เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 52 สกุลหลิง
เล่มที่ 2 บทที่ 52 สกุลหลิง
ถังซื่อฟื้นขึ้นมา ทุกคนในบ้านล้วนรู้สึกราวกับได้วางก้อนหินก้อนใหญ่ในใจลง
วันพรุ่งนี้ก็จะเปิดกิจการ ในเมื่อถังซื่อไม่เป็นอันใดแล้ว พวกเขาก็จะให้หลิงจื่ออวี้คอยอยู่เป็นเพื่อนนาง หลิงมู่เอ๋อร์จะต้องเป็นผู้นำคอยจัดแจงงานในร้านสำหรับวันเปิดกิจการ อย่างเช่นวันมงคลที่เปิดกิจการ เพียงแค่จุดประทัดอย่างเดียวก็คงไม่พอ ยังต้องทำการป่าวประกาศให้ดีด้วย แม้ว่าลูกค้าเก่าหลายคนจะตั้งตารอคอยที่จะได้กินอาหารของร้านพวกเขาในเร็ววัน ทว่าสิ่งที่พวกเขารับรู้นอกจากเกี๊ยวแล้วก็มีเพียงข้าวห่อไข่เท่านั้น พรุ่งนี้จะต้องทำให้พวกเขาได้รู้ว่าร้านอาหารแห่งสกุลหลิงกับร้านค้าแผงลอยข้างทางนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ในที่แห่งนี้พวกเขาสามารถลิ้มลองรสชาติอาหารอันโอชารสได้อย่างหลากหลาย สภาพอากาศในตอนนี้ยังคงเหน็บหนาวอยู่มาก เพื่อที่จะให้ผู้คนได้รู้จักร้านอาหารสกุลหลิงมากขึ้น นางตัดสินใจที่จะจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายขึ้นมา
ยามกลางคืน ทุกคนในบ้านล้อมรอบหารือกันในห้องของถังซื่อ ภายในห้องที่เดิมทียังนับว่ากว้างขวาง พอทุกคนนั่งล้วมกันเป็นวงกลม ทำให้ในห้องดูแออัดอย่างเห็นได้ชัด
“พรุ่งนี้จะเปิดกิจการตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเราวางหม้อน้ำแกงใบหนึ่งไว้ที่หน้าประตู ในน้ำแกงจะใส่วัตถุดิบแสนอร่อยต่างๆ ลงไป วัตถุดิบเหล่านั้นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และเสียบใส่ในไม้ ข้าตั้งชื่อให้พวกมันว่า ช่วนช่วน” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายให้คนในบ้านสกุลหลิงฟัง “ในวันพรุ่งนี้จะแจกให้กับคนที่เดินผ่านหน้าร้านทุกคนหนึ่งไม้ เช่นนี้ก็จะทำให้ผู้คนในเมืองรู้จักร้านของพวกเราได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้แล้ว พรุ่งนี้อาหารทุกอย่างจะลดราคาครึ่งหนึ่งเช่นกัน ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย พี่ใหญ่ ท่านลุง แล้วก็คุณชายหนานกง พรุ่งนี้จะต้องยุ่งมากและวุ่นวายมาก ทุกคนจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันรับมือให้ได้นะเจ้าคะ!”
