เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 44 ต้อนรับ
เล่มที่ 2 บทที่ 44 ต้อนรับ
เมื่อทุกคนได้ฟังคำกล่าวของหลิงมู่เอ๋อร์ ก็คิดว่าเป็นดังเหตุผลที่นางว่ามานี้จริงๆ ชายหนุ่มผู้นั้นหน้าตาหล่อเหลา ทั้งมีฝีมือติดตัวและบ้านของเขายังทำโรงตีเหล็กอีกด้วย มีความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้ ในชนบทถือว่าหาได้ยากจริงๆ ถ้าหากสามารถหาลูกเขยแบบนี้ได้ บุตรสาวที่บ้านคงมีชีวิตที่อยู่ดีกินดีอย่างไร้ความกังวล อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับชีวิตของนางแล้ว
เดิมทีคนที่มารอจนหมดความอดทนเริ่มสนทนาถึงเรื่องของชายหนุ่มผู้นั้น และยังมีบางคนเปิดหัวข้อสนทนาเอ่ยถามว่าบุตรสาวของบ้านใครอายุเท่าไร อุปนิสัยเป็นอย่างไรและสามารถทำอันใดเป็นบ้าง หลังจากนั้นก็ซักไซ้ไล่เลียงถามหญิงวัยกลางคนที่พูดออกไปเมื่อสักครู่อีกครั้ง เพราะนางกล่าวว่าชายหนุ่มเมื่อครู่อยู่หมู่บ้านเดียวกับนาง คาดว่าน่าจะรู้รายละเอียดมากกว่านี้ พวกเขาเอ่ยถามหญิงนางนั้นอีกครั้งว่าชายหนุ่มเกิดปีใดเดือนใด ในเรือนมีผู้ใดบ้าง ทางบ้านอาศัยอยู่ในเมืองหรือว่าอยู่ชนบท ถ้าหากว่าแต่งงานแล้วจะแยกบ้านออกไปหรือไม่
หลิงมู่เอ๋อร์ง่วนอยู่กับงานในมือไปพลางขณะนั้นก็ฟังเสียงซุบซิบของผู้คนไปพลาง เมื่อก่อนนางจะไม่เข้าร่วมหัวข้อสนทนาที่ไม่มีสาระเหล่านี้เด็ดขาด แต่บัดนี้กลับรู้สึกว่าการฟังเรื่องเหล่านี้ก็น่าสนใจดีเช่นกัน บางครั้งนางก็จะเข้าร่วมและพูดคุยเสนอความคิดเห็นของตนเอง ทุกครั้งที่นางกล่าว ผู้คนที่อยู่รอบข้างจะจ้องมาที่นาง เพราะนางพูดเข้าถึงประเด็นสำคัญได้ทุกครา
“กลิ่นหอมกรุ่น น่าอร่อย เกี๊ยวที่จะทำให้พวกท่านกินแล้วอยากกินอีกแน่มาถึงแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยกเกี๊ยวขึ้นบนโต๊ะ “โต๊ะมีแค่สองตัว หม้อต้มเกี๊ยวก็มีเพียงแค่ใบเดียว ทุกท่านได้โปรดรอสักครู่ ถ้าหากนำจานหรือถ้วยชามมาเอง ข้าจะต้มให้พวกท่านก่อนได้เจ้าค่ะ”
“แม่นางน้อย บ้านของพวกข้าอยู่ในเมือง เจ้าขายเกี๊ยวดิบให้ข้าสักจำนวนหนึ่ง ข้าจะกลับไปต้มเองที่บ้านอย่างนี้ได้หรือไม่? ” ผู้หญิงนางหนึ่งเอ่ยขึ้น “ที่บ้านยังมีร้านขายของชำ ข้าจำต้องกลับไปดูแลการค้า เกี๊ยวของร้านเจ้าอร่อยมากแม้แต่ร้านค้าของข้า ข้ายังทิ้งมาไม่สนใจเลย”
“ข้าจำท่านได้ ท่านป้า ข้าเคยไปซื้อของที่ร้านท่านเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เช็ดมือและรับจานจากท่านป้านางนั้น “ต้องการซื้อกี่ชิ้นเจ้าคะ? มีเรื่องที่ข้าอยากจะกล่าวกับท่านป้าให้ชัดเจน หากท่านเอากลับไปต้มเองที่บ้าน รสชาติจะไม่อร่อยเหมือนอย่างที่ทานอยู่ที่นี่แน่นอน เพราะว่าข้าไม่ได้ใช้น้ำจากบ่อน้ำธรรมดาแต่เป็นน้ำพุจากภูเขาร้อยปี เพื่อที่จะหาบน้ำเหล่านี้ออกมา พวกข้าต้องเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดในป่าเขา ที่นั่นมีสัตว์ดุร้ายเข้าออก และมีเพียงแต่ข้าที่มีพลังปาฏิหาริย์เท่านั้นจึงกล้าเข้าออกที่นั่น ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คงไม่กล้าเข้าใกล้ที่นั่นแม้แต่เพียงครึ่งก้าวเป็นแน่”
