มอบหมายให้เจ้าแล้วกัน ต่อจากนี้ข้าจะได้ไปทุ่มเทในการเก็บสมุนไพรบนภูเขา จากนั้นก็ปรุงยาสมุนไพรที่ดีที่สุดออกมา”
ในมิติของนางก็มียาสมุนไพรที่ดีที่สุดอยู่ เพียงแต่ว่าหากต้องการปรุงยาสมุนไพรเหล่านั้นออกมาย่อมต้องใช้เวลามาก นอกจากนี้ เพื่อที่จะให้ยาสมุนไพรเหล่านั้นได้ปรากฏอยู่ในโรงหมอแห่งนี้อย่างเป็นที่ประจักษ์ นางยังจำต้องขึ้นเขาแสร้งว่าไปเก็บสมุนไพร แน่นอนว่า นางชอบเดินเล่นในภูเขาเป็นอย่างยิ่ง และในบางครั้งก็พบกับสมุนไพรดีๆ บนภูเขาอีกด้วย
โจวฉี่เยี่ยนเหมือนพ่อบ้านในชาติก่อน ช่วยนางจัดการทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก เรื่องทุกอย่าง หลิงมู่เอ๋อร์คอยสังเกตมาสองวันแล้ว นางพบว่าคนผู้นี้เฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะไม่เคยได้สัมผัสกับงานในด้านของโรงหมอมาก่อน แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาก็สามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างเฉียบขาด เห็นได้ชัดว่าเขาได้ทำการบ้านมาไม่น้อยเลย
พ่อบ้านเช่นนี้ทำให้ผู้คนหายห่วงได้จริงๆ
ท่ามกลางความวุ่นวาย ในที่สุดโรงหมอของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ได้เปิดกิจการแล้ว
เพื่อเก็บเป็นความลับ นางสวมใส่ผ้าคลุมหน้า ส่วนโจวฉี่เยี่ยนนั้น… เขาใส่หน้ากาก
“ได้ยินข่าวหรือไม่? วันนี้อันเหอถังเปิดกิจการแล้ว ตรวจโรคทุกอย่างล้วนไม่ต้องจ่ายเงิน จ่ายเพียงแค่ค่ายาสมุนไพรเท่านั้น” บนท้องถนนสายใหญ่ มีผู้คนสนทนากันด้วยเสียงอันเบา
“จริงหรือ?ตรวจโรคโดยไม่เสียเงิน กลัวแต่ว่าค่ายาจะไม่ได้ถูกกระมัง?” คนด้านข้างกล่าวด้วยความประหลาดใจ “มีโรงหมอที่ใดบ้างไม่เก็บค่ารักษาสูง?เงินที่พวกเราเก็บมาหลายปี เกรงแต่ว่าไปโรงหมอเพียงแค่ครั้งเดียวก็ไม่เหลือแล้ว พวกหมอเหล่านั้นน่ะ… กล่าวว่าจะช่วยชีวิตคนใกล้ตาย รักษาผู้บาดเจ็บอะไรกัน แท้จริงแล้วนั่นเป็นเพียงเรื่องตลกก็เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็จำเป็นต้องไปอยู่ดี”
“อย่าพูดเช่นนั้น โรงหมอคราวนี้ไม่เหมือนกับโรงหมออื่น มีคนไปหาหมอแล้วจริงๆ ผลก็คือเก็บเงินค่ายาเพียงแค่ยี่สิบอีแปะเท่านั้นเอง”
“ห๊า?ยี่สิบอีแปะ?จะเป็นไปได้อย่างไร?ไปโรงหมอหนึ่งครั้ง เพียงแค่รักษาโรคไข้หวัดต้องลมเย็นธรรมดา นั่นก็ต้องจ่ายหลายร้อยอีแปะเชียวนะ!”