“มู่เอ๋อร์ ถ้าหากรับมือไม่ไหว คุณชายอย่างข้าจะซื้อสาวใช้ให้เจ้าสักสองสามคน เจ้าจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเช่นนี้” หนานกงอี้จือเอ่ยพลางหาวนอนไปด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หนานกงอี้จือด้วยรอยยิ้มคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม คนที่ทำท่าทางกำลังหาวนอนอยู่นั้นชะงักค้าง แล้วมองไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉินที่มีอาการไม่พอใจอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง
“ถือเสียว่าข้าไม่ได้กล่าวก็แล้วกัน” หนานกงอี้จือเอ่ยพลางยิ้มแห้ง
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างเรียบราบ “ถึงแม้ว่าบ้านข้าจะต้องการซื้อสาวใช้ นั่นก็เป็นเรื่องภายในบ้านของข้า คุณชายหนานกงเป็นเพียงแขกที่ผ่านเข้ามาเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วจะต้องกลับไป ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องของบ้านพวกข้าเลย ถ้าหากท่านยินยอม พรุ่งนี้ก็มาช่วยงานพวกข้า ถ้าไม่ยินยอม ก็ยืนดูอยู่เฉยๆ ได้ ข้าไม่ตำหนิท่านหรอก”
“แม่นางมู่เอ๋อร์ ท่านแม่ของมู่เอ๋อร์ ข้าสำนึกผิดแล้ว” หนานกงอี้จือรู้สึกถึงลมปราณที่เข้มขึ้นเล็กน้อยของซั่งกวนเซ่าเฉิน เขาก็รู้แล้วว่าตนเองเผลอไปยั่วยุให้บรรพบุรุษท่านนี้ไม่พอใจเข้าแล้ว เขาจึงรีบร้อนกล่าวขอโทษขอโพย
ด้วยฐานะของหนานกงอี้จือแล้วนั้น การค้าเล็กน้อยเช่นนี้ไม่สะดุดตาเลยจริงๆ หากเขาอยากจะได้เงิน ก็มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ส่งมอบเงินมาเพื่อเอาใจ เขาไม่เคยรู้เลยว่าการหาเงินนั้นต้องลำบากถึงเพียงนี้ ตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายถึงงานที่ยุ่งยากรัดตัวของวันพรุ่งนี้ เดิมทีเขาคิดที่จะชี้นิ้วสั่งให้คนอื่นทำ แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ หลิงมู่เอ๋อร์เกลียดวิธีแก้ปัญหาของลูกผู้ดีมีเงินเช่นนี้มากที่สุด นางชื่นชมบุรุษอย่างเช่นซั่งกวนเซ่าเฉิน เพราะฉะนั้นระหว่างนางกับซั่งกวนเซ่าเฉินจึงเข้ากันได้ดีเป็นอย่างยิ่ง
“หากคำขอโทษใช้ได้ผล จะมีมือปราบไว้ทำสิ่งใดเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ตอบกลับหนานกงอี้จือ และมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ดูคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เอาเช่นนี้เถิด!เพื่อแสดงความจริงใจของท่าน หน้าที่คอยแจกจ่ายช่วนช่วนให้แก่ลูกค้าก็ขอมอบหมายให้ท่านแล้วกัน บาดแผลที่ขาของพี่ชายยังมีจุดบกพร่องอยู่เล็กน้อย ยังไม่ได้หายสนิท พรุ่งนี้คนจะเยอะมาก พี่ชายก็อย่าได้ออกมาด้านนอกเลยเจ้าค่ะ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นมาชนท่าน ถ้าขาของท่านได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง แม้แต่ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น พรุ่งนี้พี่ชายกับท่านแม่ก็ทำงานทั่วไปอยู่ในเรือนด้านหลังด้วยกัน คอยจัดการเรื่องของวัตถุดิบ”
“ได้ได้ ฟังมู่เอ๋อร์” หลิงจื่อเซวียนยังไม่ทันได้เอ่ย หยางซื่อที่อยู่ด้านข้างก็ตอบรับอย่างตื่นเต้น “อาการบาดเจ็บที่ขาของเซวียนจื่อเพิ่งดีขึ้นเพียงเจ็ดแปดส่วน ไม่อาจให้มีเรื่องพลาดพลั้งได้อีก”
หลิงจื่อเซวียนรู้สึกจนปัญญาที่ตนเองเป็นชายชาตรีแต่กลับทำได้แค่งานเบาๆ เท่านั้น แต่ว่าก็เข้าใจว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาไม่อาจทำให้คนในครอบครัวเป็นกังวลได้
หลิงจื่อเซวียนไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ว่าข้อกังขาของหนานกงอี้จือนั้นชัดเจนมาก เขาเป็นนายน้อยผู้สง่าผ่าเผย นึกไม่ถึงเลยว่าจะให้เขาปรากฏตัวลอยหน้าลอยตาอยู่ด้านนอก?แน่นอนว่าเขาเป็นบุรุษ การปรากฏตัวในวงสังคมด้านนอกก็ไม่นับเป็นอันใด แต่ให้เขาทำเรื่องไม่มีเกียรติเช่นนี้ ถ้าหากเกิดข่าวแพร่งพรายออกไป หน้าของนายน้อยหนานกงเช่นเขาจะให้เอาไปไว้ที่ใด?
