เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 43 ออกอุบาย
เล่มที่ 2 บทที่ 43 ออกอุบาย
หลิงมู่เอ๋อร์สัมผัสพวงแก้มของตน บนใบหน้าล้วนเต็มไปด้วยฝุ่นละออง พอใช้นิ้วมือสัมผัสดู เห็นได้ว่าบนปลายนิ้วของนางเป็นสีดำของฝุ่น สามารถจินตนาการได้ว่าตอนนี้นางตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากขนาดไหน
เมื่อคิดว่าถูกซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นสภาพจนตรอกเช่นนี้ นางมีความคิดที่อยากจะตายขึ้นมาชั่วขณะ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ นางจะไม่ทำให้ยุ่งยากวุ่นวาย น่าขายหน้าแล้ว
“มู่เอ๋อร์” แว่วเสียงนุ่มนวลดังเข้ามาในโสตประสาทของหลิงมู่เอ๋อร์
ครั้นหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงแว่วนั้น และยังได้เห็นสตรีที่ยืนอยู่ด้านหน้าอีกครั้ง นางหันตัวไปด้วยความหงุดหงิด เดินผ่านด้านข้างกายของสตรีผู้นั้นไปทันที
สตรีผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ในดวงตาฉายประกายโกรธเคือง แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปในพริบตา และไม่นานก็หายไปโดยไร้ร่องรอย นางสาวเท้าก้าวใหญ่วิ่งเข้ามา คุกเข่าลงเสียงดังตุ้บต่อหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ กอดขาของหลิงมู่เอ๋อร์เอาไว้พลางเอ่ย “มู่เอ๋อร์ ตอนนี้มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยข้าได้ เจ้าช่วยท่านป้าด้วยเถิด! ป้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้วจริงๆ ”
“เมื่อปีนั้นน้องชายข้าตกลงมาจากต้นไม้ ศีรษะเต็มไปด้วยเลือด ข้าก็เคยขอร้องอ้อนวอนเจ้าเช่นกัน คุกเข่าลงที่พื้นอย่างเช่นในตอนนี้ ขอร้องให้เจ้าไปโน้มน้าวหวังซื่ออย่างคนไร้ค่า ตลอดมาหวังซื่อรักและเอ็นดูเจ้า ขอเพียงแค่เจ้าเอ่ยปาก นางก็ยินยอมรับปากแล้ว แต่ว่าเจ้าทำอย่างไรหรือ? เจ้าก่นด่าพวกข้าว่าเป็นของชดเชย คนต่ำช้า สมควรตายไปพลางใช้เท้าอันสูงส่งของเจ้าเตะน้องชายข้าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและข้าที่วิงวอนเจ้าด้วยความโศกเศร้าเจ็บปวดไปพลาง ท่านป้าเล็กที่รักของข้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นนักบุญหรือ? เหตุใดข้าถึงควรช่วยเจ้าล่ะ? ข้าไม่ฆ่าเจ้าเสีย นั่นก็เพราะเห็นแก่ท่านพ่อของข้าแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ยกเท้าขึ้น หลิงไฉ่เวยที่อยู่บนพื้นตกใจหดตัวเล็กลง ทว่าหลิงมู่เอ๋อร์ก็เก็บเท้าไป
ท่าทางของหลิงไฉ่เวยนั้นจนตรอกเป็นอย่างยิ่ง สตรีผู้นี้ได้รับความรักใคร่โปรดปรานมาตั้งแต่เด็ก ท่าทางต่ำต้อยในตอนนี้ช่างน่าเวทนาเสียจริง แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมานางไม่ใช่คนจิตใจอ่อน จึงไม่ถูกท่าทางน่าสงสารนั้นหลอกเอาได้ นางเพียงแค่รู้สึกรำคาญ เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงคิดว่านางจะสามารถช่วยตนได้? บนใบหน้าของนางเขียนคำว่านักบุญสองคำนี้อยู่หรือ?
