เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 41 เงินจำนวนมหาศาล
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 2 บทที่ 41 เงินจำนวนมหาศาล
เล่มที่ 2 บทที่ 41 เงินจำนวนมหาศาล
หลิงต้าจื้อบังคับเกวียนวัวอยู่พักใหญ่ จึงได้เอ่ยว่า “มู่เอ๋อร์ มือปราบผู้นั้นคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเฉินเอ๋อร์กระมัง?”
หลิงมู่เอ๋อร์อุ้มหลิงจื่ออวี้ไว้ หยางซื่อนั่งอยู่ด้านข้างของนาง ได้ยินคำพูดของหลิงต้าจื้อ นางจึงกล่าวด้วยเสียงอันเบา “ท่านพ่อ ไม่ว่าจะมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ พวกเขาก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใด พี่ใหญ่เป็นผู้มีพระคุณของบ้านพวกเรา ถ้าหากไม่ใช่พี่ใหญ่ ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะสามารถยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้ได้หรือไม่ ดังนั้นไม่ว่าพี่ใหญ่จะมีฐานะอันใด พวกเราต้องปฏิบัติต่อเขาเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เรื่องนี้ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้ว ถ้าพี่ใหญ่อยากจะพูด เขาก็จะบอกกล่าวกับพวกเราด้วยตนเอง ถ้าไม่อยากพูด พวกเราถามไปมากมาย ก็มีแต่จะทำให้เขารำคาญเท่านั้น หลังจากนั้นก็จะยิ่งเป็นการผลักไสเขาให้ไกลขึ้นเรื่อยๆ เจ้าค่ะ ”
“เจ้าพูดได้ถูก ไม่ว่าจะเป็นเฉินเอ๋อร์ก็ดี หรือหนุ่มน้อยท่านนั้นที่มาวันนี้ก็ดี พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีพระคุณต่อครอบครัวพวกเรา” หลิงต้าจื้อเผยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ท่านพ่อ อย่าเพิ่งกลับบ้านเจ้าค่ะ พวกเราไปซื้อของก่อน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับหลิงต้าจื้อที่ขับเกวียนอยู่ด้านหน้า
“ซื้อสิ่งใด?เมื่อสักครู่ได้เงินมาห้าสิบตำลึงเงิน อีกทั้งวันนี้พวกเราก็หาเงินได้มากมายขนาดนี้ ตอนนี้ควรกลับบ้านนำเงินไปเก็บ บนกายพกเงินมากมายขนาดนี้ ข้ารู้สึกไม่วางใจอยู่ตลอดเวลา” หยางซื่อกล่าวไปพลางมองไปรอบด้านไปพลาง ท่าทางดูเหมือนกับกำลังป้องกันขโมย
“ฮ่า… ท่านแม่ ท่านไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนี้ พวกเราเดินดูสินค้าเหมือนยามปกติก็พอแล้วเจ้าค่ะ ท่านมองซ้ายแลขวาเช่นนี้ ผู้ใดก็มองออกว่าพวกเรามีลับลมคมในนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์เผลอหัวเราะออกมา
หลิงจื่ออวี้ยกยิ้มไร้เดียงสาขึ้น รอยยิ้มนี้ของเขา หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกหวงแหนจนทนแทบไม่ไหว นางอุ้มหลิงจื่ออวี้พลางกล่าว “จืออวี้น้อยของพวกเราก็ยังหัวเราะท่านเลยเจ้าค่ะ!”
