เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 58 มอบยา
เล่มที่ 2 บทที่ 58 มอบยา
รัตติกาลอันมืดมิดนี้ไร้ซึ่งจันทรา แสงมืดสลัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเข้าใจผิดไปหรือไม่ ถึงได้รู้สึกว่าค่ำคืนนี้มีกลิ่นอายอันตรายบางอย่างคืบคลานเข้ามา กดข่มจนทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
หลิงมู่เอ๋อร์เคาะประตูของห้องด้านข้าง เอ่ยกับคนที่อยู่ด้านในว่า “พี่ใหญ่ ข้าสามารถเข้าไปข้างในได้หรือไม่เจ้าคะ?”
เอี๊ยด!ประตูบานใหญ่เปิดออก หนานกงอี้จือทำหน้าทะเล้นพลางเอ่ย “แม่นางมู่เอ๋อร์ พวกข้ากำลังรอเจ้าอยู่เลย!”
หลิงมู่เอ๋อร์เดินผ่านข้างกายของเขาและเดินไปยังทิศทางของบุรุษผู้ที่อยู่ด้านใน คนผู้นั้นกำลังเช็ดดาบเล่มหนึ่งอยู่ ดาบเล่มนั้นแหลมคมเป็นอย่างยิ่ง ขนาดอยู่ในระยะไกลยังรู้สึกถึงไอสังหารของมันได้
ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นนางเดินเข้ามาจึงเก็บดาบเล่มนั้นลง กล่าวกับนางอย่างราบเรียบว่า “ถ้าหากว่ามีคนสอบถามถึงข้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามให้เจ้ากล่าวว่าไม่รู้ก็พอ อยู่ที่นี่ข้าได้ปกปิดสถานะของตนเองและยังลบร่องรอยทั้งหมดแล้ว คนธรรมดาไม่อาจหาพบได้ ถึงแม้ว่าจะมีคนมาบีบบังคับเจ้า แต่ก็ไม่อาจเผยความลับให้เล็ดลอดออกมาได้ ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจ้าแล้ว คิดว่าเรื่องนี้คงไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ นำห่อของที่อยู่ในมือยื่นให้กับบุรุษที่อยู่ตรงข้าม
ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดที่จะรับมา แต่หนานกงอี้จือที่อยู่ด้านข้างรับไปก่อน เปิดห่อของไปพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีไปพลาง “เป็นสิ่งใดกันแน่?ทำเป็นลึกลับไปได้”
หลิงมู่เอ๋อร์มองหนานกงอี้จืออย่างไม่พอใจ หันไปด้านข้างเอ่ยกับซั่งกวนเซ่าเฉินว่า “ท่านจะพาเขาไปด้วยจริงๆ หรือเจ้าคะ?หากอันตรายมากๆ ก็โยนคนผู้นี้ทิ้งไปเสียเถิดเจ้าค่ะ!”
สีหน้าของหนานกงอี้จือผงะไปครู่หนึ่ง ถลึงตาจ้องไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่พอใจ “เจ้าเด็กสาวผู้นี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง เหตุใดถึงได้ยุยงให้ความสัมพันธ์ของพวกข้าพี่น้องแตกหักได้ล่ะ?”
“ข้าเพียงแค่ให้คำแนะนำที่สมเหตุสมผลกับพี่ใหญ่เท่านั้น ด้วยนิสัยที่ไม่หนักแน่นสุขุมอย่างเจ้า ไม่แน่ว่าอาจจะไปเป็นภาระให้พี่ใหญ่ของข้าก็เป็นได้” หลิงมู่เอ๋อร์เบะปากพลางกล่าว
หนานกงอี้จือหัวเราะแห้งๆ หยิบขวดในห่อออกมา พลางเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “สิ่งของเหล่านี้คืออันใดหรือ?”