“น้ำพุจากภูเขาร้อยปี? ข้าได้ยินมาว่าน้ำพุนี้มีพลังจิตวิญญาณ หากดื่มใช้ในระยะยาวจะสามารถเพิ่มอายุขัยได้” บัณฑิตผู้หนึ่งเอ่ยต่อ “แม่นางน้อย เจ้าเก่งกาจยิ่งนัก”
“แม้จะมีความสามารถเก่งกาจเพียงใด ถ้าหากไม่มีโชค ทุกอย่างก็ไร้ประโยชน์เจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “ท่านป้า ยังต้องการนำกลับไปทานที่บ้านอยู่หรือไม่เจ้าคะ? ”
“มิน่าล่ะอาหารของร้านเจ้าถึงได้รสชาติดียิ่งนัก ที่แท้ก็เป็นเพราะน้ำแตกต่างกันนี่เอง” ผู้คนเหล่านั้นที่รังเกียจว่าเกี๊ยวของร้านหลิงมู่เอ๋อร์แพงเกินไปพลันปิดปากลงทันที น้ำที่พวกเขาดื่มคือน้ำพุจากภูเขาร้อยปีและสิ่งนั้นไม่อาจประเมินค่าราคาได้ พวกเขาใช้เงินเพียงสิบกว่าอีแปะก็สามารถดื่มน้ำได้หนึ่งถ้วยแล้ว แต่กลับยังบอกว่าแพง ช่างไม่รู้ของดีของเลวเลยจริงๆ
“ไม่นำกลับไปแล้ว เจ้าต้มให้เสร็จก่อนเถิด! ข้าจะรอ” ทันทีที่ท่านป้าคนนั้นได้ยิน ก็รีบเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าเวลานี้การค้าจะขายดีมาก นั่นจะเทียบกับเรื่องใหญ่อย่างการเพิ่มอายุขัยได้อย่างไร? นางจะต้องนำเกี๊ยวกลับไป ให้คนที่บ้านได้ทานคนละชาม
“แม่นางน้อย ข้าเอาห้าถ้วย…”
“ข้าเอาสี่ที่…”
“ไอ๊หยา บ้านข้าอยู่ในตัวเมือง ข้าจะกลับไปหยิบชาม! ” สตรีนางหนึ่งเอ่ยเสียงแหลม “ข้าจะกลับไปเอาชาม จากนั้นจะซื้อในครั้งเดียวยี่สิบถ้วย”
หลิงต้าจื้อ หยางซื่อ หลิงจื่อเซวียน รวมทั้งหลิงจื่ออวี้พูดไม่ออกในเวลาเดียวกัน
พวกเขาคิดว่าที่แย่งกันอยู่คือยาอายุวัฒนะที่กินแล้วก็จะไม่แก่ไม่เฒ่าหรือ? ท่าทางเมื่อสักครู่ยังราวกับปวดใจที่ราคาแพงอยู่เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นใจกว้างเสียแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นคนรัชสมัยใดก็ล้วนหวาดกลัวอยู่เพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือความตาย
ทว่า การค้าของร้านพวกเขาดี นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี ไม่ว่าพวกเขาจะซื้อเท่าใด ขอเพียงแค่มีขายย่อมไม่ผลักไสเงินที่มาถึงหน้าประตูออกไปแน่
ภายในห้องฝั่งตรงข้าม ซั่งกวนเซ่าเฉินมองคนสกุลหลิงที่กำลังยุ่งมือเป็นระวิงอยู่ จากนั้นเขาก็ได้เอ่ยขึ้น “จำไว้ให้ชัดเจนล่ะ หนึ่งเดือนต่อหนึ่งตำลึงเงิน ถ้านางยกเรื่องซื้อร้านขึ้นมา ก็บอกไปว่าหนึ่งร้อยตำลึง”
