เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 35 ร้องไห้โวยวาย
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 2 บทที่ 35 ร้องไห้โวยวาย
เล่มที่ 2 บทที่ 35 ร้องไห้โวยวาย
หลังจากที่หลิงมู่เอ๋อร์เก็บข้าวของเสร็จ นางรีบขับเกวียนวัวกลับไปที่หมู่บ้านตระกูลหลิงในทันที
หลิงฉี่ไห่นั้นกำลังทำงานอยู่ในตัวเมือง ไม่บ่อยนักที่เขาจะกลับสู่บ้านสักครั้งหนึ่ง คราวที่แล้วได้โอกาสกลับบ้านมาพักผ่อน ดังนั้นจึงได้เห็นในหมู่บ้านแสดงงิ้วสนุก ๆ
หลิงมู่เอ๋อร์มอบเงินค่าเช่าสิบอีแปะในวันเดียวกันมอบให้หลิงฉี่ไห่ หลิงฉี่ไห่กล้าปฏิเสธ เขาเร่งปั้นหน้ายิ้มรับเอาไว้ สำหรับเรื่องนี้ หลิงฉี่ไห่รู้สึกจนปัญญาขึ้นมา หลิงมู่เอ๋อร์ยังคงไม่ได้เห็นเขาเป็นคนกันเอง มิฉะนั้นก็จะไม่ถูกมองว่าเป็นคนนอกเช่นนี้ ดูเหมือนว่าการพยายามเอาใจอย่างสุดความสามารถนั้นจะไร้ประโยชน์ เขาคงต้องอาศัยท่านพ่อให้ไปมาหาสู่กับท่านอาสะใภ้หยางซื่อท่านลุงต้าจื้อถึงจะเข้าท่า
ครั้นหลิงมู่เอ๋อร์รีบขับเกวียนวัวกลับไปถึงหมู่บ้านตระกูลหลิง นางพลันพบว่ามีเสียงร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญดังลอยมาจากด้านหน้า
ด้วยความที่ถนนส่วนมากที่ใช้สัญจรกันภายในชนบทนั้นค่อนข้างคับแคบเป็นอย่างยิ่ง นางไร้ทางเลือก จำเป็นต้องหยุดเกวียนวัวนี้อย่างเสียมิได้
สตรีนางนั้นที่กำลังสะอื้นไห้ได้ยินเสียงคล้ายคนขับเกวียน ก็ค่อย ๆ หมุนตัวกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝนที่ซีดเซียว
“หลิงไฉ่เวย” หลิงมู๋เอ๋อร์ทอดมองไปที่สตรีนางนั้น ภายในดวงตาประกายแววเยาะเย้ย
เมื่อก่อนหลิงไฉ่เวยเป็นสมบัติอันล้ำค่าของตระกูล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกินหรือเสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนแต่เป็นของที่ดีที่สุด หวังซื่อยิ่งปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นดั่งอัญมณีสดใสในฝ่ามือ คิดไม่ถึงว่าในระยะเวลาอันสั้นเพียงหนึ่งเดือนกว่า นางไม่เพียงแต่ดูซีดเซียว บนใบหน้าล้วนปรากฏรอยยับย่นรางเลือน ผนวกกับท้องที่ใหญ่นั้นยิ่งส่งผลกระทบต่อรูปร่างของนาง
ครั้นหลิงไฉ่เวยได้ยินเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ ร่างกายของนางพลันแข็งทื่อ สีหน้ากลับกลายเป็นหวาดกลัวขึ้นมา ทันใดนั้น นางหันหลังในฉับพลัน สาวเท้าถี่รัวได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ชะงักงัน
ตุ้บ! หลิงไฉ่เวยหันกายกลับคุกเข่าลงกะทันหัน ก้มลงโขกศีรษะไปยังทิศทางของหลิงมู่เอ๋อร์ ปากเอ่ยร้องขอให้ยกโทษให้ “มู่เอ๋อร์ เห็นแก่ที่พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ช่วยข้าด้วยเถิด! มีเพียงเจ้าที่สามารถช่วยข้าได้แล้ว ข้ารู้ว่าเมื่อก่อนปฏิบัติต่อเจ้าไม่ดี ตอนนี้เจ้าวางใจได้แล้ว ต่อไปข้าจะปรับปรุงตัวอย่างแน่นอน ขอร้องเพียงแต่เจ้าได้โปรดช่วยข้าด้วย”