“ของเหล่านี้ล้วนเป็นยารักษาบาดแผล นี่เป็นสิ่งที่ข้าจัดเตรียมให้พี่ใหญ่โดยเฉพาะ พี่ใหญ่ ท่านต้องเก็บเอาไว้อย่างดีนะเจ้าคะ ต่อไปจะต้องได้ใช้อย่างแน่นอน ยาเหล่านี้ไม่เหมือนกับยาที่ใช้รักษาบาดแผลทั่วไป” นั่นเป็นยาที่ทำด้วยสมุนไพรในมิติของนาง ย่อมแตกต่างจากผู้อื่นแน่นอน
หนานกงอี้จือเปิดขวดยาหนึ่งขวดออกมาวางไว้บริเวณจมูกแล้วลองดมกลิ่น “ยาดี เรื่องอื่นข้าอาจจะไม่เชี่ยวชาญ แต่เรื่องยาพวกนี้… ที่เรือนของข้ามีห้องโอสถมากมาย แม้แต่ยาใดเป็นยาดีหรือไม่ดีข้ายังดูไม่ออก เช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าก็อยู่อย่างไร้ประโยชน์แล้ว แม่นางมู่เอ๋อร์ ยานี่เจ้าเป็นคนทำเองหรือ?ไม่อาจไม่บอกได้ว่า สิ่งนี้เป็นยาชั้นยอดจริงๆ”
หลิงมู่เอ๋อร์หันมายิ้มให้หนานกงอี้จือเล็กน้อย จากนั้นจึงหันกลับไปมองซั่งกวนเซ่าเฉินแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าพวกเราจะได้พบกันอีกเมื่อใด ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ เจ้าค่ะ หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าก็คงตัวแข็งตายหรือหิวตายไปในหิมะนั้นตั้งนานแล้ว หลังจากนี้หากมีวาสนาต่อกัน พวกเราคงได้พบกันอีกกระมังเจ้าคะ?”
ครั้นนึกถึงว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะต้องจากไป ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา มีบางอย่างผิดปกติ
ซั่งกวนเซ่าเฉินเอื้อมมือออกไปสัมผัสที่เส้นผมของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น พวกเราจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ “เช่นนั้นข้าก็จะไม่ส่งพวกท่านแล้ว พวกท่านโปรดรักษาตัวด้วย ภายในห่อนั้นยังมีเนื้อแห้ง เก็บไว้ทานในระหว่างทาง ข้าไม่ได้บอกแก่ท่านพ่อท่านแม่ รอให้พวกท่านไปกันแล้วค่อยบอกพวกเขาอีกที ท่านก็รู้ว่าพวกท่านเป็นคนซื่อตรง โกหกไม่เก่งเป็นที่สุด เพราะฉะนั้น ถึงตอนนั้นข้าก็จะบอกว่าพวกท่านไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องเจ้าค่ะ”
“อืม เด็กน้อย…” ปลายนิ้วของซั่งกวนเซ่าเฉินเลื่อนลงมาจากเส้นผมของนาง หยุดอยู่ที่พวงแก้มของนาง “เจ้าไปที่เมืองหลวงเถิด เพียงแค่เจ้าไปเมืองหลวง พวกเราก็จะได้พบกัน การจากลาอย่างในวันนี้ ก็เพื่อที่จะได้พบเจอกันในวันข้างหน้า”
ครั้นคิดว่าจะไม่ได้เจอสาวน้อยผู้นี้แล้ว ในใจของซั่งกวนเซ่าเฉินก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนบางอย่าง เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน ไม่เคยมีความรู้สึกซับซ้อนเช่นนี้มาก่อน
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะออกมา “วางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปเมืองหลวงอย่างแน่นอน เมืองหลวงเป็นเมืองหลักของแว่นแคว้น ถ้าขนาดเมืองหลวงยังไม่ไป เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ก็ไร้ความหมายแล้ว”
“เหอะ!เจ้าเด็กสาวผู้นี้ช่างคุยโวเสียจริง จะต้องรู้ว่ามีผู้คนมากมายที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยก้าวออกจากเมืองนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่กี่ปีเจ้าก็อาจจะแต่งงานดูแลสามีเลี้ยงดูบุตรอยู่ในชนบทก็ได้ ถึงตอนนั้นจะมีโอกาสใดไปเมืองหลวงที่เป็นเมืองหลักของแว่นแคว้นอีกหรือ?” หนานกงอี้จือจงใจพูดเร้าหลิงมู่เอ๋อร์