“ดังนั้นข้าถึงได้กล่าวว่าคราวนี้ต่างออกไปอย่างไรเล่า ได้ยินมาว่าหมอที่รักษานั้นเป็นหมอหญิงเทวดา ถ้าเป็นอาการไข้ต้องลมเย็นธรรมดา นางไม่จ่ายยาให้ แต่นางฝังเข็มบนร่างกายของคนไข้ จากนั้นก็ให้พวกเรากลับไปเก็บสมุนไพรกินเองสองสำรับ แม้แต่ค่ายาก็ยังประหยัดเลย”
“อันเหอถังนั่นอยู่ที่ใด?แม่ของข้าป่วยมาครึ่งเดือนกว่าแล้ว ไม่หายดีสักที ถ้าหากไม่เก็บค่าตรวจจริงๆ ข้าจะพาแม่ข้าไปหาหมอเดี๋ยวนี้”
“อยู่ที่ถนนฝั่งบูรพา เลี้ยวหัวมุมก็ถึงแล้ว”
บทสนทนาที่คล้ายคลึงกันนี้ถูกพูดถึงไปทั่วทั้งเมือง เดิมทีคนไข้ที่รักษากับโรงหมออื่นๆ ได้ยินว่าอันเหอถังเปิดแล้ว แต่ละคนต่างก็รีบร้อนไปที่นั่น
โรงหมออื่นๆ หลายแห่งสูญเสียคนไข้จำนวนมาก ทำเอาหมอเหล่านั้นโกรธเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าต่อให้มีโทสะมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร
เป็นเพราะ… หมอทุกคนล้วนถูกตักเตือนหมดแล้ว คนที่มาตักเตือนหมอเหล่านั้นร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าอย่างไม่คาดคิด ในคืนยามรัตติกาลวายุโหมกระหน่ำนั้น พลันมีมีดมาจ่อที่ลำคอของพวกเขา กล่าวว่าวันนี้อันเหอถังเปิดกิจการ ถ้าหากพวกเขากล้าใช้กลอุบายอันใดที่ไม่เข้าท่าก็จะทำให้คนในครอบครัวของพวกเขาได้เข้าเฝ้าท่านพญายม
เฮ้อ!ศัตรูช่างเก่งกาจเสียเหลือเกิน พวกเขาไม่กล้าที่จะหาเรื่องด้วย!
ณ อันเหอถัง
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ด้านหลังม่าน นางจับชีพจรผ่านม่าน จากนั้นก็เปิดห้องโอสถ บุรุษที่สวมหน้ากากยืนอยู่ด้านข้างๆ บุรุษคนนั้นถือใบเทียบยาไปจัดยา
ในตอนแรกพวกคนไข้เห็นบุรุษที่สวมหน้ากากรูปร่างสูงใหญ่ แต่ละคนต่างก็มีความรู้สึกหวาดกลัว ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าถูกค่าใช้จ่ายที่แสนถูกของโรงหมอนี้ดึงดูดเอาไว้ พวกเขาก็อยากที่จะวิ่งหนีจนสุดฝีเท้ากันจริงๆ เป็นเพราะลมปราณของบุรุษคนนั้นช่างน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง น่องขาของพวกเขาสั่นระริกไม่หยุด
“คนถัดไป” โจวฉี่เยี่ยนจัดยาเสร็จ ก็ยื่นห่อยาให้กับหญิงชราที่อยู่ด้านหน้า พลางกล่าวเสียงนิ่ง “ทั้งหมดสิบห้าอีแปะ”
“ห๊า?ถูกขนาดนี้เลยหรือ?” หญิงชรานางนั้นมองโจวฉี่เยี่ยนอย่างตกตะลึง “ได้ได้ ยายแก่จะจ่ายเดี๋ยวนี้เลย”
หลิงมู่เอ๋อร์ตรวจคนไข้คนแล้วคนเล่า จนถึงตอนนี้ล้วนเป็นคนไข้อาการทั่วไป ไม่ได้มีอาการร้ายแรงอะไร แต่ว่านางก็ตรวจคนไข้ได้อย่างมีความสุขและผ่อนคลาย อย่างน้อยนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทุกคนต่างได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของอันเหอถังแล้ว ภายหลังจะต้องมีคนมารักษาอีกแน่ อันเหอถังก็นับว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกหนึ่งของพวกเขา
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเพียงโรคธรรมดาเหล่านั้น หลิงมู่เอ๋อร์ตรวจอย่างรวดเร็ว จับชีพจร สั่งยา ส่งผู้ป่วย เพียงแค่ช่วงเช้าก็ตรวจคนไข้ไปได้หนึ่งร้อยกว่าคนแล้ว
