เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 49 เตรียมการ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 2 บทที่ 49 เตรียมการ
เล่มที่ 2 บทที่ 49 เตรียมการ
ผนังกำแพงขาวสะอาด พื้นไม้สะอาดเกลี้ยงเกลา ฝ้าเพดานแขวนติดหลังคา และกระถางดอกไม้มากมายที่แขวนบนผนัง ในกระถางดอกไม้เหล่านั้นปลูกดอกไม้หลากหลายพันธุ์ ดอกไม้ใบหญ้าไม่ได้เป็นสิ่งล้ำค่าอันใด แต่กระถางแต่ละใบนั้นล้วนงดงามเป็นสง่าอย่างยิ่ง นางยังเขียนปริศนาคำต่างๆ ไว้บนกระถางดอกไม้อีกด้วย เมื่อเหล่าบัณฑิตพวกนั้นได้เห็น ก็อดไม่ได้ที่จะคล้อยตามเข้าร่วมกิจกรรมทดลองปัญญา ทั้งยังเป็นการเพิ่มพูนกลิ่นอายที่สูงส่งสง่างามของตนเข้าไปอีกหลายส่วนด้วย
ทั้งห้องงดงามโดดเด่นเฉพาะตัว ไม่ได้หรูหราเหมือนดั่งเช่นเหลาอาหารระดับสูงที่อื่น แต่กลับมีกลิ่นอายของความอบอุ่นแผ่ซ่าน
นี่ก็คือร้านอาหารที่หลิงมู่เอ๋อร์ตระเตรียมเอาไว้ ผ่านการปรึกษาหารือจากทุกคนในครอบครัวมาแล้ว ชื่อของมันเรียกว่าร้านอาหารแห่งสกุลหลิง
การตกแต่งภายในห้องโถงใหญ่นั้นมีความอบอุ่นเป็นอย่างยิ่งทั้งง่ายต่อการจัดการ ลานด้านหลังเป็นที่พักอาศัยของพวกเขา การออกแบบของที่นี่ก็ค่อนข้างมีความซับซ้อนเล็กน้อย อย่างเช่นทุกห้องล้วนมีห้องอาบน้ำและห้องสุขาในตัวหนึ่งห้อง การออกแบบด้านในก็ประณีตวิจิตรเป็นอย่างมาก คนสมัยโบราณเวลาอาบน้ำชอบใช้ถังไม้ใหญ่ เมื่อผนวกกับการออกแบบเช่นนี้จึงสามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย หลิงมู่เอ๋อร์เปลี่ยนเป็นอ่างอาบน้ำไม้ ทั้งยังสามารถปล่อยน้ำออกไปได้ง่ายดายด้วย
ห้องสุขายิ่งอธิบายได้ง่ายดายยิ่ง ที่นี่ไม่มีวิธีที่จะออกแบบโถส้วมแบบนั่งได้อย่างแน่นอน ดังนั้นโถส้วมของที่นี่ล้วนเป็นแบบนั่งยองทั้งหมด แล้วด้านล่างก็มีท่อหนึ่งท่อ สามารถไหลผ่านไปสู่บ่อส้วมขนาดใหญ่ ทุกห้องล้วนออกแบบไว้หนึ่งโถ ก็หมดห่วงเรื่องแย่งกันเข้าห้องสุขาอีกต่อไป ทั้งยังแยกบุรุษและสตรีอย่างชัดเจน จะได้ไม่ต้องรู้สึกเก้อเขินหรือทำตัวไม่ถูก
ลานด้านหลังใหญ่โตมากๆ หลิงมู่เอ๋อร์ตกแต่งลานบ้านแบบเดียวกันให้ซั่งกวนเซ่าเฉิน นางแบ่งลานบ้านออกเป็นสามส่วน ทั้งบริเวณสี่ทิศปลูกดอกไม้และพืชสมุนไพรต่างๆ นานาพันธุ์ พื้นที่ขนาดใหญ่หนึ่งส่วนแบ่งเป็นสองส่วนย่อย ครึ่งหนึ่งปลูกสมุนไพร อีกครึ่งหนึ่งปลูกผักผลไม้ รอให้ถึงการเก็บเกี่ยวในสารทฤดู ทั้งลานบ้านก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของพืชผักที่สดใหม่ เมื่อลืมตาตื่นในแต่ละวันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะท้องหิวอีกต่อไป