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว มองไปที่หนานกงอี้จืออย่างไม่พอใจ “หุบปาก”
หนานกงอี้จือไม่ได้โกรธในท่าทีไม่ดีของซั่งกวนเซ่าเฉิน ในทางกลับกันเขากำลังแอบยิ้มกระหย่องอยู่ในใจ แผลการหยั่งเชิงอันแยบยลในครั้งนี้ ลูกผู้พี่ผู้ที่มีใบหน้าเย็นชาถูกทดสอบจนจับได้เสียแล้ว
“คนที่ข้าจะแต่งงานด้วยหากไม่ให้เกียรติข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่แต่งให้ หรือต่อให้แต่งงานไปแล้ว ข้าก็สามารถหย่ากับเขาได้” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะ “ไม่มีชายใดมัดมือและเท้าของข้าได้ แม้ว่าเขาจะเป็นเทพยดาลงมาจุติเป็นมนุษย์ นั่นก็ไม่อาจรั้งข้าเอาไว้ได้”
หนานกงอี้จือมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างนิ่งอึ้ง ในใจตะลึงงันไม่กล้ากล่าวอันใดออกไป เด็กสาวผู้นี้ช่างคุยโวเสียจริง ไม่เกรงกลัวว่าฟ้าจะผ่าลงมาที่ลิ้นเอาเสียเลย [1] แม้ว่านางจะน่าสนใจกว่าหญิงสาวธรรมดาอยู่เล็กน้อย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะถึงขั้นหลงระะเริงได้ขนาดนี้ ถ้าหากมีความคิดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าเด็กสาวผู้นี้ก็อาจจะได้รับโทษไปบ้างแล้ว
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้ตื่นตกใจอันใด เขาทอดมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอบอุ่น พยักหน้าพลางกล่าวว่า “กล่าวได้ถูกต้อง”
หนานกงอี้จือเบะปาก ส่ายศีรษะเบาๆ พลางบ่นอุบอยู่ในใจว่า ดูเหมือนว่าจะมีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะพะเน้าพะนอนาง เช่นนั้นก็ต้องมาดูกันว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจะมีวาสนาต่อกันจริงหรือไม่
ครึ่งชั่วยามต่อมา หนานกงอี้จือและซั่งกวนเซ่าเฉินก็ออกไปจากเหลาอาหารสกุลหลิง หลิงมู่เอ๋อร์ทอดมองเงาร่างของพวกเขาหายวับไปกับความมืดยามราตรี ในใจก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปนี้ไม่น้อย
“มู่เอ๋อร์…” หยางซื่อมองเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ยืนอยู่ที่ในลานบ้าน ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “นี่เจ้าเป็นอันใดไป?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ได้นำเรื่องที่พวกเขาจากไปบอกกล่าวกับคนในครอบครัว ในเมื่อหยางซื่อถามขึ้นมาแล้ว นางคิดว่าที่จะบอกกับพวกเขาตามที่ตั้งใจไว้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกเขาหลุดเปิดเผยสิ่งใดออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
ภายในห้องของถังซื่อ หลิงมู่เอ๋อร์นำเรื่องที่ซั่งกวนเซ่าเฉินพวกเขาสองพี่น้อง ‘ไปอาศัยอยู่กับญาติ’ บอกกล่าวแก่กับทุกคน
“เหตุใดกล่าวว่าจะไปก็ไปเลยกัน?” หยางซื่อบ่นออกสองสามประโยค “แม้ว่ารีบร้อนจะไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องเพียงใด ก็ไม่ถึงกับต้องรีบขนาดนี้ก็ได้กระมัง?”