แน่นอนว่าหลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าหลิงไฉ่เวยขอร้องให้นางทำอันใด จวงต้าหลินต้องการถอนหมั้นกับนาง ตอนนี้นางมีท้องที่ใหญ่ ชื่อเสียงก็ได้เสียหายแล้ว ถ้าหากจวงต้าหลินไม่ต้องการนาง ชั่วชีวิตนี้ของนางก็จะไม่สามารถแต่งออกไปได้ และยังถูกพี่ชายพี่สะใภ้ในบ้านทอดทิ้ง ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะนาง ภายหลังเหล่าหลานสาวก็จะแต่งออกไปได้ยาก
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หลิงไฉ่เวยอย่างเมินเฉย โบกแส้ในมือของนาง พลางกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไปให้พ้น! สุนัขที่ดีจะไม่ขวางทาง เจ้ายังเทียบไม่ได้แม้กระทั่งสุนัขหรือ? ”
หลิงไฉ่เวยโกรธอย่างถึงที่สุด นางมาขอร้องด้วยถ้อยคำอันดี แต่สตรีผู้นี้เลือกจะไม่ไว้หน้านาง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็จะสู้ตายกับหลิงมู่เอ๋อร์ อย่างมากก็แค่หนึ่งศพสองชีวิต
หลิงมู่เอ๋อร์เหมือนว่าจะมองความคิดของหลิงไฉ่เวยออก นัยน์ตาของนางเป็นประกาย ทันใดนั้นก็ยกยิ้มขึ้น
“เจ้าคิดว่าเหตุใดจวงต้าหลินถึงต้องการถอนหมั้นกับเจ้า? ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าเป็นเพราะหนทางชีวิตการเป็นขุนนางของเขาจริง ๆ หรือ เหอะ! ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด หลังจากตระกูลจวงถอนหมั้นกับเจ้าแล้ว ย่อมต้องแอบหมั้นหมายกับหลิงหูเตี๋ยอย่างเงียบ ๆ เพียงแต่จวงต้าหลินยังอยู่ในช่วงเวลาไว้ทุกข์ พวกเขาจึงมิได้ประกาศต่อสาธารณชนให้ทราบ รอให้ช่วงไว้ทุกข์ของจวงต้าหลินครบกำหนด ยามนั้นทุกคนก็จะล่วงรู้ว่าภรรยาในอนาคตของจวงต้าหลินคือหลิงหูเตี๋ย หลิงหูเตี๋ยเป็นพี่น้องแสนดีของเจ้า หรือว่านางยังไม่ได้บอกเจ้าหรอกหรือ ว่านางคบหากับจวงต้าหลินมานานแล้ว ไม่แน่ว่า ตอนที่จ้วงต้าหลินกำลังหยอกเย้ากับเจ้า เขาก็เป็นชู้กับหลิงหูเตี๋ยไปด้วย ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อ สามารถลองไปหยั่งเชิงเขาได้”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ่งเอ่ยมากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าของหลิงไฉ่เวยก็ยิ่งซีดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึงลาน เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเชื่อคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์
ทว่า นั่นเป็นอากัปกิริยาเพียงแค่เปลือกนอก หากเสียงในหัวใจของนางร้องบอกกับตนว่า ใช่ สองคนนั้นมีบางอย่างผิดปกติ เมื่อก่อนพวกเขามักจะอยู่ด้วยกันเสมอ มีครั้งหนึ่งที่พวกเขาออกมาจากกระท่อมบนภูเขาด้วยกัน แก้มของหลิงหูเตี๋ยแดงระเรื่อ เสื้อผ้าล้วนสวมใส่ไม่เรียบร้อย นางลืมเรื่องเหล่านี้ไปได้อย่างไร?