“ขอรับ” ชายชราคนหนึ่งคุกเข่าอยู่กับพื้นพลางเอ่ย “ชายแก่จะจำไว้ บอกว่าร้านค้าเป็นของข้าเอง ทุกเดือนจ่ายหนึ่งตำลึงเงิน หากว่าแม่นางต้องการจะซื้อ ให้บอกว่าหนึ่งร้อยตำลึงเงิน จะไม่เอ่ยเรื่องอันใดที่เกี่ยวข้องกับนายท่านขอรับ“
“อืม จำได้ก็ดีแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวเสียงนิ่ง “ออกไปเถิด! ”
“ขอรับ นายท่าน” ชายชราโขกศีรษะด้วยความเคารพ และค่อยๆ ถอยออกไป
หลังจากชายชราออกไปแล้ว เหล่าชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านข้างก็ล้อมเข้ามา
“พี่ใหญ่ ตั้งแต่คนผู้นั้นหนีรอดจากเงื้อมมือของพวกเราไปได้ ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำร้ายประชาชนผู้อื่นอีกหรือไม่ พวกเราคงต้องตามไล่ล่าจับคนผู้นี้ให้ได้” หนุ่มรูปงามหน้าหยกนามว่าเซี่ยวชีกล่าว
“อืม เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไล่ล่าตามจับต่อไป มีข่าวอันใดค่อยมารายงานข้าอีกครั้ง” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวราบเรียบ “เหลือไว้แค่สองคนก็พอ ใช่แล้ว ก่อนจะไป พวกเจ้าไปดูแลการค้าของน้องสาวบุญธรรมข้าสักหน่อย เมื่อวานนางบอกว่าจะเลี้ยงเกี๊ยวพวกเจ้า พวกเจ้าลาภปากได้กินของอร่อยแล้ว”
“ไอ๊หยา พี่ใหญ่ เหตุใดท่านไม่พูดให้มันเร็วกว่านี้? ถ้าบอกก่อนหน้านี้ เช้านี้ข้าจะไม่กินสิ่งใดมาก่อนแน่ หลายวันมานี้ข้าได้กลิ่นหอมมาลอยมาจากฝั่งตรงข้าม น้ำลายไหลจนเกือบเหือดแห้งไปหมดแล้ว แต่ว่าพี่ใหญ่ท่านนี่ช่างมีลาภปากจริงๆ ได้กินอาหารจากแม่นางน้อยทำทุกวัน” มีหนึ่งคนเอ่ยขึ้น “จะว่าไปแล้ว ผู้ใดจะอยู่ฟังคำสั่งการของพี่ใหญ่ต่อ? ถ้าไม่มีผู้ใดสมัครใจ ข้าอยู่เองก็แล้วกัน! ”
“ถุ้ย! เจ้าอยากอยู่ก็พูดออกมาตรงๆ จะมาบอกว่ามีหรือไม่มีอะไรแบบนั้นไปทำไม ที่เจ้าอยากอยู่ไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ แต่เป็นเพราะน้องสาวบุญธรรมของพี่ใหญ่ต่างหาก อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ความคิดของเจ้านะ” เซี่ยวชีพูดเยาะเย้ย “พวกข้าไม่แย่งเจ้าหรอก ผู้ใดใช้ให้ครั้งที่แล้วเจ้าบาดสาหัส ตอนนี้ควรที่จะรักษาร่างกายให้ดีๆ เจ้าอยู่นี่คอยรับใช้พี่ใหญ่เถิด! ”
“พี่ใหญ่ต้องการให้พวกข้ารับใช้หรือ? มีแม่นางน้อยคอยปรนนิบัติเขาอยู่แล้ว! เจ้าดูสิ ช่วงนี้พี่ใหญ่ทั้งขาวทั้ง…แข็งแรง” คนผู้นั้นตบหน้าอกของซั่งกวนเซ่าเฉิน ทำเสียงจุ๊ๆ พร้อมคำอุทาน “พูดจริงๆ นะขอรับ พี่ใหญ่ กล้ามเนื้อของท่านฝึกฝนจนแข็งแรงล่ำสันเชียว! จุ๊จุ๊จุ๊ แม่นางน้อยผู้นั้นช่างมีความสามารถจริงๆ เลี้ยงดูท่านได้ดีแบบนี้”