สัญชาตญาณของหนานกงอี้จืออยากที่จะปฏิเสธ แต่ญาติผู้พี่ของเขาที่จ้องเขม็งอยู่ด้านข้าง นัยน์ตาราวกับมีดดาบคู่นั้นเต็มไปด้วยการคุกคาม เขาที่ถูกบุรุษผู้นี้ใช้อำนาจโดยมิชอบข่มขู่ ทำให้ไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยอันใด ได้แต่ยอมรับการจัดแจงนี้ไปโดยปริยาย
“ข้าทำสิ่งใด?” หลิงต้าจื้อมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างตั้งตารอคอย
“แล้วข้าเล่า?” ท่านลุงหยางต้าหนิวก็มองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์เช่นกัน
บุรุษทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงวัยหนุ่มใหญ่พอดี ถ้าหากเปลี่ยนเป็นครอบครัวอื่น แต่ละคนต่างมีสถานะเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ว่าครอบครัวของพวกเขานั้นกลับสู้เด็กสาวตัวเล็กๆ ผู้เดียวไม่ได้ ทว่าบุรุษสองคนนี้ก็รู้ข้อบกพร่องของตนเองดี ถึงแม้ว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะเป็นเพียงเด็กสาว แต่นางก็แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก การที่ครอบครัวมั่งคั่งจนสามารถมีวันนี้ได้ก็เป็นเพราะเด็กสาวคนนี้
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “พรุ่งนี้จะมีลูกค้ามากมาย แน่นอนว่าท่านพ่อกับท่านลุงต้องทำหน้าที่ต้อนรับลูกค้าเจ้าค่ะ เพราะเรื่องหลังครัวล้วนต้องพึ่งข้า ข้าไม่อาจห่างจากห้องครัวได้ หน้าร้านก็มีแต่ต้องพึ่งบุรุษอย่างพวกท่านทั้งหลายแล้ว ส่วนพี่ใหญ่ สมองของพี่ใหญ่ดีและคิดบัญชีเป็น หน้าที่เก็บเงินก็เป็นของพี่ใหญ่แล้วกันเจ้าค่ะ”
“ทุกคนต่างมีงานทำ ยายแก่อย่างข้าผู้นี้ทำอันใดไม่ได้เลย” ถังซื่อที่นั่งอยู่ที่นั่นทอดถอนหายใจพลางกล่าว “ถ้าอายุน้อยลงอีกสักห้าปีก็คงจะดี ดวงตาของข้ายังไม่มืดบอดก็สามารถช่วยงานเรื่องทั่วไปได้ น่าเสียดาย อายุมากแล้วจึงกลายเป็นภาระ!”
“ผู้ใดกล่าวว่าท่านยายเป็นภาระกัน?พวกเราทุกคนต่างมีงานที่ต้องทำ อายุของอวี้เอ๋อร์กับเสี่ยวหู่ยังน้อย เด็กสองคนนี้ชอบเล่นสนุกกันเป็นที่สุด พวกเขายังต้องการการพึ่งพาให้ท่านยายดูแลนะเจ้าคะ!พรุ่งนี้คนเยอะก็จะมากความ ถ้าหากพวกเขาวิ่งออกไปแล้วถูกผู้อื่นลักพาตัวไปจะทำอย่างไรเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวไปพลาง และขยิบตาให้เด็กทั้งสองไปพลาง
เด็กสองคนนั้นล้วนไม่ได้โง่เขลา เข้าใจความหมายของหลิงมู่เอ๋อร์ หยางเสี่ยวหู่จับที่แขนของถังซื่อ เอ่ยอย่างเศร้าใจ “ท่านย่า เสี่ยวหู่ขาดท่านไม่ได้นะขอรับ!”