ครั้นหยางซื่อได้ยิน หันกลับไปเห็นรอยยิ้มที่ค่อยๆ จางหายไปของหลิงจื่ออวี้พอดี นางหัวเราะพลางกล่าว “พวกเจ้าก็รู้จักแต่หัวเราะเยาะแม่ แม่ยากจนมาทั้งชีวิต ไม่เคยเห็นเงินเยอะแยะมากมายขนาดนี้มาก่อน จะไม่ตื่นเต้นได้หรือ?แต่ว่าพวกเรามีจอมยุทธ์หญิงมู่เอ๋อร์ผู้นี้ ผู้ใดจะกล้ามาปล้นพวกเรากัน?เป็นข้าที่คิดมากเกินไปเองจริงๆ ”
“เด็กน้อย อยากจะซื้อสิ่งใดหรือ?” หลิงต้าจื้อเอ่ยถาม
“พวกเราไปโรงตีเหล็กกันเถิดเจ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ข้าต้องการเข็มเงินหนึ่งชุด มีแต่โรงตีเหล็กเท่านั้นถึงจะสามารถทำได้”
“เจ้าจะเอาเข็มเงินไปทำอันใด?” หยางซื่อเอ่ยถาม
”ระยะนี้ท่านอาจารย์กำลังสอนข้าฝังเข็ม ท่านกล่าวว่าการฝังเข็มสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายได้ ข้าต้องการเข็มเงินเพื่อนำมาฝึกฝนเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงแต่งเรื่องต่อไป
“อมิตตาพุทธ ขอบคุณท่านเทพเซียนเบื้องบนยิ่ง” หยางซื่อใช้สองมือสิบนิ้วพนมมือ แล้วโค้งคำนับไปทางท้องฟ้า
ครั้นเดินทางมาถึงโรงตีเหล็ก หลิงมู่เอ๋อร์ได้พบกับนายช่างของที่นั่น นางบอกกล่าวความต้องการของตนเอง ช่างตีเหล็กมีประสบการณ์และความรู้กว้างขวาง ตกปากรับคำนางอย่างรวดเร็ว
หลังจากออกจากโรงตีเหล็ก พวกเขาก็เตรียมตัวกลับบ้าน
ข้าวสารและแป้งหมี่ในบ้านยังเหลืออยู่ไม่น้อย เมื่อวานหลิงมู่เอ๋อร์ได้ซื้อของที่ควรจะซื้อไว้หมดแล้ว เงินของวันนี้สามารถเก็บออมเอาไว้ ตอนนี้ทุกคนอยากจะกลับบ้านไปนับเงินเร็วๆ แล้ว
“ท่านลุงสาม” เสียงดังกังวานดังเข้ามาในโสตประสาทหูของทุกคน
ทุกคนรู้สึกว่าเสียงนั้นช่างคุ้นหูยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ถึงแม้ว่าหลิงต้าจื้อจะเป็นบุตรลำดับที่สาม แต่ก็มีความสัมพันธ์กับเหล่าพี่น้องในจวนหลังเก่านั้นถือว่าธรรมดาทั่วไป ลูกหลานของพวกเขาก็ไม่มีผู้ใดให้ความเคารพเขา ครั้นได้พบเห็นเขาก็ทำมองไม่เห็นมาโดยตลอด ตั้งแต่เล็กจนใหญ่ก็ไม่เคยมีผู้ใดเรียกขานว่าท่านลุงสาม
ผู้เดียวที่เคยเรียกขานหลิงต้าจื้อก็มีเพียงแต่แม่นางน้อยผู้นั้นหลิงเยวี่ยเอ๋อร์ เพียงแต่ว่าเด็กสาวผู้นั้นเป็นคนขี้ขลาด และนี่ก็ไม่ได้พบเจอกันมานานมากแล้ว
ทุกคนยังคงเดินหน้าต่อไป
“ท่านลุงสาม” ครั้งนี้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง คนที่เรียก ‘ท่านลุงสาม’ ในขณะนี้วิ่งก้าวเล็กเหยาะๆ เข้ามา และได้มายืนอยู่ด้านหน้าของพวกเขาแล้ว
“เป็นเจ้า” หลิงต้าจื้อมองคนที่มา ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน “มีธุระอันใดหรือ?”