ถึงแม้จะกล่าวว่าคนไข้ทุกคนจ่ายเงินไม่เกินสิบกว่าถึงยี่สิบกว่าอีแปะ แต่ว่าคนไข้หนึ่งร้อยกว่าคน นั่นก็เป็นเงินหลายตำลึงเลยทีเดียว แน่นอนว่า ที่นางทำนั้นไม่ได้ต้องการเงินเพียงไม่กี่ตำลึงพวกนี้
แต่เป็นเพราะการสืบทอดของตระกูลหลิงไม่สามารถพังลงในมือของนางได้ นางเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลิง จึงมีหน้าที่จะต้องสืบทอดวิชาแพทย์แผนโบราณต่อไป
“หลีกทางด้วย… หลีกทางด้วย…” เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอก “รีบหลีกทาง…”
ครั้นได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านนอก โจวฉี่เยี่ยนจึงเดินออกไปตรวจสอบดู ผ่านไปไม่นาน เขาก็พาคนสองสามคนเข้ามาด้านใน หนึ่งในนั้นถูกอีกสองคนหามเอาไว้
ภายในห้องมีเตียงหลังใหญ่อยู่ นั่นเป็นเตียงที่มีไว้เพื่อตรวจผู้ป่วยที่มีอาการหนัก โจวฉี่เยี่ยนให้พวกเขานำคนที่ถูกหามผู้นั้นไปวางลงบนเตียง
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับคนไข้ที่ต่อแถวด้านหน้าว่า “ทุกท่านโปรดรอสักครู่ ชีวิตของคนนั้นสำคัญมาก ข้าขอตรวจคุณชายที่ได้รับบาดเจ็บท่านนี้ก่อน”
“ใช่ ใช่ คุณชายท่านนั้นเลือดไหลเป็นจำนวนมาก ควรจะรักษาก่อน” เหล่าคนไข้ที่อยู่ด้านหน้าต่างรีบร้อนกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์เดินไปที่ด้านหน้าของเตียงหลังใหญ่นั้น เห็นเพียงแต่ใบหน้าขาวซีดของชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บคนนั้น ที่บริเวณทรวงอกมีกริชสั้นปักคาอยู่ ในเวลานี้โลหิตสีแดงฉานไหลซึมย้อมอาภรณ์สีขาวของเขา สองคนที่อยู่ด้านข้างนั้นแต่งกายอย่างเช่นเด็กรับใช้ พวกเขามองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ พลางขมวดคิ้ว ก่อนจะมีหนึ่งคนในนั้นกล่าวออกมาว่า “แม่นางท่านนี้ สามารถเชิญท่านหมอของพวกท่านมาดูอาการได้หรือไม่ขอรับ?”
หลิงมู่เอ๋อร์ชำเลืองตามองคนผู้นั้นหนึ่งที พลางกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ข้าก็คือหมอ ถ้าเจ้าไม่วางใจในตัวข้า ก็สามารถหามเขาออกไปได้”
“เจ้าก็คือหมอ?” เด็กรับใช้ที่กล่าวจ้องไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ “ไม่ได้ไม่ได้ มีสตรีที่ใดเป็นหมอกัน?ถ้าหากเจ้ารักษาคุณชายของพวกข้าไม่ได้ พวกข้าจะยังมีชีวิตอยู่รอดต่อไปอีกหรือ?อู๋ถง มิเช่นนั้นพวกเราเปลี่ยนโรงหมอกันดีหรือไม่?”
“คุณชายบาดเจ็บจนเป็นเช่นนี้ เลือดจะไหลหมดตัวอยู่แล้ว หาหมอคนอื่นในตอนนี้ คุณชายจะทนได้ไหวหรือ?” เด็กรับใช้ที่นามว่าอู๋ถงผู้นั้นขมวดคิ้ว เขามองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ แล้วประสานมือคารวะพลางกล่าว “ได้โปรดขอให้ท่านหมอหญิงเทวดาช่วยชีวิตคุณชายของพวกเราด้วย ขอร้องล่ะขอรับ”
หลังจากหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินคำพูดของอู๋ถง สีหน้าพลันอ่อนลง นางกล่าวเสียงนิ่ง “ในที่สุดก็มีคนที่มีเหตุผล วางใจเถิด จากคำพูดของเจ้า คุณชายของพวกเจ้าจะไม่เป็นอันใด”