“ข้าสำนึกผิดแล้ว เจ้าก็แก้แค้นกลับคืนมาแล้ว ตอนนี้ข้ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย หรือว่าเจ้ายังไม่หายแค้นอีกหรือ? ” หลิงไฉ่เวยเอ่ย “สิ่งที่ข้าต้องการมีไม่มาก ขอเพียงแค่เจ้าช่วยข้าออกความคิดเห็น เมื่อครู่ข้าไปหาหลิงหูเตี๋ยมาแล้ว ให้นางออกห่างจากจวงต้าหลิน แต่นางไม่ยินยอม ทั้งยังบอกอีกว่าทั้งสองตระกูลได้แอบตกลงหมั้นหมายกันอย่างลับๆ แล้ว”
“แล้วอย่างไรล่ะ? เจ้าอยากให้ข้าไปแก้แค้นให้เจ้า? ข้าคงไม่มีหน้าไปทำเช่นนั้น” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเยาะ
“เจ้าฉลาด ช่วยข้าออกความคิดเห็นว่าทำอย่างไรถึงจะทำให้จวงต้าหลินกลับใจได้? เด็กในครรภ์ไม่มีความผิดอันใด! ” หลิงไฉ่เวยมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างขอร้องวิงวอน
หลิงมูเอ๋อร์หัวเราะเยาะเล็กน้อย ปฏิเสธหลีกเลี่ยงนางอย่างไร้ความปราณี ขณะที่นางกำลังเดินออกไป ทันใดนั้นในใจก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
เจ้าคนเดรัจฉานอย่างจวงต้าหลินผู้นั้นน่าขยะแขยงเป็นที่สุด เขากับหลิงไฉ่เวยเป็นคู่สร้างคู่สมหญิงชั่วชายเลว ถ้าให้การหมั้นหมายของพวกเขายกเลิก จวงต้าหลินแต่งกับหลิงหูเตี๋ย หลิงไฉ่เวยอยู่ไม่สู้ตาย นับได้ว่าหลิงไฉ่เวยได้รับการลงโทษแล้ว แต่ว่าจวงต้าหลินก็นับว่าหลุดพ้นความผิด เช่นนี้เขาก็จะได้เปรียบเกินไป จวงต้าหลิน หลิงไฉ่เวย หลิงหูเตี๋ย ยังมีอีกหลายคนที่ช่วยหลิงไฉ่เวยรังแกนางมาเป็นเวลานานหลายปี จะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?
ไม่สู้ปล่อยพวกสุนัขกัดกันเองแบบนี้ นางคอยดูละครงิ้วน้ำดีอยู่ข้างๆ ดีกว่า
“เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าจวงต้าหลินไม่สนใจเจ้า และหลิงหูเตี๋ยยังรังแกเจ้า? ” หลิงมู่เอ๋อร์ยกแขนสองข้างกอดอก ใช้สายตาเหยียดหยามมองหลิงไฉ่เวย “เมื่อก่อนตอนที่เจ้ารังแกข้า หนึ่งเดือนไม่ซ้ำรูปแบบกัน เหตุใดตอนนี้ถึงได้กลายเป็นคนโง่อย่างนี้ไปได้เล่า? หรือว่าความคิดเหล่านั้นที่รังแกข้าเมื่อก่อนไม่ใช่เจ้าเป็นผู้คิด? ”
“มู่เอ๋อร์ เจ้าใส่ความป้าแล้ว ความคิดพวกนั้นป้าไม่ได้เป็นผู้คิดจริงๆ แต่เป็นหลิงหูเตี๋ยที่คอยออกความคิด ป้าไม่ได้เป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอย่างนั้น” หลิงไฉ่เวยใช้สายตาน่าสงสารทอดมองหลิงมู่เอ๋อร์ “มู่เอ๋อร์ เจ้ายอมที่จะช่วยป้าแล้วใช่หรือไม่? ป้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนั้นแน่ ขอเพียงแค่เจ้ายอมช่วยป้า จวงต้าหลินไม่กล้าไม่แต่งกับข้าแน่”
“เจ้าคิดที่จะใช้ข้ากดดันเขา เช่นนั้นก็รั้งแต่จะทำให้เขามีความเคียดแค้น ถึงต่อให้เขาแต่งงานกับเจ้าแล้ว ก็ไม่มีทางปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจ ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะเป็นสตรีเฝ้าห้องหออย่างเดียวดาย ” หลิงมู่เอ๋อร์ใช้น้ำเสียงล่อลวงเอ่ย “เจ้าต้องให้เขาแต่งงานกับเจ้าด้วยความยินยอมพร้อมใจ จากนั้นก็ทอดทิ้งหลิงหูเตี๋ยไป เจ้าคิดว่าหลิงหูเตี๋ยก็บริสุทธิ์หรือ? มีครั้งหนึ่ง ข้าเจอพวกเขาสองคนกำลังเสพ… เจ้าก็น่าจะเข้าใจความหมายของข้าใช่หรือไม่? ดังนั้นกล่าวได้ว่า ถ้าจวงต้าหลินทอดทิ้งหลิงหูเตี๋ยแล้ว คนที่จะถูกทุกคนด่าประณามก็จะเป็นนาง ถึงเวลานั้นทุกคนก็จะรู้ว่าหลิงหูเตี๋ยสมคบมีความสัมพันธ์กับจวงต้าหลินในขณะที่พวกเจ้ายังไม่ถอนหมั้น พวกเขาก็จะได้รู้ว่านางคือปีศาจจิ้งจอก”
