เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 36 รักใคร่กลมเกลียว
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 2 บทที่ 36 รักใคร่กลมเกลียว
เล่มที่ 2 บทที่ 36 รักใคร่กลมเกลียว
หลิงมู่เอ๋อร์คาดไม่ถึงเลยว่าหยางซื่อจะมีความคิดเช่นนี้ มันจะเป็นไปได้อย่างไร… ระหว่างนางกับซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างงั้นหรือ…? หลิงมู่เอ๋อร์ย่อมไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน คงเพราะไม่มีเวลาให้ฉุกคิดเช่นกัน
ตอนนี้แม้แต่จะกินข้าวให้อิ่มท้องยังไม่สามารถทำได้ ไฉนเลยจะมีกะจิตกะใจไปคิดถึงเรื่องพวกนั้นอีก? ยิ่งกับซั่งกวนเซ่าเฉินที่หาได้ใช่คนธรรมดาไม่แล้ว ถ้านางชอบเขา เช่นนั้นนางล้วนต้องสู้จนสุดขอบฟ้า สร้างฐานะให้คู่ควรกับเขา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางไม่มีความคิดที่จะสนใจบุรุษผู้ใด ต่อให้ชายผู้นั้นจะเป็นซั่งกวนเซ่าเฉินก็ตาม นางชอบความรู้สึกที่มองเขาเป็นพี่ชายมากกว่า
“ท่านแม่ ต้นหอมในสวนผักน่าจะโตแล้ว อย่าลืมเด็ดกลับมาสักหนึ่งกำนะเจ้าคะ ข้าอยากทำแป้งทอดต้นหอม [1] ” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนบอกหยางซื่อ
หยางซื่อที่เดินออกจากลานบ้านไปแล้วพลันได้ยินเสียงอันแจ่มชัดของหลิงมู่เอ๋อร์จากตัวบ้าน หยางซื่อตอบรับกลับมาจากระยะไกลๆ
หลิงต้าจื้อนั่งอยู่ด้านหน้าเตาด้วยสำนึกตนเองที่อยากจะช่วยหลิงมู่เอ๋อร์จุดไฟ
หลิงต้าจื้อปราศจากความคิดชายเป็นใหญ่อย่างแท้จริง เขาไม่เหมือนบุรุษผู้อื่นที่คิดว่าเรื่องในห้องครัวเป็นงานของอิสตรี หรือเรื่องในบ้านไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนเป็นงานของสตรี บุรุษรับผิดชอบเพียงแค่งานในไร่ในนาและทำงานหาเงินนอกบ้านเท่านั้น ครั้นกลับมาถึงในบ้าน บุรุษเหล่านั้นก็จะนั่งไขว้ขานั่งเล่นอย่างสบายอกสบายใจ แม้ว่าลูกจะล้มลงก็ไม่คิดที่จะพยุงขึ้น
ยามปกติที่หยางซื่อกับหลิงมู่เอ๋อร์ยุ่งเป็นอย่างยิ่ง หลิงต้าจื้อก็จะเป็นคนเข้ามาช่วยเหลือแบ่งเบางานเหล่านั้นอยู่เสมอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำความสะอาดบ้านเรือน แม้แต่ซักผ้าเขาก็เคยทำมาก่อน ในของส่วนนี้ หลิงมู่เอ๋อร์พอใจกับท่านพ่อท่านนี้เป็นพิเศษ ภายภาคหน้าถ้าหากนางต้องแต่งออกไป นางก็อยากจะเสาะหาบุคคลที่เป็นเฉกเช่นเดียวกันกับท่าน
ผ่านไปไม่นาน หยางซื่อจึงได้พาซั่งกวนเซ่าเฉินกลับมา ซั่งกวนเซ่าเฉินนั้นกำลังถือตะกร้าอยู่ใบหนึ่ง ชวนให้สงสัยว่าวัตถุเช่นใดกันที่ซ่อนอยู่ข้างในตะกร้าใบนั้น
“เฉินเอ๋อร์กลับมาแล้ว” หยางซื่อตะโกนเข้ามาข้างในตัวบ้าน
