เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 3 บทที่ 62 ตื่นขึ้นมา
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 3 บทที่ 62 ตื่นขึ้นมา
เล่มที่ 3 บทที่ 62 ตื่นขึ้นมา
หลิงมู่เอ๋อร์นำห่อยานั้นโยนให้โจวฉี่รุ่ย พลางกล่าวว่า “เจ้าไปต้มยา ในห้องครัวมีเตาขนาดเล็กอยู่ เจ้าไปย้ายเตามาต้มยาในเรือนนี้ ถ้าคนในห้องครัวถามขึ้นมา ก็บอกว่าเป็นสหายของข้า เป็นข้าที่จัดแจงให้เข้ามา ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องพูดให้มากความ”
โจวฉี่รุ่ยถือห่อยานั้นไว้ กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “พี่ชายข้าไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? เมื่อครู่เคลื่อนย้ายร่างกายของเขา อีกทั้งเขายังบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง”
“บาดแผลที่พันไว้เมื่อครู่ปริแตกแล้ว ข้าจะต้องพันแผลให้เขาใหม่” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวตอบรับโดยไม่ต้องคิดมาก “เจ้าสนใจเพียงแค่ต้มยาเท่านั้น ที่เหลืออย่างอื่นมอบให้ข้าจัดการเอง”
โจวฉี่รุ่ยมองโจวฉี่เยี่ยนด้วยความเป็นกังวล ในตอนที่โจวฉี่เยี่ยนสลบไสลไม่ได้สตินั้นก็ยังคงเจ็บปวดทรมานมาก คิ้วทรงกระบี่คู่หนึ่งขมวดแน่น ในเวลานี้เขาโชคดีอย่างยิ่งที่ได้พบกับแม่นางหลิงท่านนี้ ไม่ว่าแม่นางหลิงท่านนี้จะเป็นผู้มีวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยมหรือไม่ แต่นางสามารถให้ที่พักรักษาบาดแผลที่ดีแก่พี่ชายของเขาได้ นั่นก็นับเป็นโชคดีของเขาแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่จุดที่ได้รับบาดเจ็บของโจวฉี่เยี่ยน นางทอดถอนหายใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ช่างมันเถิด ผู้ใดใช้ให้ข้าเป็นหมอกันล่ะ ช่วยชีวิตผู้คนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด!”
หลังจากตัดแถบผ้าที่ใช้พันแผลเมื่อสักครู่ออก ต่อมาจึงทำการพันแผลให้ชายหนุ่มผู้นี้อีกครั้ง บาดแผลที่ปริแตกนี้ดูเหมือนว่าจะอักเสบเล็กน้อย สถานการณ์ค่อนข้าง…
ไม่ดีเลย
“อืม!” ชายหนุ่มที่ไม่ได้สติส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ครั้นได้ยินเสียงนั้น ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็สั่นสะท้าน
น้ำเสียงต่ำที่ทุ้มลึกเช่นนี้ ฟังดูแล้วช่างทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหลเกินไปแล้วจริงๆ นางจะไม่มีวันยอมรับเด็ดขาดว่าตนเองถูกครอบงำด้วยเสียงนี้
หลิงมู่เอ๋อร์พินิจมองไปที่ชายหนุ่มตัวสกปรกคนนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะเพื่อปกปิดรูปลักษณ์ของตนเอง ดังนั้นรูปลักษณ์ของเขาจึงถูกบดบังด้วยคราบสกปรกเหล่านั้น ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่สามารถมองออกได้ว่าอวัยวะบนใบหน้าทั้งห้าของเขาหล่อเหลาคมคายมาก ในยุคสมัยนี้ผู้คนชมชอบท่วงท่าสุภาพเรียบร้อยอ่อนโยนของบัณฑิตร่างบอบบาง บุรุษที่ร่างกายแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่เป็นที่นิยมมากนัก
เพียงแต่ว่า ซั่งกวนเซ่าเฉินที่หลิงมู่เอ๋อร์ชื่นชมนั้นเป็นประเภทบุรุษที่แข็งแกร่ง อย่างไรเสียนางไม่ใช่คนสมัยโบราณแต่โดยกำเนิด นางชื่นชอบบุรุษที่มีความองอาจกล้าหาญมากกว่า
“ตื่นแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงลมหายใจของชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงไม่สม่ำเสมอ นางจึงเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่าเขาลืมตาขึ้นมาแล้ว
นัยน์ตาของโจวฉี่เยี่ยนครื้มลงเล็กน้อย และมองสตรีตรงหน้าอย่างเฉียบคม ในขณะที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังห่มผ้าให้เขา เขาคว้าข้อมือของนางไว้อย่างว่องไว มองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าเป็นผู้ใด? ต้องการทำสิ่งใด? ”
หลิงมู่เอ๋อร์ตบเบาๆ ไปที่มือของเขาอย่างใจเย็น พลางกล่าวอย่างเฉยชาว่า “เจ้าคิดว่าข้าเป็นผู้ใด? ถ้าข้าต้องการจะทำร้ายเจ้า เจ้าคงสิ้นใจไปนานแล้ว นี่คือท่าทีที่เจ้าปฏิบัติต่อผู้มีบุญคุณหรือ?”