“ตอนนี้จวงต้าหลินรังเกียจข้ามาก ข้าไปหาเขา ก็ไม่เคยได้พบเขาเลยสักครั้ง เขาทำได้เพียงแค่รั้งรออยู่ที่หน้าประตูเรือนเขา ทว่าคนในสกุลของเขาไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้เขาเลยแม้แต่น้อย” นี่ต่างหากคือเหตุผลที่หลิงไฉ่เวยไม่มีกำลังที่จะทำสิ่งใด เพียงแต่ให้นางได้เจอจวงต้าหลินเท่านั้น ต่อให้ถึงตายก็ไม่ยอมแพ้ นางอยากให้เขารับผิดชอบลูกในท้อง แต่ว่านางไม่สามารถเจอเขาได้เลย ครั้งเดียวที่นางเจอก็ทำได้เพียงแค่พูดคุยกับเขาไม่กี่ประโยคเท่านั้น หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เขาหนีไป
“ช่างเป็นคนขี้ขลาดจริงๆ กล้าแค่หดหัวอยู่ในกระดอง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าชมชอบอันใดในตัวเขา เป็นบุรุษที่แม้แต่ลูกในท้องคนเดียวยังไม่รับผิดชอบ ทั้งยังปล่อยข่าวลือเช่นนั้นมาทำให้เจ้าด่างพร้อย ไม่ช้าก็เร็วบุรุษเช่นนี้สักวันหนึ่งก็จะขายภรรยาและลูกของเขาทิ้ง เพียงแค่เพื่อความเจริญรุ่งเรืองที่ดีขึ้นของตนเองเท่านั้น” หลิงมู่เอ๋อร์ด่าออกมาอย่างนั้น แต่ก็ยังหลอกล่อให้หลิงไฉ่เวยอย่ายอมแพ้ ถึงขนาดต่อให้ตายก็ต้องไม่ยอมแพ้กับบุรุษผู้นี้ “เจ้าฟังให้ชัดเจนล่ะ เจ้าเอาแต่ตามติดเขาทุกวันเช่นนี้ ก็จะทำให้เขายิ่งหวาดกลัว เขาก็จะยิ่งไม่กล้าออกมาพบเจ้า ต่อจากนี้เจ้าไม่ต้องไปหาเขาอีกแล้ว แล้วก็ยิ่งไม่ต้องไปหาหลิงหูเตี๋ยด้วย รอพวกเขาลดความระแวดระวังลง เจ้าค่อยเสแสร้งทำเป็นพบจวงต้าหลินโดยบังเอิญ เจ้าต้องแสดงต่อเขาเหมือนว่าไม่คิดอันใดกับเขาแล้ว ตลอดมาไม่เคยกล่าวโทษเขาเลย”
“เหตุใดถึงต้องทำเช่นนี้? ” ในดวงตาของหลิงไฉ่เวยเต็มไปด้วยความงงงวย
ครั้งที่แล้วที่ขอร้องให้หลิงมู่เอ๋อร์ช่วย ในตอนนั้นนางเข้าตาจนหมดหนทาง ตอนที่เห็น นางคิดเพียงแค่จะทุ่มสุดตัว ทว่าความเย็นชาและไร้ความรู้สึกของหลิงมู่เอ๋อร์นั้นทำให้นางเข้าใจ สตรีผู้นี้ไม่มีทางช่วยนางอย่างแน่นอน ทว่าวันนี้การที่นางมาหาหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง ก็แค่มีความคิดที่อยากจะลองดู ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่มีความคิดเห็น เหล่าพี่ชายพี่สะใภ้ก็รู้เพียงแค่ว่าจะให้นางไปแต่งงานกับชายชราหรือพ่อหม้าย มีเพียงแค่หลิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้เท่านั้นที่มีปัญญาความสามารถ หลิงมู่เอ๋อร์ในปีนั้นยังเชื่อฟังนางเป็นอย่างดี นางไม่เชื่อว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะมีจิตใจโหดเหี้ยมขนาดจะสามารถกำจัดนางให้สิ้นซากไปจริงๆ