ในห้องของหลิงจื่ออวี้ออกแบบชั้นวางหนังสือติดผนังเอาไว้หนึ่งชั้น และยังได้ทำโต๊ะหนังสือที่ประณีตงดงามมากๆ อีกหนึ่งตัว นางยังได้วาดภาพตัวอย่างของเล่นฝึกเชาวน์ปัญญาเล็กๆ อีกมากมาย และให้หลิงจื่อเซวียนหาช่างฝีมือดีเพื่อสร้างมันขึ้นมา ในเวลานี้ได้นำของมาครบทุกอย่างแล้ว ยามที่หลิงจื่ออวี้มาถึงที่นี่ เด็กน้อยก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องของตนเอง แล้วจากนั้นก็เริ่มเล่นของเล่นที่ประณีตงดงามพวกนั้น
ในห้องของหยางซื่อและหลิงต้าจื้อปูด้วยพรมปูพื้นไว้ พวกเขาเดินเหยียบที่ด้านบนรู้สึกนุ่มสบายเป็นอย่างยิ่ง นางยังเตรียมปล่องไฟไว้ใต้ดิน ครั้นเหยียบเข้าไปในนั้น ก็จะอบอุ่นเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ยังออกแบบเก้าอี้ที่มีความสะดวกสบายอีกหนึ่งตัว หยางซื่อนั่งทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ที่นั่น เมื่อรู้สึกเหน็ดเหนื่อยแล้วก็สามารถเอนตัวนอนที่ตรงนั้นได้เลย ยิ่งห่มด้วยผ้าห่มบางๆ ก็จะทำให้รู้สึกสบายไปทั้งร่าง หลิงต้าจื้อชอบสูบใบยาสูบที่เตียงเตา [1] ที่นี่ไม่มีเตียงเตา นางได้แต่เตรียมเตียงหลังใหญ่อันแสนนุ่มไว้ให้เท่านั้น ห้องของหลิงจื่อเซวียนออกแบบตามที่เขาชอบ จนถึงวันนี้หลิงมู่เอ๋อร์เพิ่งจะรู้ว่าหลิงจื่อเซวียนชื่นชอบออกแบบงานแกะสลักไม้
เขาเตรียมชุดเครื่องมือที่ใช้สำหรับแกะสลักไม้ไว้ให้ตนเองหนึ่งชุด โต๊ะเก้าอี้ทั้งขนาดเล็กๆ ใหญ่ๆ ในบ้านพวกนี้ล้วนเป็นฝีมือการออกแบบของหลิงจื่อเซวียน ในส่วนของด้านนี้หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้มีส่วนร่วมด้วย ปล่อยให้เขาแสดงศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ไป ดังนั้นห้องของหลิงจื่อเซวียนจึงแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นห้องนอน อีกส่วนหนึ่งทำเป็นห้องทำงานของเขา ด้านในนั้นมีสิ่งประดิษฐ์อยู่แล้วบางส่วน หลิงมู่เอ๋อร์เห็นเหล่ามวลบุปผาและวิหคที่หลิงจื่อเซวียนแกะสลักนั้นงดงามราวกับมีชีวิตอยู่จริง ประหนึ่งกับผลงานศิลปะชั้นยอด
