เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 64 สัญญาขายทาส
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 3 บทที่ 64 สัญญาขายทาส
เล่มที่ 3 บทที่ 64 สัญญาขายทาส
สัญญาขายทาส? หากลงนามสัญญาขายทาส เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นข้ารับใช้แล้วไม่ใช่หรือ? หลังจากนี้ไปความเป็นหรือความตายล้วนขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้านาย ถ้าหากเจ้านายไม่พอใจ จะทุบตีหรือเล่นกับชีวิตของพวกเขาก็ย่อมได้
ในยุคสมัยนี้ ข้ารับใช้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีฐานะต่ำต้อย สามัญชนคนธรรมดาจำนวนมากยอมเป็นชาวนายากจน แต่ไม่ยอมเป็นข้ารับใช้ที่มีชีวิตสุขสบาย
เดิมทีเหล่าชาวบ้านที่ได้ยินว่าหลิงมู่เอ๋อร์ตกปากรับคำที่จะรับหลิงเวยไว้ยังคิดไม่ถึงว่าหลิงเวยจะได้เปรียบมากขนาดนี้ แต่ตอนที่พวกเขาได้ยินคำว่าสัญญาขายทาสนั้นก็เข้าใจอย่างชัดแจ้งแล้วว่าสาวน้อยผู้ชาญฉลาดและซุกซนนางนี้มีเจตนาอันใด ทันใดนั้น เสียงหัวเราะดังสนั่นของผู้คนทั้งหลายก็ดังมาจากทุกสารทิศ
สีหน้าของหลิงเวยประเดี๋ยวเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดประเดี๋ยวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ เขาอยากจะพุ่งออกไปตีปากของนางจริงๆ ข้ารับใช้! ฝันไปเสียเถิด! เขาจะไม่ยอมเป็นข้ารับใช้! สิ่งที่เขาต้องการคือสูตรลับของสกุลหลิง เขาจะขายตนเองให้หญิงสารเลวนี่ได้อย่างไร? ถ้าหากกลายเป็นข้ารับใช้ของหญิงสารเลวนี่จริงๆ หลังจากนี้จะยังมีชีวิตรอดต่อไปได้อีกหรือ?
“เป็นอันใดไปเสียแล้ว? หรือว่าเจ้าไม่ยินยอม? เมื่อครู่เจ้ายังกล่าวว่ายอมจะทำงานให้ข้าอยู่เลย ที่แท้ก็หลอกลวงข้า! ” หลิงมู่เอ๋อร์จ้องไปที่หลิงเวยอย่างไม่พอใจ
หลิงเวยอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ เขาไม่กล้าที่จะกล่าวคำว่าจะทำงานที่นี่อีกต่อไป ถ้าถูกสตรีนางนี้บังคับขู่เข็ญให้เขียนสัญญาขายทาสขึ้นมาจริงๆ ชั่วชีวิตของเขาก็คงจบสิ้นแล้ว
“แต่ว่าข้าไม่มีเงิน” หลิงเวยยืนกรานว่าตนเองไม่มีเงิน
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หวังซื่อซึ่งอยู่ไม่ไกล นางปล่อยหลิงเวยไป และกลับมายืนอยู่ด้านข้างกายของหวังซื่อ “เขาไม่มีเงิน พวกเจ้าคงจะมีกระมัง? โต๊ะเก้าอี้และชามตะเกียบของข้าเสียหายไปมากขนาดนี้ คนของข้ายังถูกพวกเจ้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ เหล่าลูกค้าของข้าตกใจกลัวอย่างยิ่ง และยังมีอาหารเหล่านั้นที่ยังไม่ได้คิดบัญชี… เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน! หนึ่งร้อยตำลึงเงิน”
“หนึ่งร้อยตำลึง!” ดวงตาของหวังซื่อเบิกกว้าง นัยน์ตาเป็นสีแดงก่ำ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่มี”
“เช่นนั้นหรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ใช้มือใช้เท้าของเจ้าชดใช้หนี้แล้วกัน อันที่จริงแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าเพียงแค่เคล็ดขัดยอกชั่วคราวเท่านั้น เพียงแค่หาหมอก็สามารถรักษาหายได้แล้ว แต่ถ้าข้าใช้แรงมากกว่านี้อีกสักหน่อย บิดมือและเท้าให้พวกมันแยกออกจากตัวของพวกเจ้า ก็ไม่รู้ว่าในใต้หล้านี้จะมีหมอเทวดาสามารถรักษาพวกเจ้าได้อีกหรือไม่ อยากจะลองดูหรือไม่?”
