เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 37 หารือ
เล่มที่ 2 บทที่ 37 หารือ
กินอิ่มหนำสำราญไปหนึ่งมื้อ หยางซื่อเก็บกวาดถ้วยชามและตะเกียบเข้าไปในห้องครัว หลิงมู่เอ๋อร์ลุกขึ้นฉับไวหวังจะช่วย หากหยางซื่อรีบกดไหล่ของนางลง ไม่ยอมให้นางขยับตัวไปไหน
หลิงต้าจื้อผู้ซึ่งรักภรรยาของเขามากกล่าวกับหลิงมู่เอ๋อร์ว่า “ปล่อยแม่ของเจ้าไปเถิด! ช่วงระยะนี้นางเอาแต่รำพึงรำพันอยู่ทุกวัน บอกว่าภาระหนักทั้งหมดล้วนอยู่บนบ่าของเจ้า พวกข้าช่วยอันใดไม่ได้ และยังกลายเป็นภาระของเจ้า ตอนนี้ไม่ง่ายนักที่นางจะช่วยหยิบจับอันใดได้ ถ้าหากไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระงานบ้านของเจ้าแม้สักเล็กน้อย คืนนี้นางก็คงนอนไม่หลับแล้ว”
“ท่านแม่ทำงานแล้วสามารถทำให้นางหลับได้ แต่ข้านอนไม่หลับเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ ถ้าหากพวกท่านรักข้า หลังจากนี้อย่าได้แย่งงานข้าทำอีกเลยเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยกน้ำชาด้านข้างๆ ขึ้นมาดื่ม น้ำชาเย็นแล้ว ใบชาคุณภาพต่ำชงออกมาไม่ได้รสชาติตามที่นางพึงพอใจ แต่ว่าในเวลานี้ นางได้แต่อดทนเอาไว้
“เจ้ายังอายุน้อย มันเป็นเพราะเวลานอนของเจ้ามีมาก ดังนั้นการที่เจ้านอนไม่หลับเป็นเรื่องปกติสมวัย ทว่าพวกข้าอายุมากแล้ว นอนให้น้อยหน่อย ทำงานให้มากกลับกันยิ่งทำให้พวกข้านอนหลับได้เร็วมากขึ้น” หลิงต้าจื้อไม่เข้าใจถึงการกล่าวอย่างมีหลักการเหล่านั้น สิ่งที่เขากล่าวนั้นตื้นเขินและเข้าใจง่าย แต่ก็มีเหตุผลทุกประโยค
“เด็กน้อย พรุ่งนี้เจ้ามีแผนการอย่างไรบ้าง? ” ซั่งกวนเซ่าเฉินก็ยังไม่ได้กลับไปที่กระท่อมหลังเล็กของเขา
เมื่อก่อนเขาเคยชินกับการอยู่คนเดียว รู้สึกว่าอยู่ที่กระท่อมหลังนั้นล้วนมีเพียงความเงียบสงบ หากตอนนี้กลับเคยชินที่ได้มีส่วนร่วมกับครอบครัวนี้แล้ว เมื่อกลับไปที่กระท่อมหลังนั้นจึงรู้สึกเดียวดาย ช่วงระยะเวลานี้ เขามักจะคิดถึงเสียงอึกทึกครึกโครมของบ้านหลังนี้เสมอ ทว่า เขาไม่สามารถยึดติดกับพวกเขาได้ทุกวัน เช่นนั้นจะทำให้มีเรื่องนินทาไร้สาระแพร่ออกไป เขาอาจจะไม่สนใจคำกล่าวนินทาว่าร้ายเหล่านั้นได้ แต่ว่าชื่อเสียงของเด็กสาวคนนี้เสียหายไปนานแล้ว ถ้าหากเขาทำให้นางต้องเดือดร้อนอีก ชื่อเสียงของนางก็จะฉาวโฉ่ดังไปไกลแล้วจริงๆ
หลังมื้ออาหารเย็นสิ้นสุดแล้ว ถึงเวลาอันสมควรที่จะต้องจากไปจากบ้านหลังนี้ แต่ว่าเท้าทั้งสองข้างนั้นหนักอึ้งดั่งล่ามโซ่ผูกลูกตุ้ม มันยากแสนเข็ญที่คิดจะขยับขาสักข้าง คนในบ้านสกุลหลิงล้วนคิดกับเขาเป็นคนกันเองอย่างแท้จริง ต่างปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปแล้ว ไม่ว่าคนครอบครัวนี้จะเอ่ยเรื่องใดก็ไม่เคยปิดบังขาแม้แต่น้อย ถ้าหากมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น คนในบ้านสกุลหลิงยังเคารพและให้ความสนใจในความคิดเห็นของเขาอีกด้วย
ขณะที่หลิงมู่เอ๋อร์กำลังเดินเล่นในบริเวณลานบ้านเพื่อเป็นการย่อยอาหาร นางตบลงที่ท้องอย่างเบามือด้วยสีหน้าเบิกบานใจ