และห้องของหลิงมู่เอ๋อร์นั้น กลับตกแต่งตามความชอบของอิสตรีทั้งหมด ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิง ถึงแม้เมื่อก่อนจะถูกเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่เสมือนกับผู้ชายคนหนึ่ง แบกรับแรงกดดันเหมือนกับผู้ชาย แต่นางก็มีความฝันที่อยากจะเป็นองค์หญิงเช่นกัน ดังนั้นแล้ว โทนสีภายในห้องของนางจึงใช้เป็นสีชมพูเป็นหลัก ข้าวของเครื่องใช้บนเตียงเป็นสีชมพู รองเท้าสีชมพู ชุดกระโปรงนอนสีชมพู ทุกอย่าง… ล้วนเป็นสีชมพู
สุดท้ายก็เป็นห้องของซั่งกวนเซ่าเฉิน
ถูกต้อง!ซั่งกวนเซ่าเฉินมีสถานะในครอบครัวของพวกเขา เพราะฉะนั้นจึงเตรียมห้องไว้ให้เขาด้วย
ห้องของซั่งกวนเซ่าเฉินเน้นสีขาวและดำสองสีเป็นหลัก ถ้าพูดแบบในสมัยปัจจุบัน ก็คือสไตล์ยุโรปนั่นเอง เมื่อเดินเข้ามาในนี้ ก็จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งของชายหนุ่ม
“ญาติผู้พี่ ห้องของท่านดีจริงๆ ” หนานกงอี้จือย่างก้าวเข้ามาในห้องของซั่งกวนเซ่าเฉิน ก็ล้มตัวลงนอนคว่ำหน้าบนเตียงของซั่งกวนเซ่าเฉินทันที “นุ่มดีจริงๆ!นุ่มกว่าที่บ้านของพวกเราเสียอีก ญาติผู้พี่ พวกเราไม่ต้องกลับไปแล้ว อยู่ที่นี่ต่อกันเถิด!ท่านก็เป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านนี้ไปเสียเลย ถ้าหากท่านไม่ยินยอม ข้ายินยอมเอง!”
หยางซื่อได้ยินก็รู้สึกมีความสุขมาก นางหัวเราะพลางกล่าว “ได้สิ!เจ้าเด็กผู้นี้ข้าชอบยิ่งนัก เช่นนั้นก็มาอยู่เป็นลูกเขยเถิด!”
หลิงมู่เอ๋อร์หันหลังกลับไปมองหนานกงอี้จือหนึ่งที แล้วเอ่ยกับหยางซื่อว่า “ท่านแม่ ครอบครัวของเขาได้จัดการหมั้นหมายให้เขาตั้งนานแล้วนะเจ้าคะ”
หยางซื่อชำเลืองมองหลิงมู่เอ๋อร์หนึ่งที “เพียงแค่หมั้นหมาย ยังไม่ทันได้แต่งสักหน่อย อีกอย่าง นั่นเป็นสิ่งที่ครอบครัวเขาเป็นคนหมั้นหมายไว้ ไม่ใช่เขาเป็นผู้หาเองเสียหน่อย ถ้าพวกเจ้ารักกันอย่างแท้จริง ปัญหาเหล่านั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป”
“ท่านแม่ คิดไม่ถึงเลยว่าความคิดของท่าน… จะล้ำหน้าไปหลายพันปีแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ยกนิ้วหัวแม่มือไปทางหยางซื่อ “ยินดีกับท่านด้วย ท่านจะเป็นแม่สามีที่มีความฉลาดปรีชามากที่สุดเท่าที่เคยมีมา”
“เรียกแม่สามีอันใด?เป็นแม่ยายไม่ได้หรือ?พี่ชายเจ้า แม่ไม่เป็นกังวลเลย ที่แม่กังวลก็คือเจ้า” หยางซื่อทอดถอนหายใจพลางกล่าว “บุตรสาวมีสติปัญญาสูงเกินไป ต่อไปภายหลังผู้ใดจะกล้ามาขอล่ะ!”