หวังซื่อตัวสั่นสะท้าน
แยกมือและเท้า! สามารถจินตนาการได้ว่าฉากนั้นจะโหดร้ายทารุณและน่าเวทนามากเพียงใด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาทำร้ายผู้คนไปไม่น้อย ไม่รู้ว่ามีคนกี่มากน้อยที่รอให้พวกเขาได้ประสบกับความโชคร้าย ถ้าหากถูกสตรีนางนี้ทำให้พิการจริงๆ กลัวแต่ว่าเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็คงจะสิ้นใจแล้ว
เขาไม่อาจพิการได้ และยิ่งตายไม่ได้ เงิน…ถ้ายังไม่ตายก็ยังสามารถหามาได้ นอกจากนี้ เรื่องราวนี้เกิดจากเจ้าเด็กหนุ่มตัวเหม็นผู้นั้น เงินที่สูญเสียไปยังสามารถหากลับคืนมาได้
หวังซื่อมองไปที่หลิงเวยด้วยดวงตาที่ชั่วร้ายคู่หนึ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์มองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตา บนใบหน้าของนางยกแย้มรอยยิ้มจางๆ รอยยิ้มนั้นเย็นชายิ่งนัก ราวกับอสูรกายที่ปีนป่ายขึ้นมาจากขุมนรกอเวจี
หลิงเวยไม่ให้ หวังซื่อก็จำต้องให้ หวังซื่อเสียเปรียบให้กับนาง แล้วหลิงเวยจะได้เปรียบได้อย่างไร? นางไม่จำเป็นต้องลงมือเองก็ย่อมมีหวังซื่อคอยจัดการหลิงเวยอยู่แล้ว
นอกจากนี้แล้ว หวังซื่อจัดการกับหลิงเวยไม่ใช่เพียงแค่เพื่อระบายความโกรธเท่านั้น เขายังต้องการเอาใจนางด้วยเช่นกัน
“ข้าจะให้” เป็นไปตามที่คิดไว้ หวังซื่อยอมแต่โดยดี
เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ “ตั๋วเงินอยู่ในอกของข้า มือเท้าของข้าตอนนี้ล้วน…”
หลิงมู่เอ๋อร์โค้งตัวลงไป ใช้แรงดึงแขนที่ตกลงมาข้างกายอยู่ของหวังซื่อ เสียงดังกึกและแขนขวาของเขาก็กลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิม
หวังซื่อยังไม่ทันจะร้องออกมา แขนข้างนั้นก็กลับคืนสู่สภาพเดิมแล้ว สีหน้าของเขาซีดเผือด ลองยกแขนของตนขึ้น เขาทำเช่นนี้ถึงทำให้พบว่าแขนของเขาคืนสู่สภาพเดิมแล้วจริงๆ
เขามองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความหวาดกลัวหนึ่งที สตรีผู้นี้โหดเหี้ยมตั้งแต่อายุยังน้อย ในภายภาคหน้านางจะเป็นผู้ที่มีความมุ่งมาดปรารถนาสูงส่งอย่างแน่นอน สตรีเช่นนี้ไม่อาจล่วงเกินนางได้อีกเป็นอันขาด
หลิงมู่เอ๋อร์ทำราวกับมองไม่เห็นสายตาของหวังซื่อ นางเล่นกับนิ้วมือของตนเอง รอให้หวังซื่อนำเงินหนึ่งร้อยตำลึงเงินออกมา
หวังซื่อล้วงเข้าไปในเสื้ออย่างปวดใจ ครู่ใหญ่ๆ ตั๋วเงินยับยู่ยี่หนึ่งใบก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์เหลือบมองหนึ่งทีแล้วรับมาอย่างเฉยเมย “ถ้าหากครั้งหน้ายังคิดจะมา ‘หยอกล้อ’ อีก ข้าก็จะเล่นด้วยจนจบแน่”