วันนี้ทำซี่โครงหมูอบ หุยกัวโร่ว [1] และไส้หมู กินจนปากเต็มไปด้วยน้ำมัน ยามปกติแล้วความเจริญอาหารของนางไม่มากเท่าใด วันนี้กินมากกว่าปกติเป็นสามเท่า ในเวลานี้ท้องยื่นออกมาเล็กน้อย ความอึดอัดเหล่านั้นทำให้นางเสียใจภายหลังที่ควบคุมความอยากอาหารสะสมของตนเองมิได้
หลังจากฟังคำพูดของซั่งกวนเซ่าเฉินแล้ว นางได้กล่าวแผนการในใจออกมา “พรุ่งนี้ข้าต้องการนำโต๊ะและเก้าอี้สองตัวไปด้วย หากมีลูกค้าที่ต้องการทานข้าวห่อไข่ที่นั่น ก็สามารถให้พวกเขานั่งกินที่ตรงนั้นได้เลยเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่าอาจจะมีบางคนที่กินแล้วต้องการสั่งเพิ่มอีก เช่นนั้นก็จะสามารถขายได้มากขึ้น ส่วนคนที่ไม่ต้องการกินที่นั่น ก็สามารถใส่ห่อกลับไปกินได้เจ้าค่ะ”
“นอกจากโต๊ะเก้าอี้แล้ว ยังต้องเตรียมถ้วยตะเกียบ ฟืน รวมถึงวัตถุดิบให้เพียงพอ ใช่แล้ว ยังต้องเตรียมน้ำด้วย ถ้าให้กินเพียงแค่ข้าวห่อไข่ ลูกค้าจะติดคอได้ง่าย” หลิงมู่เอ๋อร์อธิบายความคิดของตนเองอย่างละเอียด “พี่ใหญ่ผู้แสนปราดเปรื่อง ท่านมีความคิดอย่างไรเจ้าคะ”
“วันนั้นได้ยินที่เจ้ากล่าวว่า เจ้าจะปรับขึ้นราคา สำหรับข้าวห่อไข่สามสิบอีแปะ คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถซื้อกินได้ ดังนั้น ลูกค้าหลักของเจ้าน่าจะเป็นลูกค้าพวกระดับชนชั้นกลางขึ้นไป พวกเขาเห็นแผงขายริมถนนของเจ้า เกรงว่าคงจะไม่ทานอยู่ที่นั่น โต๊ะเก้าอี้ของเจ้าไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเขา” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวความคิดเห็นของตนเอง “คนที่เต็มใจจะกินที่แผงขายของริมถนน น่าจะเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญเท่านั้น แต่ทว่าคนธรรมดาไม่สามารถซื้ออาหารที่ราคาแพงเช่นนี้ได้”
“อืม แต่ว่าข้าจะไม่เตรียมไว้ก็ไม่ได้” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้า ยอมรับว่าที่ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวมานั้นมีเหตุผล
“ถ้าสามารถมีหน้าร้านเป็นของตนเอง ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่ใช่ปัญหา ถึงแม้ว่าจะซื้อหน้าร้านไม่ได้ หากสามารถเช่าได้ ข้ารู้ว่าร้านค้าบางแห่ง ค่าเช่าแต่ละเดือนเป็นเงินหนึ่งตำลึงเงิน” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว “หากเจ้าเช่าหน้าร้านค้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข็นของทุกวัน วัตถุดิบเหล่านั้นสามารถเก็บไว้ในร้านได้ ทุกอย่างก็จะสะดวกสบายมากขึ้น พวกเจ้าเพียงแค่เดินทางวันละสองรอบเท่านั้นก็พอแล้ว”
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ที่รักของข้า ข้าก็รู้ว่าการเช่าหน้าร้านจะสะดวกขึ้นมาก เพียงแต่ท่านคิดดูเถิด วันนี้ข้าขายได้หนึ่งตำลึงเงิน จากนั้นก็ใช้ไปแล้วห้าร้อยอีแปะ รอให้ข้าเช่าหน้าร้าน เช่นนั้นก็ต้องรอสักสองสามวันถึงจะเช่าได้ อีกประการ ข้าจะต้องสังเกตปฏิกิริยาของลูกค้าเสียหน่อย ถ้าสามารถทำการค้าได้เพียงไม่กี่วัน หากข้าเช่าหน้าร้านในตอนนี้ เช่นนั้นจะไม่เสียเปรียบเกินไปหรือเจ้าคะ? ”