หลิงจื่อจวิ้น
หลิงจื่อจวิ้นกำลังเล่าเรียนที่สถานศึกษาเอกชนในเมือง
หลิงจื่อจวิ้นเช็ดเหงื่อ มองไปที่หลิงต้าจื้อด้วยรอยยิ้มเล็ก “เมื่อครู่ได้มองเห็นท่านลุงสาม ข้านึกว่ามองผิดไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นท่านจริงๆ ขอรับ”
“ท่านพ่อข้าถามเจ้าว่า มีธุระอันใดหรือ?ถ้าไม่มีอันใด ก็อย่ามาขวางทาง” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยขัดจังหวะเขาอย่างหมดความอดทน
รอยยิ้มของหลิงจื่อจวิ้นยังคงไม่เปลี่ยน เอ่ยกับหลิงมู่เอ๋อร์ว่า “มู่เอ๋อร์ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นพี่ชายเจ้า เจ้าจะไม่สุภาพต่อข้าสักหน่อยหรือ?”
“อย่าได้มานับญาติไปทั่ว ข้าไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพวกเจ้า” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชา “ถ้ายังไม่ไสหัวไปอีก ก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจ”
นางหักนิ้วมือ นิ้วมือส่งเสียงดังกรอบแกรบ นัยน์ตาคู่นั้นมืดครึ้มจ้องถลึงไปที่เขา คล้ายกับพร้อมที่จะปะทุขึ้นได้ตลอดเวลา
หลิงจื่อจวิ้นเคยเห็นท่าทางที่บ้าคลั่งของหลิงมู่เอ๋อร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของเขามาแสนนานไม่เลือนหาย เพราะเรื่องนั้น เขาจึงได้เป็นตัวตลกของสหายร่วมชั้นเรียน ด้วยเหตุนี้ ทำให้เขาโกรธแค้นหลิงมู่เอ๋อร์ หลิงต้าจื้อ หยางซื่อ… เกลียดชังคนในครอบครัวของพวกเขาทุกคน ถ้าหากไม่ใช่เพราะหลิงมู่เอ๋อร์มีคนคอยหนุนหลังอยู่ เขาคงไม่ปล่อยนางเด็กสารเลวผู้นี้ไปแน่
“ข้าก็แค่เห็นท่านลุงสาม จึงคิดอยากจะทักทาย ก็ไม่ได้มีเรื่องอันใดอื่นแล้ว” หลิงจื่อจวิ้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “มู่เอ๋อร์ ข้าเป็นลูกหลานชนรุ่นหลัง การคารวะผู้อาวุโสเป็นมารยาทพื้นฐานที่สุด ไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม ข้าจะมาแสดงความเคารพเมื่อได้พบปะกัน อีกอย่างแล้ว เรื่องครอบครัวของพวกเราเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงต้องขุ่นเคืองกันนานถึงเพียงนี้? เจ้าจะใจกว้างสักหน่อยไม่ได้เลยหรือ? ”
“เหอะ!ไม่เคยเห็นผู้ใดชอบให้ตนเองโดนด่าเช่นเจ้ามาก่อน ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างเย็นชา “ท่านพ่อข้าไม่มีหลานชายอย่างเจ้า แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรับการคารวะจากเจ้า หากเจ้ายังกล่าวเยิ่นเย้อมากความอีก ข้าก็จะชกจนแม่เจ้าจำบุตรของตนเองไม่ได้ อย่าได้มาทดสอบความอดทนกับข้า อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าเพิ่งจะชกต่อยพวกผู้ชายมาแล้วสามคน ผู้ชายพวกนั้นรูปร่างสูงใหญ่กว่าเจ้ามาก ตอนนี้เกรงว่าฟันน่าจะหลุดไปหลายซี่แล้ว คงจะลุกจากเตียงไม่ได้อีกครึ่งเดือน เจ้าอยากจะลองหมัดของสตรีอย่างข้าหรือไม่? ถ้าหากอยากลอง ข้าก็จะสนองให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