ทุกครั้งที่หยางซื่อเรียกขานซั่งกวนเซ่าเฉินว่า ‘เฉินเอ๋อร์’ เขาจะรู้สึกว่ามันไม่รื่นหูเท่าไรนัก ไม่ได้หมายความว่าซั่งกวนเซ่าเฉินรังเกียจการเรียกขานลักษณะนี้ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมาเรียกเขาว่า ‘เฉินเอ๋อร์’ เขาแค่เพียงไม่คุ้นชินเท่านั้น แน่นอนว่า ลึกๆ ในใจล้วนปรารถนาความใกล้ชิดเช่นนี้ นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการเป็นอย่างยิ่ง
“พี่ใหญ่ ท่านถืออะไรมาอีกแล้วเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปมองหนึ่งที
ด้วยลักษณะนิสัยของซั่งกวนเซ่าเฉินตามที่หลิงมู่เอ๋อร์เข้าใจนั้น เขาเป็นคนประเภทที่ไม่ยอมมามือเปล่าอย่างแน่นอน ในเมื่อถือสิ่งของมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องการนำมามอบให้กับพวกนาง คนผู้นี้ก็เป็นเช่นนี้ ทุกครั้งที่เรียกเขามาทานอาหาร ก็จะเอาอาหารมาเองด้วยตลอด
“เจ้าคิดทำอาหาร ไม่ใช่ว่าต้องการไข่ไก่หรือ?วันนี้ข้าเห็นว่ามีคนขายไข่ไก่ก็เลยช่วยซื้อมาให้เจ้าจำนวนหนึ่ง” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวนิ่งๆ
“จริงหรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์วางงานที่อยู่ในมือลงทันทีพลางวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ เปิดตะกร้าดูไข่ไก่ที่เต็มกรอบตะกร้า
ในสายตาของนางไข่ไก่ใบเล็กๆ เหล่านั้นช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน ถ้าหากในบ้านของนางมีไข่ไก่จำนวนมากขนาดนี้ เช่นนั้นจะดีมากทีเดียว!
อุณหภูมิที่หนาวเหน็บเริ่มมีกำลังอ่อนลงมาก ยามนี้สิ่งที่หลิงมู่เอ๋อร์ขาดมากที่สุดคือไข่ไก่ นางก็คิดอยากซื้อลูกไก่พวกนั้นมาเลี้ยง ทว่า ด้วยความหนาวเย็นเสียดแทงกระดูกจึงยากมากที่จะหาผู้ค้าที่คิดจะขายลูกไก่ในช่วงเวลานี้ ด้วยเหตุนี้ นางทำได้แต่เพียงรับซื้อจากทุกที่ ขอเพียงแค่เห็นคนขายไข่ไก่ แม้ว่าจะสองอีแปะต่อหนึ่งใบ นางก็คิดจะซื้อมัน
“ทั้งหมดหนึ่งร้อยใบ” สีหน้าของซั่งกวนเซ่าเฉินเงียบสงบ คล้ายกับว่าสิ่งที่เขากล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้สำคัญอันใด
หลิงมู่เอ๋อร์โผเข้ากอดซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยรอยยิ้มเริงร่า ตบที่ไหล่เขาพลางกล่าวว่า “ขอบคุณพี่ใหญ่เจ้าค่ะ ในเดือนนี้ท่านช่วยข้าหาไข่ไก่แล้วสองร้อยกว่าใบ วันนี้ข้าก็ขายออกไปได้ห้าสิบใบ พรุ่งนี้ข้าวางแผนว่าจะขายหนึ่งร้อยใบ เห็นไข่ไก่ที่เก็บสะสมมาหนึ่งเดือนกำลังจะใช้หมดแล้ว ข้ากำลังกลุ้มใจไม่รู้ว่าจะไปหาไข่ไก่จำนวนมากเหล่านั้นได้จากที่ใด พอนึกถึงเรื่องนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นพี่ใหญ่ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยข้าอีกครั้ง ”
“อืม ข้าจะคอยช่วยดูให้เจ้าเอง ” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวเสียงราบเรียบ “ข้าจะไปหาบน้ำมาให้”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพูดน้อยแต่ทำจริงสมอ เขาช่วยพวกนางเอาไว้ได้จริงทุกครั้งเลย