“พี่ใหญ่ผู้นี้กลัวในน้ำใจไมตรีของผู้อื่นเป็นที่สุด เขากังวลว่าหลังจากบอกกับพวกท่านไปแล้วจะทำให้พวกท่านเสียใจ” หลิงมู่เอ๋อร์จับมือของหยางซื่อพลางกล่าว “ภายหลังก็จะได้พบกันอีกเจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่เคยพูดว่าจะช่วยเจ้าไปสักระยะหนึ่งหรือ?เหตุใดถึงพูดว่าจะไปอาศัยอยู่กับญาติพี่ก็ไปเสียแล้ว?นี่ช่างกะทันหันเกินไปกระมัง” หลิงต้าจื้อดื่มน้ำ พลางกล่าวเสียงเบา “พี่ใหญ่เจ้าไปแล้ว กำลังคนของพวกเราก็ยิ่งไม่เพียงพอ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?”
“ข้าได้คิดไว้นานแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้การค้ากำลังไปได้ดี ถ้าหากการค้าดีเช่นนี้ต่อไป คนในบ้านของพวกเราก็ต้องเหนื่อยจนแย่แน่ๆ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ไม่สู้… ข้าไปซื้อสาวใช้มาเป็นลูกมือสักสองคน แล้วก็ซื้อพ่อครัวที่มีความรู้ทางการทำอาหารด้วยอีกสองคนเจ้าค่ะ”
“พวกเราเพิ่งเริ่มทำการค้าได้เพียงสองวันก็จะซื้อสาวใช้แล้ว?ถ้าหากต่อไปการค้าไม่ดีเช่นนี้แล้วก็มิใช่ว่าจะขาดทุนมหาศาลเชียวหรือ?” หยางซื่อตกตะลึง “ไม่ได้ รอดูอีกสักหน่อยเถิด!”
“ท่านแม่ ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ท่านแม่คงตัดใจให้บุตรสาวติดอยู่กับหม้อและกระทะทุกวันไม่ได้หรอกกระมังเจ้าคะ?ระยะนี้บุตรสาวของท่านเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยอย่างน้อยใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้าลําบากแล้ว” หยางซื่อเห็นท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมของหลิงมู่เอ๋อร์ ก็ทำใจไม่ได้ “ไม่เช่นนั้น เจ้าสอนแม่ แม่จะช่วยเจ้าผัดอาหาร”
“ข้าก็ตัดใจที่ต้องทำให้ท่านแม่เหน็ดเหนื่อยไม่ได้เช่นกันเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์พิงตัวอยู่ในอ้อมกอดของหยางซื่อพลางกล่าวออดอ้อน “ท่านแม่ แม่เชื่อข้าเถิดเจ้าค่ะ!”
“เอาล่ะ ฟังมู่เอ๋อร์เถิด!” หลิงต้าจื้อตัดสินใจเด็ดขาดในประโยคเดียว “เจ้าเด็กผู้นี้มีความคิดและสมองก็ใช้การได้ดีกว่าพวกเรา เชื่อนางย่อมไม่มีปัญหา”
“พ่อของลูก ตอนนี้เจ้าตามใจมู่เอ๋อร์มากเกินไปแล้ว” หยางซื่อเอ่ยอย่างเคืองๆ
“มู่เอ๋อร์…” ถังซื่อเอื้อมมือไปยังทิศทางของหลิงมู่เอ๋อร์ “ดวงตาของข้าเหมือนจะมองเห็นแสงได้แล้วเล็กน้อย ข้าใกล้จะหายดีแล้วใช่หรือไม่?”