หลิงจื่ออวี้มีนิสัยเงียบๆ ไม่ชอบพูดคุย ถึงแม้ว่าช่วงระยะนี้จะเปลี่ยนไปมากแล้วก็ตาม แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ไม่คุ้นเคยแล้วเขาก็ยังคงไม่ยอมพูดอยู่ดี เขาเดินเข้าไปจับมือของถังซื่อ แม้ว่าจะไม่ได้กล่าวอันใด แต่ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาตั้งใจที่ปลอบใจถังซื่อ
ถังซื่อมองไม่เห็น แต่ก็ยังรู้สึกได้ มือแก่ชราทั้งสองข้างของนางถูกมือที่ขาวนุ่มของเด็กทั้งสองคนจับเอาไว้ มือเล็กๆ อันอบอุ่นนั้นถูกนางกอบกุมเอาไว้กลางมือ ในใจของนางพลันรู้สึกอ่อนโยนไม่น้อย
“เด็กดี” ถังซื่อเอ่ยเสียงเจือสะอื้น “ชั่วชีวิตนี้ของยายแก่คุ้มค่าแล้ว”
เหล่าพี่น้องหญิงชราในหมู่บ้านหลายคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางถูกลูกสะใภ้รังเกียจ ถูกลูกหลานทอดทิ้ง ทั้งที่เป็นผู้อาวุโสในบ้านแต่กลับได้กินอาหารที่แย่ที่สุด และมักจะถูกด่าทออย่างรุนแรง อายุแก่ปูนนี้ เดินเหินไม่ไหว มองไม่เห็น ไม่อาจทำงานอันใดได้อีกแล้ว มีแต่นั่งหายใจทิ้งอยู่ในบ้านไปวันๆ อดทนใช้ชีวิตเช่นนี้ให้ผ่านไปให้ได้ในแต่ละวัน ถึงแม้ว่าจะเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ภายในใจ แต่ก็ต้องอดทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำให้ผ่านไป เมื่อเทียบกันแล้ว บุตรชายของนางกตัญญู บุตรสาวและลูกเขยกตัญญู หลานชายหลานสาวของบุตรสาวและหลานชายของบุตรชายก็ล้วนกตัญญูต่อนาง นางช่างโชคดีเหลือเกิน!
“ท่านยาย เสื้อนวมตัวนั้นที่ข้าตั้งใจซื้อให้ท่านโดยเฉพาะเล่าเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ข้ารู้ว่าท่านไม่ชอบสวมใส่เสื้อผ้าหนาๆ แต่ว่าในยามที่นั่งอยู่บนเตียงก็ต้องคลุมร่างกายเอาไว้นะเจ้าคะ”
“เตียงเตาหลังนี้ที่เจ้าทำให้ข้าก็อุ่นมากแล้ว ยายไม่เคยสบายขนาดนี้มาก่อน นี่เป็นช่วงเหมันต์ฤดูที่ข้าใช้ชีวิตผ่านไปได้อย่างสบายที่สุดแล้ว” ถังซื่อเอ่ยพร้อมยิ้มตาหยีอย่างมีความสุข
“ท่านยายของเจ้าบอกว่าไม่หนาว เช่นนั้นก็ไม่ต้องใส่เถิด!นี่เพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว ชอบเป็นกังวลไปเรื่อย เมื่อเจ้าแต่งงานไปแล้วผู้ใดจะทนนิสัยเช่นนี้ของเจ้าได้กัน?” หยางซื่อส่ายหน้าพร้อมหัวเราะออกมา
“ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะพูด ข้ายังอยากอยู่กับท่านแม่อีกสิบปีนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์มุ่ยปากพลางกล่าว
“สิบปี?” หนานกงอี้จือตกตะลึง เขาดึงแขนของซั่งกวนเซ่าเฉิน “ญาติผู้พี่ ตอนนี้นางน่าจะอายุสิบกว่าปีแล้วกระมัง?หากยังรอผ่านไปอีกสิบปี เช่นนั้นก็กลายเป็นสาวแก่แล้ว”
ในยุคสมัยนี้ อายุสิบสามสิบสี่ปีก็หมั้นหมาย สิบห้าปีแต่งออกเรือนแล้ว ตอนนี้หลิงมู่เอ๋อร์สามารถแต่งงานออกเรือนได้แล้ว เพียงแต่เพราะครอบครัวยากจน ย่อมไม่มีผู้ใดยินยอมที่จะมาเกี่ยวดองด้วย ทว่าตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม ครอบครัวพวกเขาสามารถหาเงินได้แล้ว เชื่อว่าอีกไม่นาน ธรณีประตูบ้านของพวกเขาจะต้องมีแม่สื่อย่างกายเข้ามามากมายอย่างแน่นอน
หยางซื่อคิดไม่ถึงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะกล่าวออกมาเช่นนี้ หญิงอายุมากยี่สิบกว่าปี ผู้ใดจะยินยอมมาแต่งงานด้วย?เหตุใดเจ้าเด็กผู้นี้ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลอย่างนี้กัน?