“พี่ใหญ่ที่รักของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว! ” หลิงจื่อเซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังนั่งตากลมในลานบ้าน
นานเท่าใดแล้วที่เขาไม่ได้ออกมาสูดอากาศดังเช่นตอนนี้? ตอนนี้ได้ออกมานั่งอยู่ด้วยกันกับทุกคน ความรู้สึกนั้นช่างปลอดโปร่งเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่จำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด แบกรับทุกสิ่งไว้เพียงลำพังอีกต่อไป
ครั้นได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ หลิงจื่อเซวียนที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวล้อเลียนเขา “อย่าได้เรียกขานไปทั่ว เจ้าเอ่ยเช่นนี้มันทำร้ายจิตใจของข้า”
หลิงมู่เอ๋อร์เผลอหัวเราะออกมา “เจ้าค่ะ พี่ใหญ่ที่รัก คราวหน้าข้าจะระวัง ข้าไม่มีเจตนาอื่น ก็แค่อยากจะบอกกับพี่ใหญ่ว่า ทำเรื่องราวใดจะต้องทำทีละเรื่องทีละเรื่อง จะรีบร้อนไม่ได้”
ในที่สุดซั่งกวนเซ่าเฉินก็ได้เวลากล่าวถึงจุดประสงค์หลัก “ข้าสามารถให้เจ้ายืมได้ เพียงแค่ไม่กี่ตำลึงเงิน ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถคืนให้ข้าได้ภายในหนึ่งเดือน”
ใช่แล้ว เขามีความคิดนี้อยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่หลิงมู่เอ๋อร์มีนิสัยดื้อรั้น มักจะไม่ยอมรับความหวังดีของเขาอยู่เสมอ ถ้าหากเขาเสนอขึ้นมากลางปล้อง เด็กสาวผู้นั้นจะปฏิเสธอย่างแน่นอน เขาจงใจเอ่ยถึงการค้าของวันนี้ ยกประเด็นปัญหาในปัจจุบันของพวกเขาขึ้นมา เช่นนี้สามารถทำให้นางยอมรับความหวังดีของเขาได้ การกระทำชัดเจน ผลที่ได้นั้นเล็กน้อย
“ข้าวสารและแป้งหมี่ที่ท่านขนมาคราวก่อนหนักยี่สิบชั่ง ข้ายังคงติดค้างค่ายารักษาของท่านพ่อท่านแม่สามตำลึงเงิน รวมถึงเงินกี่สิบอีแปะที่ข้าไปขอยืมจากท่าน” หลิงมู่เอ๋อร์คำนวณสิ่งที่นางติดค้างซั่งกวนเซ่าเฉินโดยละเอียด นางเอามือรองแก้ม มองบุรุษที่อยู่ตรงหน้า “ข้ารู้ว่าท่านเก่งกาจ มีเงินเก็บอยู่ในมือ ข้าไม่ได้กล่าวว่าท่านนะเจ้าคะ ถึงแม้ว่าท่านจะมีเงินมาก ทว่าก็ควรที่จะเก็บออมไว้ ไม่ใช่นำไปให้ผู้อื่นใช้ ท่านยังไม่ได้แต่งภรรยาเลยนะเจ้าคะ! ในช่วงไม่กี่ปีนี้ท่านควรเก็บเงินเพื่อแต่งภรรยา จากนั้นก็ให้กำเนิดบุตรตัวอ้วนน้อย เช่นนี้ชีวิตของท่านก็จะสมบูรณ์แบบแล้วเจ้าค่ะ”
พรืด! หลิงจื่อเซียนที่อยู่ด้านข้างพ่นเสียงหัวเราะออกมา
โชคดีที่ตอนนี้เขาไม่ได้ดื่มน้ำ มิฉะนั้นเขาคงจะสำลักน้ำตาย เมื่อเห็นหลิงมู่เออร์เจ้าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กำลังอบรมอย่างวางมาดขึงขังใส่ซั่งกวนเซ่าเฉิน
“ท่านพี่ ท่านหัวเราะอันใดเจ้าคะ? สิ่งที่ข้ากล่าวกับพี่ใหญ่ ก็เป็นสิ่งที่ข้าต้องการจะกล่าวกับท่านเช่นกัน ท่านก็ไม่มองตนเองเลยว่าอายุเท่าใดแล้ว ยังไม่ได้แต่งภรรยาเลยนะเจ้าคะ! คนในหมู่บ้านที่อายุราวๆ กับท่าน ลูกพวกเขาล้วนวิ่งกันเต็มเนินแล้ว ท่านเป็นเช่นนี้เมื่อใดข้าจะได้อุ้มหลานชายตัวน้อยเล่าเจ้าคะ” เดิมทีแล้วหลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากหาเรื่องหลิงจื่อเซวียน ผู้ใดใช้ให้เขากล้าหัวเราะเยาะนางกัน?
ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว และหัวข้อในตอนนี้ก็ไม่ดีต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง เขาลุกยืนขึ้น กล่าวเสียงไร้อารมณ์ ว่า “ดึกแล้ว ข้าต้องกลับแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่ร่างของซั่งกวนเซ่าเฉินที่หนีเตลิดไป นางเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
นางรู้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินต้องการช่วยเหลือนาง แต่ว่าทุกครั้งที่เขาออกหน้าช่วยจะทำให้นางไม่สามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้เอง และนั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายอย่างมาก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านพักผ่อนให้เร็วขึ้นหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้าก็จะกลับห้องแล้ว” นางต้องการที่จะกลับห้องหวังจะเข้าไปตรวจสอบในมิติ
เฮ้อ! เมื่อใดจะสามารถสร้างจวนหลังใหญ่ได้กันนะ? เรือนในตอนนี้ทั้งทรุดโทรมทั้งเก่าคร่ำครึ ยิ่งประตูบานนั้นก็พังแล้ว คิดจะเปิดมันล้วนง่ายดายดั่งหยิบส้มใส่ลัง
บางครั้งนางต้องการเข้าไปในมิติและถ้าหากมีคนบุกเข้ามา พลันพบว่านางหายตัวไปจากในห้อง นางจะไม่ถูกมองว่าเป็นภูตผีปีศาจหรอกหรือ?
ชีวิตความเป็นอยู่ของหลิงมู่เอ๋อร์ในตอนนี้เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ขนมปังก็มี บ้านก็มีเช่นกัน และ…บุรุษก็จะมีเช่นกัน
บนพื้นมีตะกร้าไข่ไก่หนึ่งใบ ซึ่งเป็นซั่งกวนเซ่าเฉินนำมา นางอยากจะเปลี่ยนไข่ไก่เหล่านี้ให้กลายเป็นไก่ จากนั้นไก่ก็ออกไข่ ไข่ไก่ก็ฟักเป็นไก่…
“แต่ก่อนมีวิธีแบบโบราณ สามารถทำให้ไข่ไก่ฟักออกเป็นมาลูกเจี๊ยบได้” หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “บางที… ข้าอาจจะลองดู ไม่เช่นนั้นจะไปหาไข่มากมายขนาดนี้ได้จากที่ใด? อีกอย่างแล้ว ไข่ไก่จากข้างนอกไหนเลยจะดีกว่าไข่ไก่ในมิติ ข้าวห่อไข่ที่ดีเลิศที่สุดในตอนนี้ก็เป็นเพราะผักและเครื่องปรุงรสที่มาจากในมิติ ข้าวสารและไข่ล้วนไม่ใช่ของที่มาจากในมิติจึงดึงประสิทธิภาพสูงสุดของข้าวห่อไข่มิได้”
หากสามารถเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบทั้งหมดจากในมิติได้ เช่นนั้นจะอร่อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะเป็นอาหารที่เลี้ยงในพระราชวังก็มิอาจเทียบได้
หลิงมู่เอ๋อร์นึกย้อนกลับไปอยู่ครู่หนึ่ง เริ่มพยายามฟักไข่ตามวิธีที่นางเคยได้ยินมาก่อน ในคืนนี้ นางก็ยุ่งมากๆ อีกแล้ว
เวลาในมิติกับเวลาภายนอกนั้นเท่ากัน เพียงแต่ว่าสำหรับผักและผลไม้ที่ปลูกในมิติ สภาพอากาศและที่ดินในมิติสามารถทำให้พวกมันเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านตื่นเช้าจังเลยเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์นอนอยู่ในมิติทั้งคืน กังวลว่าหยางซื่อและหลิงต้าจื้อจะพบกับอันใดเข้า ดังนั้นนางจึงคอยสังเกตดูท่าทางของพวกเขาเงียบๆ