ครั้นได้ยินถังซื่อกล่าวเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ด้านข้างก็รีบร้อนล้อมรอบเข้ามา พวกเขาไถ่ถามถังซื่อด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ตรวจดูอาการดวงตาของถังซื่อ
หลิงมู่เอ๋อร์จับชีพจรของถังซื่อ จากนั้นก็ตรวจดูดวงตาของถังซื่ออีกครั้ง นางพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ดีขึ้นบางส่วนแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ว่ายังต้องใช้เวลาดูแลรักษาไปอีกสักระยะหนึ่ง”
“เช่นนั้นต้องรออีกนานเท่าใด?ข้ายังอยากจะช่วยพวกเจ้าทำงาน!ตอนนี้ทั้งครอบครัวก็มีเพียงข้าที่ไร้ประโยชน์” ถังซื่อเอ่ยอย่างเศร้าโศก
“ท่านยาย ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้ ขอเพียงแค่ท่านอยู่กับพวกข้าอย่างดี นั่นก็เพียงพอแล้วขอรับ ท่านเป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกข้านะขอรับ” หลิงจื่อเซวียนกล่าวอย่างอบอุ่น “อีกอย่าง ท่านก็ไม่ได้ไม่ทำอันใด พวกเด็กๆ ยังต้องการให้ท่านดูแล!หากไม่ใช่ว่ามีท่านคอยดูแล เสี่ยวหู่กับจืออวี้ก็ไม่รู้ว่าจะซุกซนจนเป็นเช่นไรแล้ว?”
“เสี่ยวหู่เป็นเด็กซน แต่ว่าจืออวี้เป็นเด็กดี เจ้าอย่าได้ว่าเขาเช่นนี้” ถังซื่อได้ยินก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาชั่วขณะ
“ท่านย่า ข้าก็เป็นเด็กดีนะขอรับ” หยางเสี่ยวหู่มุ่ยปาก “ท่านย่าช่างลำเอียงเสียจริง”
“ฮ่า…” ถังซื่อกอดศีรษะของหยางเสี่ยวหู่ ดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั่นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เป็นความผิดของย่า ย่าพูดผิดไปเอง”
มีความน่ารักของหยางเสี่ยวหู่ขึ้นมาขัดจังหวะ ถังซื่อก็ไม่ได้เศร้าสลดใจอีกต่อไป คนสกุลหลิงกำลังคำนวณรายได้ของวันนี้ ถึงแม้ว่าไม่ได้หาได้เยอะเหมือนในวันแรก แต่ก็มากกว่าครึ่งหนึ่ง รายได้ที่ได้นี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขา เกินการคาดการณ์ของพวกเขาเอาไว้มาก
ทุกคนหารือกันเล็กน้อย ตามรายได้ในปัจจุบัน ยังมีปัญหาเรื่องกำลังคนช่วยงานของครอบครัวพวกเขาอยู่ สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจซื้อพ่อครัวสองคน เด็กรับใช้ชายไว้คอยยกอาหารอีกสองคน ยังมีบ่าวหญิงเฒ่าสองคนให้มาช่วยเรื่องทั่วไปที่เรือนหลัง เหตุที่ล้มเลิกความคิดที่จะซื้อสาวใช้นั้น เป็นเพราะว่าอาชีพที่พวกเขาทำนี้จะต้องพบเจอกับชายหนุ่มไม่น้อย มีสตรีบางคนไม่ซื่อสัตย์ ถ้าหากเจอลูกค้าที่ร่ำรวยก็ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอันใดขึ้นมาหรือไม่ หลังจากคิดใคร่ครวญแล้ว การซื้อข้ารับชายค่อนข้างปลอดภัยและยังคุ้มค่ากว่า ในช่วงเวลาคับขันยังสามารถต่อสู้ได้อีกด้วย
แน่นอนว่า ในมือของนางมีสิ่งของที่ซั่งกวนเซ่าเฉินทิ้งไว้ให้ ถ้าเกิดพบเจออันตรายขึ้นมาจริงๆ ก็นำสิ่งของยืนยันที่เขาทิ้งไว้ให้ไปหาพวกพี่น้องเหล่านั้นของเขาได้