“มิกล้า…มิกล้าแล้ว…” หวังซื่อกัดฟันกรอดแล้วหลุบสายตาลง
เขาไม่ยอม ต่อหน้าผู้คนมากมาย เขากลับถูกสาวน้อยนางหนึ่งข่มเหงรังแกเช่นนี้ ต่อไปอำนาจและชื่อเสียงของเขาในที่นี่ก็จะต้องลดลงไปมากอย่างแน่นอน
แน่นอนว่า หวังซื่อคิดว่านั่นเป็นอำนาจและชื่อเสียง แต่ในสายตาของชาวบ้านคนทั่วไปแล้ว นั่นคือการที่วิญญาณชั่วร้ายออกอาละวาด ทว่าในตอนนี้วิญญาณชั่วร้ายอยู่ภายใต้การควบคุมของพญายม คาดว่าจะต้องมีกฎเกณฑ์มากมายที่ใช้การได้จริงตามมาแน่
เหล่าบ้านทั้งหลายต่างปรบมือโห่ร้องด้วยความดีใจ ไม่ว่าจะเคยถูกรังแกมาก่อนหรือไม่ พวกเขาก็ชื่นชมหลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่ขาดสาย ไม่มีผู้ใดบอกว่าสตรีนางนี้โหดเหี้ยมดุร้ายเกินไป ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง พวกเขาทุกคนต่างก็ไม่พูดถึงมัน หนึ่งคือเรื่องที่นางทำนั้นเป็นการช่วยขจัดภัยอันตรายให้กับประชาชน สองคือ…สตรีที่โหดเหี้ยมและดุร้ายเช่นนี้ ผู้ใดจะกล้ายั่วยุกัน? มีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นถึงรนหาความตายถึงที่
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หลิงเวยด้วยรอยยิ้มที่คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ถ้าหากครั้งหน้ายังอยากมาทำงานในร้านของข้า ข้าพร้อมเล่นด้วยทุกเมื่อ เพียงแค่สัญญาขายทาสฉบับหนึ่ง ก็ไม่เสียเวลาเขียนสักเท่าไร เห็นแก่ในฐานะที่เป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าทำงานเสียแรงเปล่า จะให้เจ้าหนึ่งตำลึงเงินต่อเดือน”
ใบหน้าที่หยาบกร้านของหลิงเวยเต็มไปด้วยความลำบากใจ ทว่าต่อหน้าของคนทั้งหลาย เขาไม่กล้ากล่าวอันใดออกมา เมื่อต้องเผชิญกับคำนินทาลับหลังของทุกคน เขาทำได้เพียงแต่หดหัวเป็นเต่าเท่านั้น
เขาไม่พอใจ! เหตุใดนางหญิงสารเลวคนนี้ถึงได้กลายเป็นเก่งกาจขนาดนี้ได้? เมื่อก่อนไม่มีปากเสียงก้มหน้าก้มตา ครั้นเห็นพวกเขาแทบจะคุกเข่าเลียรองเท้า แต่บัดนี้กลับเก่งกาจถึงเพียงนี้
“ลูกค้าทุกท่าน วันนี้ร้านของพวกเราปิดร้านชั่วคราว เมื่อครู่ที่ได้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น ทำให้รบกวนลูกค้าผู้มีเกียรติทุกท่านแล้ว เพื่อเป็นการปลอบขวัญทุกท่าน ในวันพรุ่งนี้อาหารทุกอย่างในร้านพวกเราจะลดครึ่งราคาอย่างไม่มีข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าที่ได้รับความตกใจในวันนี้ พรุ่งนี้พวกเรายังจะมีการมอบของกำนัลเฉพาะท่านให้อีกด้วย ยังต้องขอให้ทุกท่านบอกต่อกันและกันแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับทุกคน
“เถ้าแก่น้อย เหตุการณ์ได้รับการแก้ปัญหาแล้ว ไม่ต้องปิดร้านแล้ว หากในหนึ่งวันพวกข้าไม่ได้กินอาหารของร้านเจ้า พวกแมลงตะกละในท้องก็จะออกมาแล้ว” คนผู้หนึ่งร้องตะโกนออกมา
“พี่ชายท่านนี้ ท่านไม่รู้ว่าตอนนี้ภายในร้านของพวกเราเละเทะเพียงใด ถ้าหากท่านเห็นแล้ว ก็ไม่มีจิตใจที่จะทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างจนปัญญา “พรุ่งนี้เถิดเจ้าค่ะ! เสี่ยวเอ้อร์ร้านของพวกเราก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน ยังจะต้องรักษาอาการบาดเจ็บให้พวกเขาด้วย”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างถ่อมตัวอีกครั้ง มองไปที่หลิงเวยและพวกอันธพาลที่นอนอยู่บนพื้นเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินกลับเข้าไปในร้าน
หวังซื่อไม่กล้าทำอันใดต่อหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ว่าเอาบัญชีแค้นนั้นจดไว้บนตัวของหลิงเวยแทน
หลิงเวยมีความทุกข์แต่ไม่อาจกล่าวออกมาได้ เขาตัดสินใจออกห่างจากที่นี่ในทันที ยิ่งห่างไกลเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น สำหรับเรื่องอื่นไม่อาจควบคุมได้แล้วจริงๆ
ในเหลาอาหารสกุลหลิง หลิงมู่เอ๋อร์หยิบเศษก้อนเงินออกมาสองสามก้อน แบ่งให้ทุกคนคนละหนึ่งตำลึง “ช่วงบ่ายวันนี้ล้วนให้ทุกคนพักผ่อน คนที่ได้รับบาดเจ็บก็ไปหาหมอที่โรงหมอ คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ให้จัดการเรื่องของตนเอง พรุ่งนี้จะมีลูกค้าเป็นจำนวนมาก ทุกคนต้องลำบากสักหน่อยแล้ว”
“คุณหนูพูดอันใดกันเจ้าคะ นี่คือสิ่งที่พวกข้าสมควรทำ พวกข้ามีอาหารกินมีน้ำดื่มเพราะรับใช้คุณหนู ยังไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเจ้านายดุด่า นี่เป็นชีวิตของเหล่าทวยเทพอย่างแท้จริงแล้วเจ้าค่ะ” แม่เฒ่าปากหวานนางหนึ่ง เวลาพูดคุยก็มักจะยิ้มแย้มดวงตาเป็นรูปโค้ง ทั้งท่าทางที่มีเมตตาอ่อนโยนทั้งเสียงที่ไพเราะ ด้วยท่าทางเช่นนี้ของนางก็ทำให้ผู้คนที่พบเห็นเกลียดชังไม่ลง
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเบาๆ พลางกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนรู้จักพูด เมื่อครู่เจ้าปกป้องท่านแม่ของข้า ข้าจดจำไว้แล้ว ขอบใจเจ้ามาก”
“คุณหนูบ่าวชราผู้นี้ไม่อาจรับไว้ได้เจ้าค่ะ” หญิงชรานางนั้นรีบร้อนกล่าว
“คุณหนู จะปล่อยเจ้าเด็กหนุ่มนามว่าหลิงเวยผู้นั้นไปเช่นนี้หรือขอรับ?” ชายผู้หนึ่งขมวดคิ้วพลางกล่าว
“ข้าไม่จัดการเขา ย่อมมีคนอื่นจัดการเขาเอง” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชา “พวกเจ้าอย่าได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ข้าจะจัดการเอง”