หนานกงอี้จือมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างแกล้งๆ ใช้ไหล่ของตนเองชนที่ไหล่ของหลิงมู่เอ๋อร์ “ได้ยินหรือไม่?เจ้าน่ะเก่งเกินไปแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าขอแต่งงาน”
ซั่งกวนเซ่าเฉินฉุดดึงหนานกงอี้จือขึ้น แล้วโยนเขาออกไปพลันปิดประตูเสียงดัง ก่อนกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เงียบไปก็ดีแล้ว ไม่ต้องสนใจเขา”
หยางซื่อเผลอหัวเราะออกมา “ญาติผู้น้องผู้นี้ของเจ้าช่างน่ารักเสียจริง อย่าได้เข้มงวดกับเขาถึงเพียงนั้น มองดูก็รู้ว่าเขาเป็นเด็กดี”
“ท่านแม่ ในสายตาของท่านผู้ใดบ้างที่ไม่ใช่เด็กดี? แม่ตัดสินทุกคนว่าล้วนเป็นคนดีจนเคยชินแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์หยอกเย้าหยางซื่อพลางกล่าว “ท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ชายทั้งสองท่าน พวกท่านมีสิ่งใดที่ไม่พอใจต่อห้องของตนเอง ขอให้บอกกล่าวออกมา ในตอนนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ ถ้าไม่พูดวันนี้ หลังจากนี้หากจะแก้ไขขึ้นมาก็จะยุ่งยากแล้วเจ้าค่ะ”
“ห้องดีขนาดนี้ ลานบ้านดีขนาดนี้ ยังจะมีสิ่งใดที่ไม่พอใจอีกล่ะ? แม้ข้านอนหลับฝันก็ยังยิ้มจนตื่น” หยางซื่อเอ่ยกับหลิงต้าจื้อว่า “ใช่หรือไม่ พ่อของลูก”
“ใช่แล้ว!” หลิงต้าจื้อกล่าว “มู่เอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าเจ้ากล่าวไว้ว่าจะรับท่านยายกับท่านลุงมาพักอาศัยที่นี่ด้วยหรือ?ห้องของพวกเขาเตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่?”
“ท่านพ่อ ข้าทำการสิ่งใดยังมีเรื่องอันใดที่ต้องทำให้เป็นกังวลอีกด้วยหรือเจ้าคะ ? เดิมทีมีเจ็ดห้อง ข้าได้ทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เลยขยายสร้างเพิ่มอีกห้าห้อง เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งหมดสิบสองห้อง ครอบครัวพวกเราต้องการใช้เพียงแค่ห้าห้อง ถ้าท่านยายกับท่านลุงมาอาศัยด้วย ข้าก็ตระเตรียมไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ ท่านยายพักคนเดียว ท่านลุงพักกับเสี่ยวหู่ ที่เหลืออีกสามห้อง อีกหนึ่งห้องทำเป็นห้องสำหรับแขกเหรื่อ อีกสองห้องก็จะทำเป็นห้องข้ารับใช้ ในห้องข้ารับใช้แต่ละห้องก็จะมีเตียงอยู่สี่หลัง สองห้องก็สามารถรับข้ารับใช้ ได้แปดคน สำหรับครอบครัวของพวกเรา น่าจะเพียงพอสำหรับใช้แล้วเจ้าค่ะ ”
“ข้ารับใช้?” หยางซื่อรู้สึกแปลกใจ “ครอบครัวพวกเรายังต้องซื้อข้ารับใช้ด้วยหรือ?”