สามารถกล่าวได้ว่า หลิงไฉ่เวยคิดหาวิธีไม่ออกแล้วจริงๆ ดังนั้นถึงได้ขวางหลิงมู่เอ๋อร์ไว้อีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้หลิงมู่เอ๋อร์จะหยุดและช่วยออกความเห็นคิดแผนการให้
“บุรุษสารเลว ยิ่งเจ้าให้ความรัก ให้ความกระตือรือร้นกับเขามากเท่าใด เขาก็จะยิ่งเย็นชากับเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ถึงขนาดเหยียดหยามเจ้า มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ดีมากว่า สิ่งที่เอามาไม่ได้ หรือได้มายากเย็นถึงจะดีที่สุด บุรุษจะยิ่งทะนุถนอนเห็นคุณค่าสิ่งของที่ไม่ได้มาง่ายๆ เขาไม่เห็นค่าเจ้า ก็เพราะว่าเจ้าได้มาอย่างง่ายดายมากเกินไป เจ้าลดความสนใจในตัวเขาลงก่อน จากนั้นค่อยแต่งกายงดงามสักหน่อย เจ้ารู้จักนิสัยของเขาดี ในสถานการณ์แบบนั้น เขาจะต้องเกิดความประหลาดใจต่อเจ้าอย่างแน่นอน จากนั้นก็จะตกหลุมพรางของเจ้า หลังจากนั้นจะทำอย่างไร คงไม่ต้องให้ข้าสอนเจ้าใช่หรือไม่? ส่วนหลิงหูเตี๋ย… จิตใจอิจฉาริษยาของสตรีนั้นค่อนข้างรุนแรง เจ้าไม่เพียงแค่เป็นคู่หมั้นคนก่อนของจวงต้าหลินเท่านั้น ในท้องของเจ้าก็ยังมีลูกของเขาอีก คิดหรือว่าหลิงหูเตี๋ยจะใจกว้างขนาดนั้นหรือ? ”
“เจ้าพูดถูก ขอเพียงแค่ได้พบจวงต้าหลิน ข้าก็มีวิธีที่จะทำให้ระหว่างเขากับหลิงหูเตี๋ยแต่งงานกันไม่สำเร็จ ข้าอยู่กับจวงต้าหลินมาหลายปี รู้จักเรื่องราวของเขาที่เคยทำเอาไว้อย่างทะลุปรุโปร่ง” ใบหน้าของหลิงไฉ่เวยเย็นชา ในดวงตาฉายประกายชั่วร้ายออกมา “หลิงหูเตี๋ย ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นแค่ผีเสื้อที่ตายไปแล้วตัวหนึ่งเท่านั้น ความเจ็บปวดที่เจ้ามอบให้ข้า ข้าจะเอามันกลับคืนไปให้เจ้าแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์แบะปาก “ข้าจะบอกเจ้าเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ว่าเห็นใจเจ้า และก็ไม่ใช่ว่าให้อภัยเจ้า ข้าเพียงแค่ไม่อยากเห็นจวงต้าหลินและหลิงหูเตี๋ยชายหญิงสารเลวคู่นั้นได้ดิบได้ดี ในตอนนั้นพวกเขาก็รังแกข้าไม่ใช่น้อย ข้าจะปล่อยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตดีๆ ได้อย่างไร? ”
ความคิดลมๆ แล้งๆ ในใจของหลิงไฉ่เวยถูกทำลายลงอีกครั้ง ไม่แปลกใจที่นางรู้สึกว่าจู่ๆ หลิงมู่เอ๋อร์ก็เปลี่ยนมาพูดจาดีขนาดนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นแผนการของหลิงไฉ่เวยที่คิดจะให้ตนช่วยล้มเหลว หญิงสาวจึงเผยความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งออกมา หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะเล็กน้อย สาวเท้าก้าวเดินจากไปอีกครั้ง เสียงที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกของนางดังมาจากที่ไกลๆ “นี่จะเป็นการช่วยเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากมารบกวนข้าด้วยเรื่องน่ารังเกียจเหล่านี้อีก หรือรบกวนท่านพ่อท่านแม่ข้า เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
ราตรีคืนนั้น ในเรือนของหลิงมู่เอ๋อร์เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข
ทว่าในเรือนหลังเก่าอีกหลังกลับมีบรรยายกาศอึมครึมอย่างต่อเนื่องมาเดือนกว่าแล้ว