“ไม่! ข้าไม่เชื่อ! เจ้าหลอกข้า! ข้าจะถามเขาให้รู้เดี๋ยวนี้” หลิงไฉ่เวยหันหลังวิ่งไปยังทิศที่ตั้งของบ้านจวงต้าหลิน จวบจนกระทั่งฉุกคิดบางอย่างได้ นางเปลี่ยนทิศทางไปอีกทางหนึ่ง ตรงไปยังบ้านของหลิงหูเตี๋ย
สืบเนื่องจากจวงต้าหลินไม่ปรารถนาจะพบนางอีก ทุกครั้งที่ได้เห็นนาง บนใบหน้าของเขามักเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ เขาถึงกับขนาดว่าร้ายอย่างเปิดเผยแก่ฝูงชนว่านางถูกนักโทษในคุกทำลายความบริสุทธิ์ เป็นเหตุที่หลิงไฉ่เวยกลับมาพร้อมกับท้องที่ใหญ่โต แต่ทว่า เขาคิดว่าทุกคนล้วนเป็นคนโง่เขลาหรือ? นางติดอยู่ในคุกเพียงแค่หนึ่งเดือน เหตุใดถึงมีท้องที่ใหญ่โตเช่นนี้ได้?
ที่แท้ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาก็แค่หยอกเย้ากับนางเท่านั้น ทว่าตอนนี้ครอบครัวของพวกนางได้ล่วงเกินพี่ชายบุญธรรมผู้นั้นของหลิงมู่เอ๋อร์ สกุลจวงย่อมเกิดความกลัวว่าจะติดร่างแห จึงสะบัดสิ่งสกปรกเหล่านั้นออกไป
หากรู้มาก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ นางคงไม่ปะทะฝีมือกับหลิงมู่เอ๋อร์นางเด็กสารเลวผู้นั้น ถึงแม้ว่าจะเกลียดชังหลิงมู่เอ๋อร์มากเพียงใด ไหนเลยจะเกลียดชังได้เท่าหลิงหูเตี๋ยที่แย่งชิงบุรุษของนางไป?
หลิงหูเตี๋ย ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่ง เหล่าเหนียงจะฆ่าเจ้าให้ได้ ชีวิตในตอนนี้ของข้ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย เจ้าอยากจะแต่งให้กับจวงต้าหลิน ช่วงชิงความสุขของข้าหรือ ไม่มีทาง!
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหลิงไฉ่เวยเดินจากไปไกลแล้วก็รีบกลับบ้านต่อ นางขับเกวียนวัวไปข้างในลานบ้าน จากนั้นจึงขนย้ายสิ่งของต่างๆ ลงไป
นางไม่ได้ออกจากเมืองในทันที แต่ซื้อสิ่งของจำพวกของกินของใช้จำนวนหนึ่งก่อน กำไรจากการค้าเมื่อครู่ได้เงินมาหนึ่งตำลึงเงิน ตอนนี้เหลืออยู่ห้าร้อยอีแปะ
“เหตุใดถึงซื้อผ้าแพรมามากมายขนาดนี้? ” หยางซื่อเห็นว่าหลิงมู่เอ๋อร์ขนย้ายของไม่หยุด อย่างแรกคือแป้งหมี่ ต่อมาคือผ้าพับ ซื้อแม้กระทั่งโคมไฟ และยังมีสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ จำนวนหนึ่ง รวมถึงของบางอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย
“ของเหล่านี้ล้วนไม่ได้มากมายอันใดเจ้าค่ะ ผ้าพับที่ข้าซื้อคือของที่ถูกที่สุด ให้ท่านพ่อท่านแม่ พี่ชายและน้องชายทุกคนทำเสื้อผ้าคนละหนึ่งชุด ข้าเองก็ทำหนึ่งชุด และก็ยังมีท่านยาย ท่านลุงและเสี่ยวหู่ก็ทำด้วยหนึ่งชุดเจ้าค่ะ เพียงแต่ผ้าพับชนิดนี้แพงกว่าเล็กน้อย ข้าอยากจะทำอีกหนึ่งชุดให้กับพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ช่วยเหลือพวกเรามามากมาย แต่ข้ากลับไม่เคยมีของขวัญขอบคุณเขาเลย ข้ารู้สึกเกรงใจเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ แม้ว่าอาภรณ์ที่ตนเองทำจะไม่ใช่ของมีค่า แต่ว่าอย่างน้อยก็ได้มอบน้ำใจให้” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยกับหยางซื่อ “ข้าทำเสื้อผ้าไม่เป็น ถึงตอนนั้นยังต้องรบกวนให้ท่านแม่ช่วยแล้วเจ้าค่ะ”
“ตกลง เจ้าคิดได้รอบคอบ การทำเสื้อผ้าให้เฉินเอ๋อร์นั้นเป็นเรื่องที่สมควร เพียงแต่พวกข้าไม่ต้องการ พ่อแม่ยังมีเสื้อผ้าสวมใส่ พี่ชาย เจ้า น้องชายและเจ้า สมควรทำอาภรณ์ชุดใหม่สักชุด ท่านยายของเจ้าอายุมากแล้ว ยามปกติไม่ค่อยออกไปไหน เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังคงเป็นเสื้อผ้าเก่าๆ จากหลายปีก่อน ท่านลุงเจ้ากับเสี่ยวหู่ก็ไม่มีเสื้อผ้าเช่นกัน สามารถทำได้อีกหนึ่งชุด”
“ท่านแม่ กล่าวไปกล่าวมา ท่านก็ทำใจตัดชุดให้ตนเองไม่ลง ผ้าหนึ่งฉื่อ [1] ผืนนี้แค่สามอีแปะ ราคาถูกมากแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์จับมือของหยางซื่อ มองไปที่นางด้วยใบหน้าที่ดูเจ้าเล่ห์ “ท่านเดาดูสิเจ้าคะว่าวันนี้ข้าขายได้เงินกี่มากน้อย? ”
เมื่อครู่หยางซื่อก็คิดที่จะถาม แต่ว่านางกังวลว่าจะขายไม่ได้ หากถามออกไปแล้วทำให้หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกอับอาย ดังนั้นจึงอดกลั้นไม่ถามออกไป
หลิงต้าจื่อยืนห่างออกไปไม่ไกล และดูเหมือนว่าเขาก็มีท่าทางลังเลที่จะพูดเช่นกัน ดูจากลักษณะแล้ว วันนี้พวกเขาคงรั้งรออยู่ที่นี่มาโดยตลอด ก็เพราะอยากจะรู้ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร
“สิ่งของเหล่านั้นที่เจ้าซื้อเมื่อสักครู่ราคาไม่น้อยเลย ข้าเดาว่า น่าจะมีราคาค่างวดอยู่ที่หนึ่งร้อยอีแปะ ดังนั้น เจ้าขายได้สิบชิ้นหรือ? ” หยางซื่อกล่าวอย่างหยั่งเชิง
“ท่านแม่ช่างไม่มีความเชื่อมั่นในตัวข้าเสียจริง มีทั้งหมดห้าสิบชิ้น ท่านบอกว่าขายไปแค่สิบชิ้นเท่านั้น นั่นหมายความว่าท่านคิดว่าข้าทำการค้าไม่เป็น ใช่หรือไม่เจ้าคะ? ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวจบพลางมุ่ยปาก มองเห็นหลิงจื่ออวี้ยืนอยู่ด้านข้างประตู นางจึงโบกไม้โบกมือไปทางเขา กล่าวพร้อมยิ้มตาหยี “น้องเล็ก เจ้าลองบอกมา เจ้าคิดว่าพี่สาวขายได้เท่าไร? ”