“ผู้มีบุญคุณ?” ดวงตาของโจวฉี่เยี่ยนเป็นฉายประกายแปลกประหลาด เขาพินิจมองสาวน้อยตรงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้คิดร้าย “ที่นี่คือ…”
“ที่นี่คือห้องของข้า” นัยน์ตาของหลิงมู่เอ๋อร์ฉายประกาย เผยรอยยิ้มชั่วร้าย “ห้องของหญิงสาวไม่ใช่ว่าจะเข้ามาได้ง่ายขนาดนั้น ข้าช่วยเจ้าไว้ และเจ้าก็บุกเข้ามาในห้องของข้า หลังจากนี้ไปเจ้าก็เป็น… คนของข้าแล้ว”
โจวฉี่เยี่ยนตกตะลึง แววตาของเขาฉายประกาย ใบหน้าของเขาเผยสีหน้าลำบากใจ สามารถมองเห็นริ้วแดงที่ปรากฏบนใบหน้าผ่านคราบเปรอะเปื้อนที่จงใจปลอมตัวได้
ครั้นหลิงมู่เอ๋อร์เห็นท่าทางเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ “เจ้าช่างหลอกง่ายเสียจริง”
“แม่นาง…” โจวฉี่เยี่ยนทำอะไรไม่ถูก
หลังจากแน่ใจแล้วว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใช่คนไม่ดี และไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลงมาก ครั้นเห็นรอยยิ้มที่ซุกซนของสาวน้อยในขณะนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายประกายอย่างจนปัญญา
อารมณ์แปรปรวนไม่คงที่ ร่างกายไม่อาจรับไหว เขาเอนกายพิงตัวที่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า
“น้องชายของเจ้ากำลังต้มยาให้เจ้าอยู่” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเสียงราบเรียบ “พักผ่อนให้ดีเถิด! หายดีเมื่อใดแล้ว ค่อยตัดสินใจจากไปก็ยังไม่สาย”
“แม่นางช่วยข้าไว้ ข้าไม่รู้ว่าจะขอบคุณอย่างไรดี” โจวฉี่เยี่ยนมองเข้าไปในดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์
ดวงตาของคนไม่อาจโกหกได้ นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาลองหยั่งเชิง ถ้าหลิงมู่เอ๋อร์มีเจตนาไม่ดี อย่างไรก็จะเผยพิรุธออกมาให้เห็นเสมอ เพียงแต่ว่า นัยน์ตาของนางนั้นบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าจะไร้เดียงสายิ่งนักและน่าจะไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าโจวฉี่เยี่ยนฟื้นขึ้นมาแล้ว สิ่งที่สมควรจะกล่าวก็บอกกล่าวอย่างกระจ่างแล้ว ไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ หลังจากนี้ก็ปล่อยให้น้องชายของเขาดูแลเขาไปเองเถิด!