ขณะที่หยางซื่อคิดจะอบรมหลิงมู่เอ๋อร์สักยกหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ก็ทำทีง่วงเหงาหาวนอนออกมา กล่าวด้วยใบหน้าอันอ่อนล้าว่า “ง่วงนอนมากเลยเจ้าค่ะ!พรุ่งนี้ยังต้องมีเรื่องอีกมากมายที่จะต้องทำ ข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนนะเจ้าคะ”
“ช่างเถิด วันหลังค่อยพูดคุยกับเจ้า” หยางซื่อหักใจทรมานนางไม่ลง ทำได้แต่เพียงปล่อยนางกลับไป
หลิงมู่เอ๋อร์แอบขยิบตาให้กับซั่งกวนเซ่าเฉินในขณะที่หยางซื่อมองไม่เห็น รอยยิ้มฉายชัดในดวงตาของอีกฝ่าย ใบหน้าเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
หนานกงอี้จือเห็นการกระทำของพวกเขาทั้งสองคน ท่าทางของเขาราวกับเห็นผี จะต้องรู้ว่าญาติผู้พี่ท่านนี้ไม่เคยมีสีหน้าที่ดีต่อผู้ใดเลย แม้แต่น้องสาวแท้ๆ ก็ไม่เคยได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากเขามาก่อน เดิมทีนึกว่าเขาเป็นคนหัวใจหินมาตั้งแต่กำเนิด ตอนนี้รู้แล้วว่าก้อนหินก็สามารถหวั่นไหวได้ เพียงแต่พวกเขาไม่ใช่คนนั้นที่ทำให้ก้อนหินในใจของเขาหวั่นไหวเพียงเท่านั้น
เด็กสาวผู้นี้มีอันใดดี?ถึงแม้จะบอกว่าแตกต่างจากสาวชาวบ้านทั่วไปและมีมันสมองที่ชาญฉลาดมากก็ตาม แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดที่ทำให้ญาติผู้พี่ของเขาหวงแหนขนาดนี้ได้กระมัง?
หรือว่า เขายังไม่รู้จักเด็กสาวผู้นี้มากพอ?หรือว่า ต้องทำความรู้จักนางให้มากกว่านี้สักหน่อย?