วันต่อมา หลิงมู่เอ๋อร์มอบหมายหน้าที่ให้หลิงต้าจื้อ ถึงอย่างไรหลิงต้าจื้อก็เคยทำงานด้านนอกมาก่อน ย่อมรู้ว่าที่ใดมีนายหน้าที่สามารถเชื่อถือได้
เวลาประมาณเที่ยงวัน หลิงต้าจื้อพาคนกลับมาด้วยเจ็ดคน
ตอนนี้เป็นช่วงที่กำลังยุ่งอยู่พอดี หลิงต้าจื้อให้คนหนุ่มสองคนเริ่มทำงานทันที ให้คอยช่วยหลิงมู่เอ๋อร์ยกน้ำชารินน้ำและคอยช่วยยกอาหารให้ลูกค้า แม่เฒ่าสองคนนั้นก็เข้าประจำหน้าที่ของตนเองทันทีเช่นกัน และสุดท้ายเหลือเพียงชายหนึ่งคนหญิงหนึ่งคนและเด็กชายอีกหนึ่งคน
เด็กคนนั้นอายุมากกว่าหลิงจื่ออวี้เพียงเล็กน้อย รูปร่างหน้าตาผอมแห้งและตัวดำคล้ำ นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชายหญิงคู่นั้นรูปร่างหน้าตาธรรมดา มองไม่ออกว่ามีความสามารถพิเศษอันใด
หลิงต้าจื้อตั้งใจแนะนำสามคนนี้ให้หลิงมู่เอ๋อร์ “พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน นี่เป็นบุตรชายของพวกเขา เดิมทีพวกเขาเป็นข้ารับใช้ที่เกิดในจวนของตระกูลสูงศักดิ์มาก่อน รับผิดชอบหน้าที่งานในครัว เพียงแต่ว่าคุณหนูนางหนึ่งของจวนหลังนั้นสิ้นใจ กล่าวว่าโดนวางยาพิษ จึงทำให้พวกเขาที่เป็นข้ารับใช้ในห้องครัวถูกส่งออกไปขายทั้งหมด”
หลิงมู่เอ๋อร์วางสิ่งของในมือลง พินิจมองทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้า
แววตาของสองสามีภรรยาคู่นั้นว่างเปล่า ท่าทางเหมือนกับยอมรับในชะตาชีวิตแล้ว เด็กชายคนนั้นถึงแม้จะหวาดกลัวคนแปลกหน้า แต่ว่าแววตาคู่นั้นก็มีความเฉลียวฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังมีความสงสัยใคร่รู้ต่อที่นี่อีกด้วย
“เด็กคนนี้อายุยังน้อยเกินไป ให้เขาไปเล่นเป็นเพื่อนจืออวี้เถิดเจ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยกับเด็กคนนั้น “ส่วนพวกเจ้า ในเมื่อเคยทำงานในครัวมาก่อน ก็มายืนดูอยู่ด้านข้าง ข้าให้เวลาพวกเจ้าเพียงแค่สามวันเท่านั้น พวกเจ้าจะต้องทำอาหารที่อยู่บนรายการอาหารทั้งหมดออกมา หลังจากนี้พวกเจ้าสองสามีภรรยาก็จะต้องรับหน้าที่งานในครัว ที่นี่ของข้าไม่เหมือนกับบ้านตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อันใดมากมาย แต่ว่าข้าก็มีหลักเกณฑ์ของข้าเช่นกัน ถ้าพวกเจ้าแอบทำตัวเกียจคร้าน หรือว่าฉวยโอกาสในตอนที่ข้าไม่ได้สนใจลักขโมยสิ่งของหรือเงินทอง หรือยิ่งไปกว่านั้นคือมือเท้าไม่สะอาด ข้าก็จะให้พวกเจ้าหายสาบสูญไปในที่สุด ในทางกลับกัน ถ้าพวกเจ้าทำงานได้ดี ทำให้คนในสกุลหลิงพึงพอใจ ข้าก็จะให้ตกรางวัลให้กับพวกเจ้าสองสามีภรรยา บุตรชายของพวกเจ้าก็จะมีโอกาสเล่าเรียนหนังสือในสถานศึกษาด้วย”
เชิงอรรถ
[1] ไม่เกรงกลัวว่าฟ้าจะผ่าลงมาที่ลิ้น (不怕闪到了舌头) หมายถึง คนที่คุยโตโอ้อวด พูดเรื่องโกหกไม่เป็นความจริง หรือคำพูดเหล่านั้นไม่เป็นจริง