หลิงจื่อจวิ้นก้าวถอยหลังหลั่นๆ เขากล่าวด้วยสีหน้าไม่ดีนัก “ในเมื่อคารวะตามมารยาทแล้ว ข้าก็ควรที่จะกลับไปศึกษาต่อแล้ว ท่านลุงสาม วันหลังข้าจะมาคารวะท่านใหม่ขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์มองเห็นเงาร่างของหลิงจื่อจวิ้นหนีเตลิดไป นางพ่นเสียงฮึอย่างเย็นชาออกมาหนึ่งที เอ่ยกับหลิงต้าจื้อที่อยู่ด้านข้างว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าใจอ่อนเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นการทำร้ายพวกเรานะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ใจอ่อนแน่นอน ครั้งนี้ข้าตัดขาดอย่างเด็ดขาดแล้ว” หลิงต้าจื้อทอดมองหยางซื่ออย่างละอายใจ “หลายปีมานี้ ข้าทำให้แม่ของเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานมามาก ทั้งยังให้นางพยายามอดทนอดกลั้น ร่างกายของนางทรุดโทรมลงทุกวัน ถ้าหากยังต้องอดทนอดกลั้นต่อไป ไม่แน่ว่านางก็อาจจะจากข้าไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าก็ไม่มีทางที่จะรับได้”
“อย่าคิดถึงมันอีกเลย ข้าไม่เคยกล่าวโทษเจ้า” หยางซื่อจับมือของหลิงต้าจื้อ “สามีภรรยาต้องดูแลกันจนแก่เฒ่า เจ้ายอมรับข้า ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งใจแล้ว ชั่วชีวิตนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ทอดทิ้งเจ้า”
หลิงมู่เอ๋อร์ลูบที่แขนของตนเอง ขนบนแขนนั้นลุกไปทั้งตัว ท่านพ่อท่านแม่ของเขารักกันมากเช่นนี้ นางเหมือนถูกป้อนอาหารสุนัขทุกวัน ช่างแทงใจคนไม่มีคู่จริงๆ!
ทำเอานางอยากจะหาใครสักคนมาแสดงความรักอย่างสะเทือนเลือนลั่นแบบนี้บ้างเลย
แต่ว่า ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน!ร่างกายนี้อายุเพิ่งจะอายุสิบกว่าปี เป็นวัยที่กำลังศึกษาในมัธยมตอนปลาย นางถึงไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องความรัก
หมู่บ้านตระกูลหลิง พวกชาวบ้านเห็นหลิงต้าจื้อขับเกวียนวัวกลับมา บนเกวียนเต็มไปด้วยสิ่งของวางไว้มากมาย คนพวกนั้นแสดงสีหน้าท่าทางที่อิจฉาออกมา
“ได้ยินมาว่าคนบ้านนี้กำลังทำการค้า พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าการค้าอันใด?” ชาวบ้านรวมตัวกันพูดคุยถึงสถานการณ์ในบ้านของหลิงมู่เอ๋อร์
“วันนั้นข้าไปซื้อเข็มกับด้าย มองเห็นพวกเขาอยู่ไกลๆ ได้ยินว่าขายไข่อันใด ข้าวอันใดสักอย่าง แต่ถึงอย่างไรก็แพงมากๆ หนึ่งชิ้นสามสิบอีแปะเชียว!” หญิงออกเรือนหนึ่งคนกำลังอุ้มลูกอยู่ กำลังกล่อมลูกนอนอย่างระมัดระวัง เด็กเพิ่งจะอายุได้ไม่กี่เดือน กำลังเป็นวัยที่ยังควบคุมอันใดไม่ได้ เด็กน้อยนั้นจึงร้องไห้อยู่ตรงนั้น
“สวรรค์ทรงโปรด!สามสิบอีแปะ?นั่นไม่ใช่ข้าวแล้ว แต่เป็นเงินแล้วกระมัง?ผู้ใดจะยอมกินข้าวหนึ่งชิ้นสามสิบอีแปะกัน?ถ้าหากหิวมากจริงๆ หนึ่งอีแปะกินหมั่นโถวได้ตั้งสองก้อนทั้งยังกินได้อิ่มมากๆ สามสิบอีแปะก็ใช้ไม่หมด!” สตรีอีกคนพูดอย่างตกตะลึง
“แล้วค้าขายดีหรือไม่?” ผู้หญิงอีกหนึ่งคนเอ่ยถามหญิงออกเรือนที่อุ้มลูกอยู่ “ดูท่าทางของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนจะดีใจเป็นอย่างมาก การค้าน่าจะดีมากอยู่กระมัง?”