สองสามีภรรยากำลังตระเตรียมโต๊ะและเก้าอี้ ที่เรือนของพวกเขามีเพียงโต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้สามตัว ซั่งกวนเซ่าเฉินนำโต๊ะและเก้าอี้ของบ้านเขามาให้ตั้งแต่เช้าตรู่
“เหตุใดไม่นอนให้มากหน่อย? เรื่องการตระเตรียมของเหล่านี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าและพ่อเจ้าก็พอแล้ว เรื่องอื่นๆ พวกข้าทั้งคู่ทำไม่ได้ หรือว่างานหยาบพวกนี้ก็ยังไม่วางใจ? ” หยางซื่อจ้องไปที่หลิงมู่เอ๋อร์แล้วกล่าว “แต่ว่าผิวพรรณของเด็กสาวคนนี้ยิ่งอ่อนนุ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงระยะนี้ก็ไม่เห็นเจ้านอนหลับดีๆ เหตุใดผิวพรรณถึงไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย? ”
หลิงมู่เอ๋อร์ลูบๆ ที่แก้มของนาง นางสัมผัสได้ถึงผิวที่ละเอียดอ่อนนุ่มอย่างแท้จริง นางกล่าวพลางแย้มยิ้ม “เพราะว่าข้าเหมือนกับท่านแม่อย่างไรเล่าเจ้าคะ! ”
“ใช่แล้ว! บุตรสาวก็เหมือนกับเจ้า มีผิวพรรณละเอียดอ่อนนุ่ม พวกเจ้าสองแม่ลูกยืนอยู่ด้วยกัน ผู้อื่นล้วนบอกว่าเป็นพี่สาวกับน้องสาว” หลิงต้าจื้อปากหนักต่อคนนอก เมื่อถึงเวลาเอ่ยชมภรรยาของตนเอง เขากลับใช้คำพูดได้อย่างเฉียบแหลมตรงจุด เย้าแหย่จนทำให้หยางซื่อเขินอายได้ทุกครั้ง
“บุตรสาวยังอยู่นะเจ้าคะ พูดจาเหลวไหลอันใดกัน? ” หยางซื่อเอ่ยอย่างโกรธเคือง “มือไม้เร็วหน่อย ข้ายังไม่วางใจเรื่องจือเซวียน”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็อยู่ที่นี่เถิด? ” หลิงต้าจื้อกล่าว “จือเซวียนตอนนี้สามารถลุกจากเตียงขยับเขยื้อนได้นิดหน่อยแล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าหากเขาหกล้มจะทำอย่างไร? พวกเรายังคงจำเป็นต้องอยู่หนึ่งคน”
“นี่…” หยางซื่อสองจิตสองใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไม่ต้องห่วงข้า ถ้าหากแม้กระทั่งข้ายังดูแลตนเองไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่ใช่ตัวภาระของพวกท่านหรือขอรับ? ” เสียงของหลิงจื่อเซวียนดังมาจากในห้อง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ถ้าหากพวกท่านไม่วางใจเกี่ยวกับพี่ใหญ่ พวกเราทำงานเร็วขึ้นเสียหน่อย รีบไปรีบกลับ ข้าจะไปอุ้มน้องเล็กออกมาเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว
หลิงจื่ออวี้อยากตามไปกับพวกเขาด้วย แต่ว่าตอนนี้ยังไม่ตื่น นางจำเป็นต้องช่วยเขาล้างหน้าแต่งตัว
“เมื่อคืนจืออวี้ได้ยินว่าวันนี้จะพาเขาไปในเมืองด้วย ดีใจจนนอนไม่หลับ ครึ่งค่อนคืนถึงจะนอนได้ เจ้าทำเบามือสักหน่อย เขาจะได้นอนบนรถต่อได้” หยางซื่อเก็บของไปพลางเอ่ยกำชับไปพลาง
เชิงอรรถ
[1] หุยกัวโร่ว หมายถึง อาหารขึ้นชื่อของมณฑลเสฉวน เรื่องอีกชื่อว่า เนื้อผัดซ้ำ หรือหมูสองไฟ