ไม่แปลกใจที่หลิงต้าจื้อกับหยางซื่อจะชื่นชอบเขาเป็นพิเศษ ถ้านางเป็นพ่อแม่คน แล้วได้พบเจอชายหนุ่มเช่นนี้ นางย่อมชอบเขาเช่นกัน
“เจ้ามองเฉินเอ๋อร์อยู่นานไปทำไม? เหตุใดยังไม่รีบทำงานของเจ้าอีก?” หยางซื่อเห็นท่าทางของหลิงมู่เอ๋อร์ก็เอ่ยออกมาอย่างโกรธเคือง
“ท่านแม่ ท่านมักจะเข้าข้างแต่พี่ใหญ่ ข้าหึงหวงแล้วนะเจ้าคะ ” หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้นกล่าว
“เจ้าเป็นคนเลือกพี่ใหญ่เอง เจ้าก็น่าชอบเขาเช่นกันถึงจะถูก เจ้าเป็นบุตรสาวของข้า หึงหวงอันใดกัน?ไม่อายบ้างหรือ ” หยางซื่อเผลอหัวเราะออกมา “ใช่แล้ว แม่ถามเจ้าสักเรื่องหนึ่ง เจ้าต้องบอกความจริงกับข้า”
“อืม ท่านพูดเถิดเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กำลังนวดแป้ง พร้อมสดับคำที่หยางซื่อกล่าวต่อว่า
“ดวงตาของท่านยายเจ้ามองไม่เห็นเลยแม้แต่น้อยใช่หรือไม่?แม้แต่เจ้าก็รักษาไม่หายหรือ?” หยางซื่อถอนหายใจยาวเหยียดแฝงความรู้สึกสิ้นหวังให้เห็นเด่นชัด
การเคลื่อนไหวในมือของหลิงมู่เอ๋อร์หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นางกล่าวปลอบโยนหยางซื่อในทันที “หาได้ปราศจากทางหนทางรักษาไม่เจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ายังไม่พบสมุนไพรที่เหมาะสม รอข้าหาสมุนไพรพบ แล้วคอยหาเวลาไปรับท่านยายมาที่เรือนของพวกเรา เช่นนี้ข้าก็จะสามารถทำการค้าไปพลางดูแลท่านยายไปพลางได้ด้วยเจ้าค่ะ ท่านแม่ทำใจให้สบายก็พอแล้ว ในบ้านมีหมอเทวดาน้อยอยู่ ข้าจะยอมให้ท่านยายมองไม่เห็นต่อไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ?”
หยางซื่อที่กำลังล้างผักเงยหน้าขึ้นมอง พลางกล่าวเตือนนาง “หมอเทวดาน้อย น้ำแกงปลาของเจ้าใกล้จะแห้งแล้ว ”
หลิงมู่เอ๋อร์ร้องเสียงต่ำ ตื่นตระหนกตกใจจนทำอันใดไม่ถูก และเริ่มตุ๋นน้ำแกงปลาใหม่อีกครั้ง
ตอนนี้นางพยายามใช้วัตถุดิบในมิติทำอาหารให้คนในครอบครัวกิน ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงประสบปัญหาเช่นเดียวกันถ้วนหน้า ถ้าวันใดที่หลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยู่ แล้วเป็นหยางซื่อผู้รับหน้าที่ทำกับข้าวให้พวกเขากิน แม้จะใช้วัตถุดิบเหมือนกัน วิธีผัดผักตามกรรมวิธีของหลิงมู่เอ๋อร์เหมือนกัน สุดท้ายกับข้าวที่ทำออกมารสชาติล้วนแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความต่างชั้นนั้นเห็นได้ชัดเจนมาก หยางซื่อที่ทำอาหารมาสิบกว่าปีย่อมมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตนเอง ถูกความจริงในเรื่องนี้จู่โจม นางคล้ายจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก
“ท่านแม่ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์อยากให้หยางซื่อช่วยส่งแป้งมาให้นาง นางกำลังจะเริ่มล้างเครื่องในหมูแล้ว ผลคือเรียกไปหลายครั้ง หยางซื่อก็ยืนอยู่ที่เดิมไร้การตอบสนอง หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมา หยางซื่อจ้องมองนางอย่างเหม่อลอยดั่งตกในห้วงภวังค์
“แม่กำลังครุ่นคิด บุตรสาวของแม่นั้นเติบโตแล้ว” หยางซื่อกล่าวอย่างสะเทือนใจ “ด้วยอายุของเจ้า ถ้าหากมีแม่สื่อมาขอเอ่ยเรื่องแต่งงาน นั่นก็สามารถหมั้นหมายได้แล้ว เพียงแต่น่าเสียดาย เรื่องของพวกเราในครั้งนั้นยิ่งใหญ่นัก คนในหมู่บ้านใกล้เคียงหลายๆ ที่ล้วนรับรู้หมดแล้ว”
“มารดาบุญธรรมไม่ต้องรีบร้อน” ซั่งกวนเซ่าเฉินเดินเข้ามาก็ได้ยินคำพูดของหยางซื่อ จึงกล่าวปลอบด้วยท่าทีสุขุม “ข้ารู้จักชายหนุ่มไม่น้อย พวกเขาล้วนเป็นคนดี รอเจ้าเด็กน้อยนี่โตอีกสักหน่อย ข้าจะช่วยแนะนำชายหนุ่มดีๆ ให้นางขอรับ”
“จริงหรือ?” หยางซื่อมองซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างคาดหวัง “เจ้าก็เปรียบเทียบกับตัวเจ้าเอง จากนั้นก็เลือกมาหนึ่งคนก็พอแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์กรอกตาขาวมองบน หยางซื่อช่างกล้าพูดจริงๆ ถึงแม้ซั่งกวนเซ่าเฉินจะเป็นบุรุษเต็มวัย แต่เขาก็เขินอายเป็นอยู่ไม่ใช่หรือ?
“แป้งทอดต้นหอม พี่ใหญ่ ลองชิมดูเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เอาแป้งทอดต้นหอมที่ทอดเสร็จแบ่งออกมาหนึ่งชิ้นยื่นป้อนเข้าปากของซั่งกวนเซ่าเฉิน
ซั่งกวนเซ่าเฉินอ้าปากอย่างให้ความร่วมมือ กัดเข้าไปที่แผ่นแป้งหนึ่งคำ ตอนที่ปลายลิ้นของเขาเลียผ่านปลายนิ้วของหลิงมู่เอ๋อร์นั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
หลิงมู่เอ๋อร์ใช้ดวงตาที่ไร้เดียงสาคู่นั้นมองที่เขา ดวงตาเต็มไปความคาดหวัง ราวกับว่าไม่ได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?อร่อยหรือไม่?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม
“อืม” ซั่งกวนเซ่าเฉินพยักหน้า
“ไม่ใช่ว่าท่านชอบรสจัดหรือเจ้าคะ?ต้องการให้ใส่พริกอีกสักหน่อยหรือไม่? หลิงมู่เอ๋อร์หมุนตัวกลับ นางลงมือทอดแผ่นแป้งต่ออย่างกระตือรือร้น
สมาชิกในครอบครัวของพวกนางมีอยู่มาก นับตามปริมาณที่ทุกคนต้องกินแล้วคนละสามแผ่นใหญ่ๆ นางจำเป็นต้องทอดแผ่นแป้งสองหม้อ
”ไม่ต้อง เอาประมาณเท่าพวกเจ้าก็พอแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าว
“เมื่อครู่…” หยางซื่อมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์หนึ่งที ลังเลไปสักพักแต่ก็ยังกล่าวออกมา “ข้าเห็นหลิงไฉ่เวยเด็กหญิงผู้นั้นกับจวงต้าหลินเจ้าหมอนั่นอยู่ด้วยกัน พวกเขาไม่ได้ถอนหมั้นกันแล้วหรือ?เหตุใดถึงยังอยู่ด้วยกันเล่า?”