“หากการค้าดีมากๆ พวกเรายุ่งจนไม่มีเวลาว่าง ก็จำเป็นจะต้องมีข้ารับใช้เจ้าค่ะ ท่านแม่วางใจ ข้าจะจัดการเอง ท่านไม่ต้องสนใจเรื่องเหล่านั้น” หลิงมู่เอ๋อร์แย้มรอยยิ้มพลางกล่าวว่า “ยังมีสิ่งใดสงสัยอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่มีแล้ว” ทุกคนต่างมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ที่นานวันยิ่งน่าเกรงขามมากขึ้นเรื่อยๆ และส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงตามสัญชาตญาณ
เสียงของหนานกงอี้จือดังเข้ามาจากด้านนอก “ที่แท้น้องสาวมู่เอ๋อร์ก็เตรียมห้องไว้ให้ข้าแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวไปดูห้องของข้าก่อนล่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์ “……”
ทุกคน “……”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกระตุกมุมปาก และนวดคลึงหว่างคิ้วที่เริ่มปวดตุบๆ
เขาอยากจะส่งชายหนุ่มผู้นั้นกลับไปเสียจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำเพื่อช่วยตนเองแล้ว แม้แต่เรื่องงานแต่งที่เป็นเรื่องใหญ่ก็ยังถูกมารดาแท้ๆ นำมาต่อรองใช้เพื่อหาผลประโยชน์ ก็เลยปล่อยตามใจเขาอย่างสุดความสามารถมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้
หรือว่าเขาไม่ควรที่จะใจอ่อน ควรส่งเจ้าเด็กนั้นกลับไปเมืองหลวงในเร็ววัน?จากความฉลาดหลักแหลมของเจ้าเด็กนั้นแล้ว ย่อมสามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ได้อยู่แล้ว
“พี่ใหญ่ไม่ต้องมีโทสะไป ในเมื่อญาติผู้น้องของท่านต้องการอาศัยที่เรือนของข้า เช่นนั้นหลังจากนี้เขาก็ต้องช่วยงานข้า ข้าวของบ้านข้าไม่ได้ให้กินเสียฟรีๆ หรอกนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์แย้มรอยยิ้มอย่างสว่างสดใสออกมา
“อืม เจ้าเรียกใช้เขาได้ตามใจ ไม่ต้องไว้หน้าข้า หลายปีมานี้เขามีกินมีใช้อยู่อย่างสุขสบาย ไม่เคยได้รับความลำบากมาก่อน ก็ควรจะฝึกฝนจิตใจของเขาสักหน่อย” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวเสียงราบเรียบ
หนานกงอี้จือยังไม่รู้ตัวว่าถูกญาติผู้พี่ที่เขาเคารพเลื่อมใสหักหลังไปแล้ว เขาพินิจสำรวจห้องที่ถูกเรียกว่าห้องรับแขกนี้ ก่อนทำเสียงจุ๊ๆ ด้วยความชื่มชม “เด็กสาวผู้นี้ช่างฉลาดเสียจริง แท้จริงแล้วห้องก็ยังสามารถออกแบบเช่นนี้ได้ด้วย ข้าจะต้องตั้งใจดูอย่างดีแน่นอน กลับไปจะทำห้องให้เหมือนกันกับที่นี่ทุกประการ อาศัยอยู่ในห้องอย่างนี้ทุกวัน คงไม่อยากออกไปไหนอย่างแน่นอนแล้วกระมัง?”
ทุกคนแสดงความพึงพอใจต่อห้องใหม่ของพวกตนเป็นอย่างยิ่ง ขั้นต่อมา หลิงมู่เอ๋อร์ก็พาหยางซื่อและหลิงจื่ออวี้ไปเดินซื้อของ
เหล่าบุรุษไม่สนใจเรื่องการเดินซื้อของพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจในเหตุผลข้อนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงไม่ได้บังคับพวกเขาแล้ว
“ท่านแม่ พวกเราซื้อรถม้าสักคันเถิดเจ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยกับหยางซื่อ “ในหมู่บ้านยังมีที่ดินของพวกเราอยู่ ในอนาคตจะต้องกลับไปอย่างแน่นอน ข้ายังอยากจะใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในหมู่บ้านไว้ปลูกพืชผักผลไม้ต่างๆ นานา ถึงตอนที่พวกเราเปิดร้านอาหารแล้ว ไม่อาจทำแค่อาหารประเภทเส้นกับข้าวผัดเท่านั้น ยังต้องมีผัดผักอีกด้วย ผักสดที่ปลูกในบ้านของเราเอง รสชาติย่อมดีกว่ามาก”
“เจ้าพูดเรื่องที่อยู่ในใจของแม่พอดีเลย แม่ก็เสียดายที่ดินในหมู่บ้าน” หยางซื่อดึงมือของนางพลางกล่าว “ไม่เช่นนั้น ซื้อเกวียนวัวสักเล่ม?”