“ที่นี่คือห้องรับรองของบ้านข้า เจ้ากับน้องชายของเจ้าก็พักอยู่ที่นี่เถิด! เมื่อใดที่ต้องการจะไปแล้ว ถึงตอนนั้นค่อยบอกกล่าวก็ยังไม่สาย” หลิงมู่เอ๋อร์หยัดกายลุกขึ้นยืนพลางกล่าว “ข้าจะให้คนมาส่งอาหารให้กับพวกเจ้าทุกวัน พวกเจ้าไม่ต้องไปที่เรือนด้านหน้า”
“ข้าจะจดจำบุญคุณของแม่นางเอาไว้” โจวฉี่เยี่ยนกล่าวอย่างจริงจัง
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ หมุนกายแล้วเดินออกไปจากห้อง
นางช่วยชีวิตผู้คนมามากมายในชาติก่อน มีบางคนที่จดจำบุญคุณ บางคนก็เนรคุณ ยังมีบางคนที่ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น
“มู่เอ๋อร์…” ครั้นหยางซื่อเห็นนางออกมาจากห้องแล้ว จึงรีบคว้าตัวนางเอาไว้ “ได้ยินว่าเจ้าพาพี่น้องคู่หนึ่งกลับมา เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“พี่ชายของพี่น้องคู่นั้นป่วยหนัก ดูแล้วอาการสาหัสเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากข้าไม่ช่วยเขา เกรงว่าเขาคงมีชีวิตไม่รอดถึงคืนนี้เจ้าค่ะ ท่านแม่ถือศีลกินเจ จิตใจดีเป็นที่สุดแล้ว ท่านคงไม่อยากเห็นชีวิตหนึ่งชีวิตหายไปต่อหน้าต่อตาของพวกเรากระมังเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวตามความเป็นจริง
“ร้ายแรงขนาดนั้นเชียว!” หยางซื่อกล่าวอย่างเจ็บปวดใจ “ช่างเป็นเด็กที่น่าสงสารจริงๆ พวกเราต้องปฏิบัติต่อพวกเขาให้ดีหน่อย”
“ข้าตัดสินใจรับพวกเขาพี่น้องไว้ก่อน รอให้บาดแผลของพวกเขาหายดีแล้ว ค่อยตัดสินใจว่าให้พวกเขาอยู่หรือไป” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “เพียงแต่ว่าในช่วงนี้ต้องรบกวนทุกคนช่วยดูแลพวกเขาสักหน่อย ในเมื่อพาพวกเขากลับมาแล้ว ก็ช่วยให้ถึงที่สุดเถิดเจ้าค่ะ!”
“เมื่อครู่ข้าเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง นั่นคงเป็นน้องชายกระมัง? ดูจากรูปร่างหน้าตาของเขาแล้ว น่าจะไม่ใช่เด็กที่ไม่ดี แม่เชื่อในสายตาของเจ้า” หยางซื่อกล่าวอย่างอ่อนโยน “ทั้งหมดที่มาถามเจ้า เพราะอยากรู้สถานการณ์ให้แน่ชัด ถึงอย่างไรพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าสองคน จะต้องรู้ที่มาที่ไปของพวกเขาก่อน”
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า “ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่มีอันใดแล้ว แม่จะไปทำงานต่อ เด็กหนุ่มสองคนนั้นยังไม่ได้ทานอาหารใช่หรือไม่? ข้าจะไปหาอาหารมาให้พวกเขาทาน” หยางซื่อกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่ด้านหลังของหยางซื่อ แม่ราคาถูก [1] ของนางผู้นี้เป็นใจอ่อนเกินไป สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ดี และก็เป็นเรื่องไม่ดี หวังซื่อที่เห็นนิสัยของนางน่ากลั่นแกล้ง ดังนั้นจึงรังแกนางมาตลอดหลายปี นางจะต้องค่อยๆ โน้มนำหยางซื่อ ทำให้นางเข้าใจว่าควรจะใจดีในเวลาที่ควรใจดี และไม่ควรใจดีเกินไปในเวลาที่ไม่ควรใจดี
การค้าของเหลาอาหารสกุลหลิงดีขึ้นเรื่อยๆ กำไรต่อวันอยู่ระหว่างยี่สิบตำลึงถึงห้าสิบตำลึง เมื่อเทียบกับโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แล้ว เงินเพียงเล็กน้อยนี้ไม่นับว่าเป็นอันใด แต่ว่าพวกเขาเป็นเพียงร้านอาหารเล็กๆ ธรรมดาเท่านั้น ลูกค้าก็เป็นเพียงชาวบ้านคนธรรมดา ร้านอาหารคุณภาพดีราคาย่อมเยา นี่คือรูปแบบของร้านค้าพวกเขา และก็เป็นเหตุผลที่ดึงดูดผู้คนให้มาที่นี่หลังจากได้ยินข่าว
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ดูแลการค้าในร้าน ช่วงระยะนี้นางวางแผนที่จะหมักสุรา กิจการที่ทำกำไรได้มากที่สุดในเหลาอาหารนอกจากอาหารแล้ว ยังมีสุราชั้นดี สุราที่วางขายในตลาดตอนนี้หยาบเกินไป นางไม่เคยชินกับการดื่มมัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้นางหมักสุรารสชาติที่ดีกว่านี้ออกมา และนางยังสามารถเติมสมุนไพรบางชนิดลงในสุราได้อีกด้วย ดื่มหนึ่งจอกเล็กทุกวันจะสามารถช่วยบำรุงร่างกายได้อย่างแน่นอน