“ขอรับ / เจ้าค่ะ” ทุกคนรีบร้อนกล่าวรับคำ
ในขณะนั้น ภายในเรือนที่ห่างไกลออกไปแห่งหนึ่ง มีเงาร่างหนึ่งวิ่งเข้าไป เขาวิ่งไปพลางตะโกนร้องไปพลาง “พี่รอง พี่รอง แย่แล้ว พี่สะใภ้ของพวกเราถูกคนรังแกแล้ว”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายสิบคนพรั่งพรูออกมาจากภายในห้อง คนหนึ่งในนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ร่างกายกำยำล่ำสันที่สุด เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “อันใดนะ? ผู้ใดกล้ามารังแกพี่สะใภ้ของพวกเรา? เมื่อตอนที่พี่ใหญ่จะออกไปก็เคยบอกไว้แล้วว่าภารกิจที่นี่ของพวกเราก็คือการดูแลพี่สะใภ้ให้ดี ถ้าหากแม้แต่พี่สะใภ้ยังดูแลไม่ได้ แล้วพวกเรายังจะมีประโยชน์อันใดอีก? พูดมา ผู้ใดกล้ารังแกพี่สะใภ้ของพวกเรา? ”
ชายผู้นั้นหอบหายใจอย่างแรง ยกน้ำที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาดื่ม พรวด! พอน้ำเข้าไปในปากก็พ่นออกมาเสียอย่างนั้น เขาด่าทอพลางกล่าว “นี่คือสิ่งของอันใดกัน?”
“อ๋อ! สิ่งนั้นน่ะหรือ…เจ้าสามได้รับบาดเจ็บแล้ว จุดที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงมาก พวกข้าจึงไปเอาปัสสาวะเด็กมาเช็ดบาดแผลให้เขา” ชายผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ชายที่เพิ่งจะเข้าประตูมาเมื่อสักครู่มองคนผู้นั้นที่พูดด้วยความตกตะลึง เขาชี้ไปที่อีกฝ่าย นิ้วของเขาสั่นไม่หยุด “ท่านยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่… พี่สามบาดเจ็บขนาดนี้ พวกท่านยังจะล้อเล่นกับเขาอีก หากจุดที่ได้รับบาดเจ็บเกิดแผลอักเสบ เช่นนั้นก็ต้องไปหาหมอ! พวกท่านทรมานพี่สามของพวกข้าเช่นนั้นทำไมกัน?”
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องนั้น สิ่งที่เจ้าพูดเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร? พี่สะใภ้ของพวกเราถูกผู้ใดรังแกแล้ว? ” พี่รองตบไปที่ไหล่ของชายผู้นั้นพลางกล่าว “รีบพูดให้กระจ่างเร็วๆ เจ้าอยากจะทำให้พี่ใหญ่ร้อนใจหรือ? พี่ใหญ่กล่าวโทษมา ข้าจะอธิบายอย่างไร?”
“ข้าว่านะพวกเจ้า…พี่สะใภ้เป็นคำที่พวกเจ้าเรียกขาน พี่ใหญ่พวกเรากล่าวมาโดยตลอดว่านั่นเป็นเพียงน้องสาว น้องสาวบุญธรรมกับภรรยาดูเหมือนว่าจะไม่ได้หมายความว่าเป็นสิ่งเดียวกันกระมัง?” ชายท่าทางคล้ายกับบัณฑิตผู้หนึ่งเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “เพียงแต่ว่า แม่นางท่านนั้นเป็นคนที่เก่งกาจมากความสามารถ ผู้ใดจะกล้ารังแกนางโดยไม่กลัวตายกัน?”