“หากเจ้าไม่กล่าว พวกข้าก็ไม่ได้สนใจ ใบหน้าดำคล้ำของพี่ใหญ่ที่ไม่เปลี่ยนมาหลายปีขาวขึ้นแล้วจริงๆ เซี่ยวชี ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยเป็นไร? เจ้าผิวขาวที่สุดในหมู่ของพวกเรา ถ้าเกิดว่าติดตามพี่ใหญ่ได้อานิสงส์ลิ้มลองฝีมือของแม่นางน้อย ภายหลังก็จะขาวขึ้นกว่าเดิมมิใช่หรือ? ”
“พอได้แล้ว พูดจาไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย” ซั่งกวนเซ่าเฉินตัดบทสนทนาของพวกเขา “รอให้ลูกค้าออกไปได้พอประมาณก่อนค่อยไป อย่านำปัญหายุ่งยากไปให้นาง”
“ขอรับ ขอรับ ขอรับ” คนทั้งหลายรีบร้อนขานรับคำ จากนั้นก็หยอกล้อตีกันเล่นต่อไป
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายฟันฝ่าอันตรายมากับเขา ทำมองข้ามการกอดรัดกันของพวกเขา พี่น้องเหล่านี้มีทั้งคนฐานะสูงศักดิ์ อย่างเช่นเซี่ยวชี มีทั้งคนฐานะยากจนข้นแค้น อย่างเช่นชายฉกรรจ์ที่ออกหน้าไปช่วยหลิงมู่เอ๋อร์ในครั้งแรก อย่างไรก็ตามพวกเขาได้ผ่านบททดสอบความเป็นความตายมาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน มิตรภาพที่มีต่อกันเกินกว่าพี่น้องร่วมสายเลือดมานานแล้ว
หน้าแผงขายของ หลิงมู่เอ๋อร์เก็บกวาดโต๊ะ เอ่ยกับหยางซื่อและหลิงต้าจื้อที่อยู่ด้านข้างว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่ ต่อจากนี้ไม่ต้องรับลูกค้าแล้วนะเจ้าคะ ส่วนที่เหลือข้าเก็บไว้ให้พี่ใหญ่และพี่น้องของเขา เมื่อวานข้าบอกไปว่าจะเชื้อเชิญพวกเขามาทานเกี๊ยวเจ้าค่ะ”
“เฉินเอ๋อร์จะพาเหล่าพี่น้องมาหรือ? เหตุใดเมื่อวานไม่รีบบอกเล่า? ” หยางซื่อรีบจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผม
“แม่ยังไม่ทันได้ผลัดเปลี่ยนแม้แต่เสื้อผ้าเลย”
“ท่านแม่ พี่น้องของพี่ใหญ่คาดว่าน่าจะเป็นเหมือนกับเขา พวกเขาไม่มีทางดูถูกพวกเราแน่นอนเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ท่านไม่ต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้เจ้าค่ะ”
“นั่นก็จริง นิสัยของเฉินเอ๋อร์เชื่อถือได้ พี่น้องของเขาก็น่าจะไม่แตกต่างกัน” หยางซื่อกล่าวพลางยิ้ม “ใช่แล้ว มู่เอ๋อร์ ถ้าอย่างนั้นเจ้าเตรียมสิ่งใดไว้บ้างแล้ว? ”
“นอกจากเกี๊ยวแล้ว ข้าจะผัดอาหารเพิ่มให้พวกเขาอีกสองสามอย่างเจ้าค่ะ เมื่อวานข้าไปซื้อผักกับท่านป้าท่านนั้นมาเยอะแยะมากมาย วันนี้ก็จะผัดอาหารขึ้นโต๊ะให้พวกเขาสักสองโต๊ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ชี้ไปที่ผักสดด้านข้างที่ผ่านการทำความสะอาดแล้ว รวมถึงชิ้นปลาครึ่งถังแล้วเอ่ย “ยังมีกุ้งอีกเล็กน้อย”
“มู่เอ๋อร์ ของแบบนั้นไม่อร่อย ไม่มีผู้ใดเขากินกัน” หลิงต้าจื้อเห็นกุ้งเหล่านั้น ส่ายหัวพลางเอ่ย
“ท่านพ่อ ท่านวางใจเถิด! ขอเพียงแค่เป็นข้าที่ทำมันออกมา พี่ใหญ่จะต้องชอบแน่นอนอยู่แล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์แย้มรอยยิ้มสดใส