“คุณหนู…” อาสะใภ้ฝูวิ่งมาที่เรือนด้านหลัง ในเวลานี้รอบเอวของนางยังมัดผ้ากันเปื้อนเอาไว้และมือทั้งสองข้างยังเปื้อนแป้งอยู่ นางรีบวิ่งเข้ามาอย่างกระวนกระวาย เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
“เกิดอันใดขึ้น?” หลิงมู่เอ๋อร์ซึ่งกำลังย้ายโอ่งหมักสุรามองอาสะใภ้ฝูอย่างสงสัย ดวงตาฉายประกายสงสัยเคลือบแคลง
“มีคนจำนวนหนึ่งมาในร้าน… พวกอันธพาลจำนวนหนึ่ง… ท่านรีบไปดูเถิด” อาสะใภ้ฝูกระทืบเท้าอย่างกระวนกระวาย “นี่จะทำอย่างไรดีเจ้าคะ? นายท่านหยางออกไปซื้อวัตถุดิบแล้ว นายท่านหลิงไปส่งอาหารให้บ้านของลูกค้าผู้หนึ่ง บัดนี้คนที่เหลือทั้งหมดล้วนเป็นสตรี ถ้าหากพวกอันธพาลเหล่านั้นสร้างปัญหาขึ้นมา พวกเราก็จะเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง”
หลิงมู่เอ๋อร์หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้ววางของในมือลง พลางเอ่ยอย่างเย็นยะเยือก “มัวยืนอยู่ที่นี่ทำสิ่งใด? ยังไม่รีบไปอีก”
อาสะใภ้ฝูมองแผ่นหลังของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างตะลึงงัน ครั้นนึกถึงท่าทางของเจ้านายตัวน้อยเมื่อสักครู่ นางก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้นมา
สายตาของแม่นางผู้นี้ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์รีบเข้าไปในร้าน เห็นว่าในร้านที่มีลูกค้าเต็มอยู่ตลอดเวลา ยามนี้กลับไม่มีลูกค้าสักคน มีเพียงแต่ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่จำนวนสิบกว่าคนที่กำลังเผชิญหน้ากับบ่าวรับใช้สองคนที่นางซื้อกลับมา เมื่อเห็นท่าทางของบ่าวรับใช้สองคนนั้น นางจะต้องบอกว่าไม่ได้เลี้ยงพวกเขาอย่างเปล่าประโยชน์ เห็นได้ชัดว่าชายร่างกำยำเหล่านั้นไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้อย่างง่ายๆ แต่พวกเขากล้าที่จะออกมาปกป้องผลประโยชน์ของเจ้านาย
หยางซื่อถูกแม่เฒ่าที่ทำงานทั่วไปคอยปกป้องอยู่ด้านหลัง หยางซื่อเป็นคนขี้ขลาดตาขาวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การต่อสู้เช่นนี้ทำให้นางกลัวจนตัวสั่น แน่นอนว่าไม่กล้าที่ออกมาจะโต้เถียงกับคนเหล่านั้น
“โอ้ สาวน้อยหนึ่งนางมาแล้ว” อันธพาลคนหนึ่งในกลุ่มผิวปากใส่หลิงมู่เอ๋อร์ “หน้าตาไม่เลวเลย! อยากกลับไปเล่นสนุกกับพวกพี่ชายหรือไม่? ”
อันธพาลคนนั้นกล่าว แล้วส่งเสียงหัวเราะอย่างมีเลศนัยออกมา เหล่าคนอันธพาลที่อยู่ด้านข้างๆ ก็หัวเราะส่งเสียงหัวเราะดังตามมาด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์พินิจมองพวกคนอันธพาลเหล่านี้
หากนางจำไม่ผิด พวกอันธพาลเหล่านี้เป็นอันธพาลที่รู้จักกันดีในเมือง พวกเขามีกลุ่มพรรคพวกที่มีชื่อเรียกขานกันว่า มีดเดียวอะไรสักอย่างคอยช่วยเหลือ ยามปกติแล้วเขาจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ในเมือง พวกมันจะเลือกลงมือกับพ่อค้าร่ำรวยมั่งคั่งเท่านั้น ไม่กล้าที่จะหาเรื่องผู้ที่มีอำนาจ กล้ารังแกเพียงแต่คนที่ไม่มีคนคอยหนุนหลังเหล่านั้น
“เหอะ! อยากเล่นใช่หรือไม่? ตอนนี้พวกเราก็เล่นได้” หลิงมู่เอ๋อร์สาวเท้าไปข้างหน้า และหยุดลงตรงเบื้องหน้าของพวกเขา “ลูกค้าของข้าถูกพวกเจ้าทำให้กลัวจนหนีไปหมดแล้ว ความเสียหายครั้งนี้… พวกเจ้าวางแผนจะชดใช้อย่างไร? ”
พวกคนอันธพาลใช้สายตาแปลกประหลาดมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ หัวหน้าของพวกอันธพาล ชายผู้นั้นที่มีนามว่าหวังซื่อหัวเราะเยาะพลางกล่าว “แม่สาวน้อย เบื่อหน่ายชีวิตแล้วกระมัง?”