“ข้าอุ้มกำลังลูกอยู่ ไหนจะกล้าเข้าไปประสมโรงด้วย อีกอย่างแล้ว บ้านของพวกเขาเอาอกเอาใจยากขนาดนั้น ข้าไม่อยากเข้าไปใกล้หรอก ถ้าเกิดเข้าใจผิดคิดว่าข้าจะไปทำอันใดต่อพวกเขา เช่นนั้นจะไม่ซวยเอาหรือ?การค้าของบ้านพวกเขาจะดีหรือไม่ดีก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า ข้าใช้ชีวิตอันน้อยๆ ของข้า ไม่อยากยุ่งเรื่องของชาวบ้านให้มาก” สตรีที่อุ้มลูกอยู่เอ่ยขึ้น “ไม่ได้การแล้ว ทารกร้องไม่หยุด เกรงว่าน่าจะหิวแล้ว ข้าจำเป็นต้องกลับไปป้อนโจ๊กให้เขาแล้ว”
“ไปเถิดไปเถิด!” คนอื่นๆ ต่างโบกมือ
หลังจากที่หญิงที่อุ้มลูกกลับไป คนที่เหลือก็พูดถึงเรื่องของหลิงมู่เอ๋อร์ต่อ
“นับตั้งแต่ที่นางเด็กผู้นั้นป่วยหนักครั้งที่แล้ว หลังจากตื่นขึ้นมาก็เหมือนกับเปลี่ยนเป็นอีกคนไปเลย ตอนนี้ลักษณะท่าทางดุร้าย พวกเจ้าว่า หรือว่าจะถูกของไม่สกปรก…”
“อาสะใภ้ คำพูดพวกนี้กล่าวต่อหน้าพวกข้าก็พอแล้ว แต่อย่าได้ไปพูดจาส่งเดชไปทั่วเป็นอันขาด นางเด็กผู้นั้นโหดร้ายอย่างยิ่ง ไม่ใช่คนที่น่าไปล่วงเกิน ทุกคนต้องปิดปากตนเองให้ดี ใช้ชีวิตตามปกติ ออกห่างจากครอบครัวพวกเขานั้นให้ไกลๆ หน่อย ก็จะอยู่ได้ด้วยความสงบและไม่มีเหตุทะเลาะเบาะแว้งซึ่งกันและกัน”
“พวกเจ้าไม่อยากรู้เรื่องข้าวที่พวกเขาขายหรือ…”
“มีอันใดให้น่าสงสัยใคร่รู้กัน?เจ้ากล้าไปแย่งชิง?เจ้ากล้าไปเรียนกับพวกเขา? พวกเขามีความสามารถนั้นในการหาเงิน พวกเราไม่มีความสามารถนั้น ก็ทำได้เพียงแต่ใช้ชีวิตทำไร่ทำนาไปวันๆ ”
ทุกคนยิ่งพูดในใจก็ยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้ม ผ่านไปไม่นาน ทุกคนก็ต่างแยกย้าย
“พี่ชายเจ้าคะ…” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนเข้าไปหาหลิงจื่อเซวียนที่อยู่ในเรือน “พวกข้ากลับมาแล้ว ”
ครั้นหลิงจื่อเซวียนได้ยินเสียง ก็ค่อยๆ เดินออกมา เขามองเห็นทุกคน จึงแย้มรอยยิ้มพลางกล่าว “เหนื่อยกันแล้วกระมัง?แป้งที่มู่เอ๋อร์นวดไว้เมื่อคืนวานยังกินไม่หมด ข้าตัดเป็นเส้นทำสุกเรียบร้อยแล้ว พวกท่านรีบไปล้างมือ แล้วมากินข้าวได้แล้วขอรับ”