ภายใต้แสงตะวัน ใบหน้าอันงดงามสดใสของสาวน้อยสะท้อนแสงสว่าง ราวกับทอดเดินอยู่บนชั้นแสงสีทอง เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา ทว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนก็ยังทำให้ผู้คนจดจำนางได้เพียงมองแค่แวบเดียว
ผิวพรรณของเด็กสาวผู้นี้ขาวขึ้นมาก ดวงหน้าน้อยๆ ดูโตขึ้น เมื่อก่อนเป็นดั่งบุปผาดอกน้อยที่ยังไม่ผลิบาน แต่บัดนี้ได้เริ่มผลิบานด้วยท่วงท่าอันงามสง่าแล้ว
“เฉินเอ๋อร์มาแล้ว” หลิงต้าจื้อเป็นคนแรกที่เห็นซั่งกวนเซ่าเฉิน รวมถึงชายฉจกรรณ์รูปร่างสูงใหญ่สิบกว่าคนที่อยู่ด้านหลังของซั่งกวนเซ่าเฉิน
เขาทำเสียงจุ๊จุ๊ทอดถอนหายใจพลางกล่าว “ถ้านี่คือชายหนุ่มที่มาจากครอบครัวเดียวกัน ยังมีผู้ใดกล้ามาหาเรื่องอีก? แต่ละคนแข็งแรงล่ำสันกันทุกคน มองดูแล้วเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนนัก”
“ท่านอา ท่านอาสะใภ้ พี่ใหญ่ และก็น้องสาวน้องชาย” เหล่าชายชาตรีเอ่ยทักทายเป็นเสียงเดียวกัน
“นั่งเร็วนั่งเร็ว ที่นี่ไม่ค่อยเรียบร้อยสักเท่าไหร่ ทำให้พวกเจ้าหัวเราะเยาะแล้ว” หยางซื่อรีบร้อนเอ่ยทักทาย
“พี่ใหญ่ ช่วยข้ามัดปูหน่อยเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เกรงใจพวกเขา พอเห็นซั่งกวนเซ่าเฉินก็เรียกใช้งานทันที
“เจ้าเด็กนี่…” หยางซื่อมองค้อนใส่นางหนึ่งที “งานพวกนี้เรียกใช้พวกข้าก็ได้ เจ้าให้งานพี่ใหญ่ของเจ้าได้อย่างไร? ”
“ท่านแม่ ท่านกับท่านพ่อทำไม่ได้เจ้าค่ะ ท่านพี่ของข้าก็อ่อนแอขนาดนั้น ปูพวกนั้นจะหนีบมือเอาได้ ข้าไม่อาจตัดใจใช้เขาได้เจ้าค่ะ จึงต้องให้พี่ใหญ่ทำเท่านั้นแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยโดยไม่หันหน้ากลับมามอง
เหล่าชายชาตรีหัวเราะโดยไม่ออกเสียง พี่ชายแท้ๆ อ่อนแอ แต่ทนเห็นพี่ชายบุญธรรมถูกหนีบมือได้ เด็กสาวคนนี้ช่างกล้าพูดเสียจริง
ซั่งกวนเซ่าเฉินทำราวกับว่าไม่ได้ยินความลำเอียงในคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ เขาสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไป จับปูตัวหนึ่งขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วว่องไว จากนั้นใช้เชือกที่อยู่ด้านข้างมัดเอาไว้
ท่าทางของเขาคล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่แค่เคยทำเช่นนี้มาเพียงครั้งเดียว พี่น้องร่วมเป็นร่วมตายเหล่านั้นที่คอยติดตามเขาแอบมองดูสีหน้าเขาอย่างเงียบๆ และอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
นึกไม่ถึงเลยว่าท่านพญายมผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่ยังทำเรื่องเหล่านี้อย่างชำนาญ ฝีมือของแม่นางน้อยนั้นสูงจริงๆ จัดการท่านพญายมให้ปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟังได้