“ข้าไม่ได้เบื่อหน่ายกับชีวิต แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากที่เบื่อหน่ายแล้วจริงๆ ” แววตาของหลิงมู่เอ๋อร์เย็นชา “หากพวกเจ้าไม่ชดใช้ค่าเสียหายของพวกข้าในวันนี้ ก็อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะออกไปจากที่นี่ทั้งยังมีชีวิตอยู่อีกเลย สถานที่ของข้าแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่พวกเจ้าอยากจะมาก็มาอยากจะไปก็ไป”
“นางเด็กตัวเหม็น…” หวังซื่อหันไปบอกกับพรรคพวก “จับนางเด็กปากคอเราะรายผู้นี้มา เปลื้องเสื้อผ้าของนางออกแล้วโยนนางออกไปข้างนอกเสีย”
ครั้นหยางซื่อได้ยินคำพูดของหวังซื่อ รูม่านตาของนางก็หดแคบลง ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว นางรีบวิ่งถลาเข้ามา ยืนขวางอยู่ด้านหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ พลางกล่าวเสียงดังว่า “พวกเจ้าอย่าได้แตะต้องบุตรสาวของข้า ถ้าหากพวกเจ้ากล้ารังแกบุตรสาวข้า ข้าจะวิ่งเอาหัวชนให้ตายอยู่ที่นี่ ถ้าหากเกิดเรื่องถึงชีวิตคนแพร่งพรายออกไป ท่านใต้เท้านายอำเภอจะตัดสินแทนพวกข้า พวกเจ้าทำเรื่องอะไรไว้จงอย่าลืมผลที่จะตามมา”
“ฮ่า… พวกเจ้าฟัง… คำพูดนี้กล่าวได้…ทำเหมือนกับว่าพวกเราสนใจความเป็นความตายของนางมากนักหรือ แก่จนผิวเหี่ยวแล้ว คิดว่าตนเองเป็นนางเซียนอย่างนั้นหรือ” อันธพาลคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายกับลิงก็มิปาน ส่งเสียงหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเป็นสหายหรือเป็นภรรยาข้าหรือ เจ้าจะตายหรือไม่ตายเกี่ยวข้องอันใดกับข้า? อยากตายก็ไปตายให้มันไกลๆ ”
“พวกเจ้า…พวกเจ้า…” ครั้นหยางซื่อได้ยินก็โมโหจนเกือบจะเป็นลมล้มไป หากคำพูดเช่นนี้หลุดออกไป นางจะยังมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่?
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่คนอันธพาลเหล่านั้นอย่างเฉียบคม นางยิ้มบางๆ ในดวงตาฉายประกายแสงเย็นยะเยือกของความชั่วร้ายออกมา “รนหาที่ตาย!”
เชิงอรรถ
[1] แม่ราคาถูก(便宜娘亲) หมายถึง เป็นชื่อเรียกของแม่นางเอกหลังจากการทะลุมิติข้ามเวลามา และไม่ใช่แม่ของนางเอกคนที่ก่อนทะลุมิติข้ามเวลา ซึ่งทำให้นางเอกรู้สึกว่าแม่เช่นนี้เหมือนกับเก็บได้ ได้มาโดยอย่างง่าย