“ไอ๊หยา พี่ชายเข้าครัวเองเลย เช่นนั้นข้าต้องกินให้เยอะๆ สักหน่อย” หลิงมู่เอ๋อร์อุ้มหลิงจื่ออวี้ลงมา
หลิงต้าจื้อกับหยางซื่อยกถังเหล่านั้นกับโต๊ะเก้าอี้ลงมา เตายังคงวางไว้บนเกวียน พรุ่งนี้ยังต้องใช้มัน จึงไม่ต้องยกย้ายไปย้ายมาแล้ว
ครั้นตอนที่หยางซื่อยกถังที่ใส่เหรียญทองแดงใบนั้น ก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งดังออกมาจากด้านใน ใบหน้าก็ยกแย้มรอยยิ้มออกมา
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหน้าหัวเราะพลางกล่าว “ท่านแม่ ทานข้าวก่อนเถิด!ทานเสร็จแล้ว พวกเราค่อยมานับกันเจ้าค่ะ”
หยางซื่อพยักหน้าตอบรับติดๆ “ตกลง แม่ก็อยากรู้ว่าวันนี้บ้านของพวกเราหาเงินได้มากน้อยเท่าใด ใช่แล้ว มู่เอ๋อร์ ตอนนี้ไม่มีไข่ไก่ พวกเราสามารถขายเกี๊ยวไปก่อนได้”
“ไม่ใช่เพียงแค่เกี๊ยวเจ้าค่ะ ข้ายังอยากเพิ่มอย่างอื่นสักสองสามชนิดที่สามารถขายได้อีก อย่างเช่น ลาเมี่ยน [1] เตาเซียวเมี่ยน [2] และยังมีเส้นหมี่ผัด เพียงแต่ถ้าทำเช่นนั้น เตาหนึ่งใบไม่เพียงพอต่อการใช้ ไม่ได้ไม่ได้ ยังคงขายเกี๊ยวไปก่อน อีกสักสองสามวันค่อยไปเช่าร้าน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “รอพี่ใหญ่กลับมา ข้าค่อยถามเรื่องร้านนั่นที่เขาเอ่ยถึงว่าเป็นอย่างไร”
เชิงอรรถ
[1] ลาเมี่ยน (拉面) หมายถึง บะหมี่ดึงมือ เป็นเส้นบะหมี่สีขาวที่ไม่มีส่วนผสมของไข่ไก่ กรรมวิธีการผลิตเส้นคือการดึงก้อนแป้งทบกันไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเส้นกลมเล็ก “拉อ่านว่า ลา” หมายถึง ดึง , “面อ่านว่า เมี่ยน” หมายถึง แป้ง
[2] เตาเซียวเมี่ยน (刀削面) หมายถึง บะหมี่มีดเฉือน เส้นบะหมี่ขึ้นชื่อของมณฑลซานซี มีขั้นตอนการทำเส้นจะทำโดยการเฉือนก้อนแป้งที่นวดไว้อย่างดีแล้วด้วยมีด เฉือนแป้งเป็นเส้นๆ ให้ลงไปในหม้อต้ม รอจนเส้นสุกก็จัดเสิร์ฟพร้อมน้ำซุปและเครื่องอื่นๆ ชื่อมาจากกรรมวิธีการผลิตเส้น “刀อ่านว่า เตา” หมายถึง มีด , “削อ่านว่าเซียว” หมายถึง เฉือน, “面อ่านว่า เมี่ยน” หมายถึง แป้ง