วันรุ่งขึ้น หลิงมู่เอ๋อร์พาคนในครอบครัวไปทำการค้าในเมืองตามปกติ ตอนที่พวกเขาเดินทางไปถึงที่หมาย ก็มีผู้คนจำนวนมากต่อแถวยาวเหยียดเป็นขบวนแล้ว
“แม่นางน้อย เร็วเข้าหน่อย พวกข้ายังไม่ได้กินข้าวกันเลยนะ! พวกเราหิวจะตายอยู่แล้ว! ” หญิงชราผู้หนึ่งโบกมือให้นางพลางกล่าว “ผู้ใหญ่หิวได้ แต่เด็กหิวไม่ได้ หลานชายที่บ้านข้าก็ชอบทานอาหารของร้านเจ้า ไม่ว่าจะเป็นข้าวห่อไข่ก็ดี เกี๊ยวก็ดี ขอเพียงแค่เป็นเจ้าที่ทำออกมา รีบนำอาหารขึ้นโต๊ะให้พวกข้าทานเถิด”
“ท่านป้า ต้องใช้เวลาสักครู่ในการตั้งหม้อ พวกท่านโปรดรอกันสักครู่นะเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนบอกกับหญิงชราผู้นั้น
“ไอ๊หยา งานใช้พละกำลังแบบนั้นควรที่จะให้คนหนุ่มแน่นทำ” ในจำนวนฝูงชน มีผู้หญิงนางหนึ่งดันชายหนุ่มคนหนึ่งออกมา “นี่คือหวงเอ้อร์ที่อยู่ในหมู่บ้านของพวกข้า เขาเป็นเด็กหนุ่มเพียงผู้เดียวในหมู่บ้านที่รู้หนังสือ เมื่อก่อนเขาไปเป็นเด็กฝึกงานอยู่ที่ร้านตีเหล็ก ตอนนี้เขามาเปิดร้านตีเหล็กในตัวเมืองแล้ว เด็กหนุ่มผู้นี้ร่างกายแข็งแรง งานใช้พละกำลังเขาถือว่าเป็นมือดีผู้หนึ่ง”
ชายหนุ่มที่ถูกผลักออกมาผู้นั้น มองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์แล้วยิ้มอย่างไร้เดียงสา เขาลูบศีรษะของตนเอง แล้วเอ่ยอย่างกระดากอาย “แม่นาง ข้าช่วยเจ้า…”
หลิงมู่เอ๋อร์มองชายผู้นี้ จากนั้นจึงยิ้มเบาๆ “พี่ชายเป็นลูกค้า จะให้ลูกค้าลงมือเองได้อย่างไรกัน? ข้าทำเองได้ ขอบคุณในความหวังดีของพี่ชายมากเจ้าค่ะ”
ชายผู้นั้นคิดว่าหลิงมู่เอ๋อร์เกรงใจ กำลังจะลงมือช่วย แต่เห็นเพียงหลิงมู่เอ๋อร์โอบเตาหินที่อยู่บนเกวียนวัว เอาลงมาวางไว้ที่พื้นโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี ตอนที่นางวางลงนั้นวางได้เบามือยิ่ง ไม่สะเทือนพื้นดินเลยแม้แต่น้อย ต้องรู้ว่าเตาหินใบนั้นหนักหนึ่งร้อยกว่าชั่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นชายวัยหนุ่มแน่นโอบมันขึ้นมา ตอนวางลงไปก็ต้องรีบวาง บนพื้นสะเทือนเล็กน้อยถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ
ทุกคนล้วนสูดลมหายใจเฮือก
ครั้นมองไปที่ชายหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง เวลานี้อับอายจนแทบจะหมุดแผ่นดินหนี เขารีบร้อนวิ่งออกไป แม้กระทั่งข้าวก็ไม่กินแล้ว
“นางหนู เจ้าทำเจ้าเด็กหนุ่มนั่นตกใจจนวิ่งหนีเตลิดไปแล้ว” มีคนเอ่ยหยอกล้อ “เดิมทีแล้วเจ้าเด็กนั้นสนใจเจ้า ชั่วชีวิตนี้คงไม่กล้าเข้าใกล้เจ้าแล้วกระมัง”
หลิงมู่เอ๋อร์ตั้งเตาเสร็จแล้ว รีบก่อไฟในทันที ครั้นได้ยินคำพูดของคนผู้นั้น นางยุ่งอยู่กับงานไปพลางเอ่ยไปพลาง “ข้ายังมีพี่ชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน จึงไม่สามารถคิดเรื่องอื่น พี่ชายท่านที่เพิ่งวิ่งไปนั้นเป็นคนดี ควรที่จะได้พบหญิงสาวที่ดีกว่า ถ้าหากว่าทุกคนมีคนที่ดูเหมาะสมก็สามารถแนะนำเขาแทนข้าได้ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีทั้งมารยาททั้งกิจการหายได้ยากยิ่งเจ้าค่ะ”