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้” ชายที่ดื่มปัสสาวะเด็กผู้นั้นอาเจียนอย่างน่าคลื่นไส้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงใช้น้ำสะอาดด้านข้างมาล้างปาก พอทำแบบนี้แล้วเขาถึงพอจะอดทนต่อความพะอืดพะอมได้บ้าง “การค้าของร้านพวกเขาดีเกินไป ดังนั้นจึงทำให้หลายคนทนดูไม่ได้…”
หลังจากอธิบายเหตุการณ์อย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอันใดขึ้น คนหนึ่งในกลุ่มนั้นปรบมือและหัวเราะเสียงดังกล่าวว่า “ข้าบอกแล้วว่าเด็กสาวผู้นี้จะไม่มีทางเสียเปรียบ!”
“ก็ไม่มีผู้ใดบอกว่านางจะเสียเปรียบ เพียงแต่ว่าพี่ใหญ่ฝากฝังให้พวกเราดูแลนาง พวกเราจำเป็นต้องรับผิดชอบ!” พี่รองลูบๆ จมูกพลางกล่าวว่า “หมู่บ้านตระกูลหลิง…หลิงเวย เรื่องราวเมื่อครั้งที่แล้วยังไม่ได้สอนให้คนของหมู่บ้านตระกูลหลิงเป็นคนดี! ดูเหมือนว่าจะถึงเวลาที่พวกเราจะต้องลงมืออีกครั้งแล้ว คราวนี้จะจับพวกเขามาขังไว้สักระยะหนึ่ง ขังไว้จนกว่าพวกเขาจะประพฤติตัวดี”
“ข้าดูจากลักษณะของพี่สะใภ้แล้ว นางคงไม่ต้องการให้พวกเราทำเช่นนี้” ชายบัณฑิตคนนั้นกล่าวขึ้นมา “หลิงเวยคนนั้นเป็นคนขี้ขลาดและไม่มีอันใดจะต้องเกรงกลัว หากพี่สะใภ้จัดการหวังซื่อแล้ว หวังซื่อก็จะไปจัดการกับหลิงเวยแทน ถ้าพวกเราจับหลิงเวยเข้าคุก หวังซื่อก็จะหาหลิงเวยไม่พบ หลิงเวยแทนที่จะได้รับบทลงโทษกลับจะปลอดภัยเสียด้วยซ้ำ แบบนั้นจะไม่ใช่ว่าพวกเราไปช่วยหลิงเวยเอาไว้หรือ? ตามที่ข้าคิดอ่านเรื่องนี้ก็เอาตามเช่นนี้เถิด! พวกเราก็อย่าได้เข้าไปยุ่งเลย ถ้าหากยุ่งมากเกินไปจะทำให้พี่สะใภ้ไม่พอใจ พี่สะใภ้ของพวกเราท่านนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา”
ทุกคนได้แต่มองหน้ากันไปมา ไม่ต้องสนใจหรือ? เช่นนั้นพวกเขาอยู่ที่นี่จะมิใช่คนที่เลี้ยงเสียข้าวสุกหรือ?
“เจ้าเจ็ด เจ้าฉลาดมาเสมอ พวกข้าฟังเจ้า แต่ว่า ช่วงนี้เหล่าพี่น้องว่างไม่มีอะไรทำแล้วจริงๆ” พี่รองทอดถอนหายใจพลางกล่าว “พี่ใหญ่นี่ก็ช่างจริงๆ เลย พวกเราเป็นดังอาวุธของเขา เขากลับวางมีดอันล้ำค่านี้ไว้ในห้องครัวหั่นผัก ช่างให้พวกเรามาจัดการเรื่องเล็กน้อยเกินไปแล้ว”
“ผู้ใดบอกว่าไม่มีเรื่องอันใดทำ?” เจ้าเจ็ดกล่าว “มีโจรบางส่วนปรากฏตัวอยู่ด้านนอกเมือง ตามที่กล่าวกันว่ามีกลุ่มพ่อค้าหลายกลุ่มได้รับบาดเจ็บ พวกเราไปกวาดล้างที่นั่นกันเถิด”