“กริชแทงเข้าที่หัวใจของคุณชาย บัดนี้คุณชายสภาพเจียนจะสิ้นใจแล้ว แม่นางอย่าได้กล่าวคำใหญ่คำโตไปเลย” เด็กรับใช้ที่พูดเมื่อครู่มองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างระแวดระวัง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กรับใช้คนนี้ เพราะถึงอย่างไรชีวิตคนย่อมสำคัญกว่า ถ้าหากยังต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขาต่อไป เกรงว่าจะช่วยคนผู้นั้นกลับมาไม่ได้แล้ว
นางฝังเข็มให้ชายผู้นั้นก่อนเพื่อห้ามเลือดของเขา
ครั้นเด็กรับใช้สองคนนั้นเห็นว่าเลือดชายหนุ่มหยุดไหลแล้ว ก็มีความมั่นใจในวิชาแพทย์ของหลิงมู่เอ๋อร์เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย แต่ว่าชายหนุ่มผู้นั้นบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นหมอธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีหนทางรักษาได้ พวกเขาก็ยังคงไม่กล้าที่จะชะล่าใจ โดยเฉพาะกริชเล่มนั้นที่ปักคาอยู่ที่ตำแหน่งของทรวงอก ถ้าหากมันแทงเข้าไปโดนหัวใจ ต่อให้จะเป็นเทพเซียนก็ไม่อาจช่วยให้ฟื้นกลับคืนมาได้
หลิงมู่เอ๋อร์ประเมินอาการของชายหนุ่มชุดขาวคนนั้น มองดูแล้วอายุของเขายังน้อย คาดว่าน่าจะประมาณยี่สิบปี เขามีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและยังมีความรู้สึกที่ดูมีแก่เรียนและมีสง่าราศีอีกด้วย ถึงแม้จะกล่าวว่าเขามีรูปลักษณ์ที่งดงาม แต่รูปร่างของเขาเองก็ดูดีเป็นอย่างยิ่ง เขาน่าจะเป็นประเภทชายหนุ่มในตำนานที่ดูผ่ายผอมในยามสวมอาภรณ์แต่มีกล้ามในยามถอดอาภรณ์
แต่ว่า นางก็ไม่ใช่คนที่คลั่งไคล้บุรุษ ต่อให้จะพบชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้ แต่ในสายตาของนางนั้น เขาก็เป็นเพียงผู้ป่วยธรรมดาคนหนึ่ง
“พี่ใหญ่โจว หยิบโสมหนึ่งแผ่นให้ข้าทีเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับบุรุษที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ข้าจะดึงกริชออกให้เขา เขาจะสามารถมีชีวิตรอดหรือไม่นั้น ก็ต้องดูจุดสำคัญที่จะดึงออกแล้ว ดังนั้น ให้เขาอมแผ่นโสมเอาไว้น่าจะดีกว่า”
เพียงไม่นานโจวฉี่เยี่ยนก็นำแผ่นโสมมา แผ่นโสมนั้นไม่ใช่แผ่นโสมธรรมดาทั่วไป แต่เป็นโสมอายุพันปี ในส่วนของที่มาของโสมพันปีนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดากันแล้ว นอกจากในมิติของหลิงมู่เอ๋อร์แล้ว จยังะสามารถหาโสมพันปีได้จากที่ใดกัน?
ด้วยเหตุนี้ถึงแสดงให้เห็นว่า คนผู้นี้นับว่าโชคดียิ่ง ถ้าหากไม่ได้พบกับนาง ด้วยสถานการณ์ที่อันตรายของเขาในตอนนี้แล้วนั้น ก็ไม่มีความหวังที่จะมีชีวิตรอดต่อไปแน่
เด็กรับใช้สองคนที่อยู่ด้านข้างนั้นมองหลิงมู่เอ๋อร์ดึงกริชออกมาอย่างตื่นเต้น ตอนที่กริชเล่มนั้นถูกดึงออกมา โลหิตสีแดงฉานที่อยู่ตรงบริเวณทรวงอกก็พรั่งพรูออกมาด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์ทำการฝังเข็มอีกครั้งอย่างคล่องแคล่ว เช่นนี้ถึงได้สามารถห้ามเลือดของเขาเอาไว้ได้ แต่ว่า พวกเขาเห็นโลหิตสีสดอยู่บนกริชเล่มนั้นแล้ว ก็มองออกว่ากริชสั้นเล่มนั้นแทงลงไปได้ลึกนัก
ในใจของทั้งสองคนสั่นไหว พวกเขารู้ว่า ถึงแม้ว่าสตรีนางนี้จะไม่อาจช่วยชีวิตของเจ้านายของพวกเขากลับมาได้ พวกเขาก็ไม่ได้คิดที่จะกล่าวโทษนาง เพราะบาดแผลของเจ้านายในครั้งนี้อาการสาหัสมากจริงๆ