“อาจจะ…เปลี่ยนใจแล้วกระมังเจ้าคะ ถอนหมั้นแล้วก็สามารถหมั้นใหม่ได้ ถึงอย่างไรเด็กที่อยู่ในท้องของหลิงไฉ่เวยก็เป็นลูกของพวกเขา พวกเขาตัดใจทิ้งสตรีผู้นั้นได้ แต่อาจจะตัดใจทิ้งเด็กน้อยในท้องไม่ลง ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทีเย็นชา
“ถ้าหากตัดใจทิ้งไม่ลงจริงๆ ก็ไม่ควรกล่าวคำพูดแบบนั้นในตอนแรก มู่เอ๋อร์ เรื่องนี้เจ้าล้วนไม่ทราบ คำพูดในตอนแรกที่แพร่ออกมาว่าหลิงไฉ่เวยถูกนักโทษย่ำยีนั้นก็มาจากสกุลจวงที่แพร่ออกมา พวกคนบ้านนั้นไม่มีหัวจิตหัวใจ รอดูว่าหลังจากนี้พวกเขาจะมีจุดจบอย่างไร” หยางซื่อกล่าวด้วยโทสะ
หลิงมู่เอ๋อร์มองหยางซื่อหนึ่งที ยิ้มเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านไม่ใช่เกลียดคนสกุลนั้นมากหรอกหรือ?เหตุใดถึงยังเป็นเดือดเป็นร้อนแทนพวกเขาเล่าเจ้าคะ?”
“ชีวิตนี้แม่ทนทุกข์มามากพอแล้ว สิ่งที่แม่เห็นไม่ได้ก็คือสตรีชีวิตอาภัพที่ต้องพานพบกับบุรุษที่ไร้หัวใจ เฮ้อ!แม่มีแค่เจ้าเป็นบุตรสาวแต่เพียงผู้เดียว เจ้าจะต้องมีความสุข อย่าได้เป็นเหมือนกับแม่อย่างเด็ดขาด โชคดีที่ข้าได้เจอกับท่านพ่อเจ้าจึงนับว่ามีวาสนาอยู่บ้าง มิฉะนั้นก็เหมือนตายทั้งเป็นแล้วจริงๆ ”
หลิงต้าจื้อเดินเข้ามาจากด้านนอก ได้ยินคำพูดที่เศร้าใจของหยางซื่อ ประการแรกกล่าวตำหนิก่อน ต่อด้วยคำปลอบโยน
นางเห็นจนเคยชินแต่นานแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ของนางคู่นี้ มักจะโปรยอาหารสุนัข [2] ต่อหน้านางที่เป็น‘เด็กน้อย’ แต่ว่าอาหารสุนัขนี้นางยังจำเป็นต้องเคี้ยวมัน ถึงอย่างไรก็คือท่านพ่อท่านแม่ของนาง ถึงแม้ในใจจะปวดร้าว แต่ก็ยังต้องเคี้ยวมันลงไป
“พี่สาว กระต่ายกินได้หรือไม่ขอรับ?” หลิงจื่ออวี้อุ้มกระต่ายหนึ่งตัวเดินเข้ามา
ตอนนั้นหวังซื่อคิดจะแย่งกระต่ายของหลิงจื่ออวี้ จึงถูกหลิงจื่ออวี้ที่ขี้ขลาดมาแต่ไหนแต่ไรกัดไปหนึ่งที ด้วยเหตุนี้ หวังซื่อถึงเดือดดาลลงไม้ลงมือตบหลิงจื่ออวี้ไปหลายที นั่นทำให้ยามที่หลิงมู่เอ๋อร์มาถึงจะเห็นแก้มที่บวมแดงของหลิงจื่ออวี้นั่นเอง
เพื่อกระต่ายสองตัวนี้แล้ว หลิงจื่ออวี้กล้าที่จะต่อต้านแม้กระทั่งหวังซื่อผู้ที่เขาหวาดกลัวที่สุด เห็นได้ชัดว่าในใจของเขา กระต่ายสองตัวนี้ไม่ต่างอะไรกับญาติพี่น้อง จากที่เขากล่าวมา เขาเป็นคนที่เด็กที่สุดในบ้าน อยากเป็นพี่ชายมาโดยตลอด ตอนนี้กระต่ายสองตัวนี้คงเปรียบดั่งน้องชายของเขา
“กระต่ายไม่กินอาหารสุก กินได้แต่ผักสด หญ้าสด และก็หูหลัวปัว [3] ” หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับไปมองหนึ่งที ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “เจ้าบอกกับเดือนหกและเดือนเจ็ด บอกว่าด้านนอกมีหญ้าสดที่พี่สาวดึงกลับมา ถามพวกมันว่ายินยอมกินหรือไม่?”