“เกวียนวัวไม่มีหลังคา ถ้าเกิดฝนตกขึ้นมา ก็ไม่มีทางที่จะออกไปไหนได้อย่างแน่นอน อีกอย่างแล้ว เกวียนวัวไม่มั่นคงเท่ารถม้า ความเร็วก็สู้รถม้าไม่ได้” หลิงมู่เอ๋อร์พูด “เกวียนวัวสิบตำลึงเงิน รถม้ายี่สิบตำลึงเงิน ตอนนี้บ้านพวกเราก็ไม่ได้ขาดเงินสิบตำลึงเงินนี้นี่เจ้าคะ”
“เจ้ายังจะมาพูดอีก!ซื้อเรือนต้องใช้หนึ่งร้อยตำลึงเงิน ตกแต่งซ่อมแซมเรือนหลังนั้นก็ใช้ไปอีกหนึ่งร้อยกว่าตำลึงเงิน ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็ไม่มากแล้ว ถึงแม้แม่จะไม่รู้อักษร แต่เงินพวกนี้ก็ยังคำนวณได้อย่างถูกต้อง ต่อไปพวกเรายังต้องเตรียมวัตถุดิบจำนวนมาก ของเหล่านั้นล้วนต้องใช้เงิน ดังนั้นพวกเราต้องใช้เงินอย่างประหยัดสักหน่อย ไม่สามารถใช้เงินฟุ่มเฟือยได้อีกแล้ว” หยางซื่อกล่าว
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์มักจะได้ยินหยางซื่อบ่นเรื่องต้องประหยัดเงิน อย่าใช้เงินฟุ่มเฟือย จะต้องใช้อย่างประหยัด คำพูดเช่นนี้หยางซื่อกล่าวทุกวัน นางได้ยินทุกวัน ทว่า นางไม่เคยรังเกียจที่หยางซื่อจู้จี้จุกจิกเลยแม้แต่น้อย และยิ่งไม่ได้รู้สึกว่านางชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วย เพราะว่านี่คือท่านแม่ของนาง… ที่ท่านแม่บ่นต่อนาง เจ้ากี้เจ้าการต่อนาง ก็เป็นเพราะว่ารักและห่วงใยนาง
“เฒ่าแก่ เจ้าไม่ได้บอกว่าผ้าสีสันแบบนี้ไม่มีแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดนางมาซื้อถึงมีเสียแล้วล่ะ?” ในร้านขายผ้า สตรีนางหนึ่งพูดเสียงดังไม่น่าฟัง “เจ้ารังแกพวกเราสองแม่ลูกใช่หรือไม่?”
“ผู้อื่นนำไปตัดชุดงานแต่งงาน เจ้านำไปทำสิ่งใด?เฒ่าแก่ร้านขายผ้ามองสตรีที่หน้าท้องยื่นออกมาที่อยู่ด้านข้างอย่างเหยียดยาม “ท้องใหญ่ขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะยังไม่ได้แต่งงานหรอกกระมัง?ผ้าของร้านพวกข้าไม่ขายให้กับนางอัปมงคลเช่นนี้ ถ้าหากข่าวแพร่ออกไป ผู้ใดจะมาซื้อของในร้านของข้า? ไปไปไป ท้องใหญ่ขนาดนี้แล้ว ตอนนี้เพิ่งจะมาแต่งงาน ยังอยากจะใส่ชุดแต่งงานอันใดอีก?ใส่ดอกไม้แดงสักดอก แล้วยกเข้าไปในบ้านเจ้าบ่าวก็พอแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] เตียงเตา หมายถึงเตียงหรือแท่นที่ก่อด้วยอิฐ ด้านล่างมีปล่องเตาเพื่อจุดให้ความอบอุ่น ด้านบนจะปูด้วยฟูกหรือเบาะรองนั่ง พบมากในบ้านเรือนของชาวจีนทางเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น