หลังจากที่หลิงมู่เอ๋อร์กลับไป คนอื่นๆ ต่างก็แยกย้าย หยางซื่อเป็นกังวลว่าถังซื่อจะไม่เคยชินกับการเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ ในคืนนั้นนางจึงอยู่คอยพูดคุยอย่างรู้ใจเป็นเพื่อนถังซื่อ
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์ให้หลิงจื่ออวี้พักอยู่ห้องเพียงคนเดียว หยางเสี่ยวหู่กับท่านลุงหยางต้าหนิวอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างไรหยางต้าหนิวก็เลี้ยงดูหยางเสี่ยวหู่มาจนเติบใหญ่ และเป็นเช่นนี้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ว่าหยางเสี่ยวหู่หาได้ยากที่จะมีเพื่อนเล่นด้วยและยังเป็นญาติผู้พี่ของตนเองอีก พูดอย่างไรก็อยากพักกับหลิงจื่ออวี้ให้ได้ คนในสกุลหลิงเห็นหลิงจื่ออวี้เองก็ชื่นชอบหยางเสี่ยวหู่มากเช่นกัน จึงให้เด็กๆ ทั้งสองคนนี้อยู่ด้วยกัน ถือว่ามีเพื่อนเล่นเพิ่มคนหนึ่ง โชคดีที่ทำเตียงขนาดใหญ่ตามขนาดของผู้ใหญ่ให้กับหลิงจื่ออวี้ เด็กทั้งสองคนจึงสามารถอยู่ด้วยกันได้สบายๆ
“ญาติผู้พี่…” หนานกงอี้จือรีบตามซั่งกวนเซ่าเฉินเข้าไปในห้อง ครั้นเขาเข้าไปในห้องก็สังเกตเห็นความแตกต่างของห้องของเจ้าของบ้านกับห้องรับรองโดยทันที
ถึงแม้รูปแบบของตกแต่งจะคล้ายกันมาก แต่ว่าห้องของหนานกงอี้จือเป็นห้องรับรองแขก ยามปกติแล้วเมื่อมีแขกถึงจะให้เข้าไปพัก ดังนั้นด้านในจึงโล่งมาก ไม่มีเครื่องเรือนอันใด ทว่าห้องของซั่งกวนเซ่าเฉินนั้นต่างกัน คนในสกุลหลิงเห็นเขาเป็นเหมือนญาติคนหนึ่งของตนเองจากใจจริง ฉะนั้นการออกแบบของห้องนี้ไม่เพียงแต่ยึดตามความชอบของเขา แต่ข้าวของที่อยู่ด้านในนั้นยังประณีตและงดงามมากอีกด้วย
ห้องของซั่งกวนเซ่าเฉินก็มีปล่องไฟให้ความอบอุ่นเช่นกัน เมื่อทั้งสองคนเข้ามาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นในทันที เขาทอดถอนหายใจออกมาด้วยความสบาย “ไม่อยากจากไปไหนเลยจริงๆ!”
“เจ้าตามข้าเข้ามา รบกวนเวลาพักผ่อนของข้า ก็เพราะมาเพื่อพูดแค่นี้?” ซั่งกวนเซ่าเฉินถอดเสื้อคลุมออก แล้วเดินไปด้านหลังฉากกั้นเพื่อเปลี่ยนเป็นใส่ชุดนอนตัวหนา
หนานกงอี้จือมองอาภรณ์บนกายของซั่งกวนเซ่าเฉิน เขาจ้องตาเขม็งไปหมด ชายหนุ่มเอื้อมกรงเล็บปีศาจออกไป ลูบไล้เสื้อผ้าบนกายของเขาอย่างอิจฉาริษยา “ให้ข้าลองใส่บ้างสิขอรับ”
“ไสหัวออกไป” ซั่งกวนเซ่าเฉินหรี่ลงตาเล็กน้อย แล้วตีไปที่กรงเล็บของเขาอย่างรุนแรง “หากยังกล่าวเรื่องไร้สาระอีกประโยค ข้าจะชกเจ้าแล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่กล้าพบเจอผู้คนหรอกหรือ?ประจวบเหมาะกับข้าจะชกใบหน้าเจ้าจนแม่นางทั้งหลายล้วนจำไม่ได้ เจ้าก็จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะปรากฏตัวต่อสาธารณะแล้วจะกระทบถึงศักดิ์ศรีของนายน้อยคนโตตระกูลหนานกงของเจ้า”
หนานกงอี้หดมือกลับอย่างกระอักกระอ่วน พร้อมใช้มือลูบๆ ไปที่จมูก
แท้จริงแล้วเมื่อสักครู่เขากำลังคิดอันใด ญาติผู้พี่ล้วนมองออกตั้งแต่แวบแรกแล้ว!บุรุษผู้นี้ช่างรู้ใจเขาเสียจริงๆ
“ท่านพี่ พี่ชายที่รักของข้า ถ้าหากเกิดมีคนจำท่านได้ขึ้นมา นั่นก็เป็นปัญหาแล้ว!ท่านอยากนำปัญหามาให้คนในสกุลหลิงหรือ?” หนานกงอี้จือกล่าวโน้มน้าวซั่งกวนเซ่าเฉินในอีกแง่มุมหนึ่ง