หลิงจื่ออวี้เดินออกไปอย่างมีความสุข
“เจ้าเดือนแปดน้อยคนนี้” หยางซื่อทอดมองหลิงจื่ออวี้เดินออกไปอย่างเอ็นดู “ตอนนี้นำกระต่ายพวกนั้นทำราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าไปแล้ว”
“ท่านแม่ไม่คิดว่าน้องชายดูมีชีวิตชีวากว่าแต่ก่อนหรือเจ้าคะ หลายปีที่ผ่านมานี้ไม่เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้ข้าจะได้เห็นเขายิ้มแล้ว ท่านคงไม่รู้ว่าข้าดีใจมากเพียงใด” หลิงมู่เอ๋อร์ตักปลาตัวสุดท้ายในกระทะขึ้นมา
วันนี้ทุกคนอารมณ์ดี หลิงมู่เอ๋อร์ซื้อสุราคุณภาพต่ำมาสองสามชั่ง ทุกคนสามารถดื่มได้คนละนิด นอกจากหลิงจื่อเซวียนที่บาดแผลส่วนขายังไม่หายดีกับหลิงจื่ออวี้ที่ยังเป็นเด็กเล็กอยู่
หลิงจื่อเซวียนสามารถลงจากเตียงมาขยับเขยื้อนได้แล้ว ถึงแม้ว่าจะเดินช้ามาก แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ในตอนนี้ พวกเขาได้เห็นแล้วว่าบาดแผลที่ขาของหลิงจื่อเซวียนกำลังฟื้นตัวขึ้น
เมื่อก่อนเวลาหลิงจื่อเซวียนเดินขาจะเป็นลักษณะข้างหนึ่งสูงข้างหนึ่งต่ำ เรียกว่าดูไม่ได้เลยจริงๆ ตอนนี้หลิงจื่อเซวียนค่อยๆ เดินอย่างช้าๆ เงาร่างนั้นสูงใหญ่ แผ่นหลังตั้งตรงอย่างสง่ายิ่งนัก บุคลิกช่างต่างไปจากเมื่อก่อนราวฟ้ากับดิน
“มามามา พวกเรามาดื่มกันคนละจอก เซวียนจื่อดื่มน้ำชา อวี้เอ๋อร์ดื่มน้ำเปล่า” หลิงต้าจื้อยกจอกขึ้นก่อน “ฉลองแด่ก้าวแรกของการค้าครอบครัวเรา มู่เอ๋อร์ทำให้ครอบครัวเราหลุดพ้นจากความยากลำบาก หลิงมู่เอ๋อร์เป็นดาวนำโชคของพวกเรา มามามา ขอบคุณดาวนำโชคตัวน้อยของพวกเราสักหน่อย”
หลิงมู่เอ๋อร์ยกจอกสุราขึ้น ชนจอกกับทุกคน “อย่าชมข้าเด็ดขาดเลยเชียว ข้าจะทะนงตัวเอาได้ นี่เป็นเพียงก้าวแรกของข้าเท่านั้น หลังจากนี้หนทางยังอีกยาวไกลยิ่งนักเจ้าค่ะ!”
“เจ้าเด็กคนนี้…” หยางซื่อจิ้มไปที่จมูกหลิงมู่เอ๋อร์หนึ่งที
“อะอะอะ จมูกแสนสวยของข้าแบนแล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์ร้องเสียงดังเกินจริง “ท่านแม่ ท่านอิจฉาจมูกของข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“เจ้าตัวตลกคนนี้ แม่เจ้าตลกจะตายอยู่แล้ว” หยางซื่อโผเข้าไปด้านข้างของหลิงมู่เอ๋อร์ แล้วกอดนางไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น
เชิงอรรถ
[1] แป้งทอดต้นหอม หมายถึง แพนเค้กต้นหอม
[2] โปรยอาหารสุนัข หมายถึง การแสดงความรักต่อสาธารณะ
[3] หูหลัวปัว หมายถึง แครอท