“น้องสาว พวกข้าก็ช่วยได้นะ” เหล่าชายชาตรีที่แอบตกใจในคำกล่าวของนางไปหลายประโยค และเริ่มหางานทำอย่างรู้จักวางตัว
พวกเขาไม่กล้าให้ท่านพญายมมาปรนนิบัติพวกเขาจริงๆ ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่จัดการพวกเขาต่อหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ แต่หากหลังจากนี้ก็คงจะพูดได้ยาก ท่านพญายมผู้นี้ช่างจิตใจคับแคบเกินไปแล้ว
“พวกท่านเป็นแขก จะให้พวกท่านทำงานได้อย่างไรกันล่ะเจ้าคะ? ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยอย่างเกรงใจ แล้วเปลี่ยนเรื่องชี้ไปที่จานชามที่อยู่ตรงหน้าพลางเอ่ย “ถ้วยพวกนั้นยังไม่ได้ล้าง ขอใครสักคนนำถ้วยไปล้างก็แล้วกันเจ้าค่ะ”
จากการที่พวกเขาทุกคนแอบเฝ้าสังเกตการณ์ในเงามืดมาแล้วหลายวัน รู้จักและคุ้นเคยกับนิสัยของแม่นางน้อยผู้นี้เป็นอย่างดี นางกล่าวเช่นนี้ถือว่าเกรงใจสุดๆ แล้ว แต่ก็ดูออกว่านางไม่ได้ทำเหมือนพวกเขาเป็นดั่งคนนอก
“มีปลา มีกุ้ง มีปู แล้วยังมีตับหมู ไส้หมู ซี่โครงหมู…น้องสาว ฟุ่มเฟือยแล้ว! พวกข้ามากินแค่เกี๊ยวสักถ้วยเท่านั้นเอง เจ้าไม่ต้องลำบากมากขนาดนี้เลย” เซี่ยวชีนั่งยองๆ ลงมา ช่วยหลิงมู่เอ๋อร์ทำความสะอาดไส้ในหมูเหล่านั้น
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าเล็กๆ ขึ้น มองชายผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้า เขาคือคนที่หน้าตาดีที่สุดในบรรดากลุ่มชายทุกคน ฝีมือละเอียดลออราวกับสตรี ในทุกอิริยาบถของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสูงส่ง มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา แต่กลับเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเครื่องในหมูที่สกปรกที่สุดแล้ว คิ้วของเขาไม่ขมวดเลยแม้แต่น้อย
เมื่อหยางซื่อและหลิงต้าจื้อเห็นเครื่องในหมูในตอนแรก ทั้งสองคนล้วนกล่าวโน้มน้าวไม่ให้นางกิน บอกว่าของพวกนี้เป็นสิ่งสกปรก กินแล้วมันน่าคลื่นไส้ เห็นได้ว่าในยุคสมัยนี้เครื่องในหมูไม่เป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไร คุณชายสูงศักดิ์ผู้นี้เต็มใจที่จะจับต้องมัน ก็คงจะไม่ง่ายสักเท่าไหร่
“ท่านน่าสนใจยิ่ง” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มจางๆ “สำหรับคนที่น่าสนใจ ข้าใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไร ผู้อื่นเคารพข้า ข้าก็เคารพผู้อื่นกลับ”
ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านข้างแอบทำหน้ายิ้มอย่างมีเลศนัยต่อพวกเขาทั้งสองคน ไม่มีสตรีใดในใต้หล้านี้หนีเสน่ห์ของหนุ่มรูปงามใบหน้าหยกได้พ้น ดูเหมือนจะมีคนแพ้อีกคนหนึ่งแล้ว