ครั้นหยางซื่อได้ยินว่าไม่ใช่แค่ขายออกไปได้สิบชิ้น ในใจก็รู้สึกมีความสุขเบิกบานใจนำไปก่อนแล้ว เมื่อวานหลิงมู่เอ๋อร์บอกราคากับพวกเขาแล้ว ข้าวห่อไข่พวกนั้นราคาหนึ่งชิ้นยี่สิบอีแปะเชียว! มากกว่าสิบชิ้น ก็หมายความว่านางหาเงินได้มากกว่าสองร้อยอีแปะ มิน่าเล่าครั้งนี้นางถึงได้ซื้อข้าวของกลับมามากมายขนาดนั้น
หลิงจื่ออวี้คลำๆ จมูก กล่าวอย่างเขินอาย “พี่สาวเก่งกาจขนาดนี้ จะต้องขายได้หมดเกลี้ยงอย่างแน่นอนขอรับ”
หลิงมู่เอ๋อร์ดีดนิ้ว จูบไปที่หลิงจื่ออวี้ และเอ่ยชมเชย “สมแล้วที่เป็นน้องรักของข้า ช่างรู้ใจข้าจริงๆ ใช่แล้ว ขายหมดเกลี้ยงเลยล่ะ”
“ขายหมดเกลี้ยงแล้ว? ” หยางซื่อและหลิงต้าจื้อพูดขึ้นมาพร้อมกัน “ห้าสิบชิ้น ขายหมดเกลี้ยงแล้ว? ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ! ” หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าอย่างมีความสุข “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องขาดทุน ไม่ขาดทุนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ วันนี้ข้าขายไปได้เงินมาหนึ่งตำลึงเงิน ยังมีลูกค้าอีกมากที่ยังไม่ได้กิน ถกเถียงกันเสียงดังว่าพรุ่งนี้ให้ข้านำไปให้มากหน่อย ข้าตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะนำไปหนึ่งร้อยชิ้น จากนั้นตักข้าวผัดมากหน่อย และนำไข่ไก่ไปอีกจำนวนหนึ่ง ถ้ายังมีลูกค้าที่ไม่ได้กิน ข้าก็จะก่อไฟทำข้าวห่อไข่ในที่ตรงนั้นเลย ให้ได้เห็นกับตาด้วยตนเองว่าวัตถุดิบของพวกเรานั้นมีความสดใหม่ ไม่แน่ว่าการค้าอาจจะดียิ่งขึ้น”
“เจ้าคนเดียวจะทำไหวได้อย่างไร? พรุ่งนี้ข้ากับพ่อเจ้าจะช่วยเจ้าเอง! ” หยางซื่อได้ยินว่าสามารถหาเงินได้มากมายก็ดีใจอย่างถึงที่สุด เอ่ยร้องจะขอไปช่วยงานอย่างตื่นเต้น
“พี่ชายข้าจะทำอย่างไรเจ้าคะ? ยังมีจืออวี้อีก” หลิงมู่เอ๋อร์รีบร้อนปฏิเสธความคิดของหยางซื่อ “ที่เรือนยังต้องมีคนอยู่คนหนึ่งเจ้าค่ะ”
“หลิงเอ๋อร์ ตอนนี้ในหมู่บ้านมีผู้ใดที่ยังกล้ามาหาเรื่องไม่ดีกับบ้านของพวกเราอีก? พวกท่านพาจืออวี้ไปเปิดหูเปิดตาในตัวเมือง ข้าอยู่ที่เรือนคนเดียวไม่มีปัญหาขอรับ” หลิงจื่อเซวียนที่อยู่ภายในเรือนกล่าว “หากเจ้าไม่วางใจจริงๆ ก็วางน้ำกับอาหารเที่ยงไว้ข้างเตียง เป็นการดีที่สุดคือวางข้าวห่อไข่ของเจ้า พี่ชายชอบกินเป็นอย่างยิ่ง! ”
“ฮ่าฮ่า เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะทำให้ท่านกินเยอะๆ พวกเรากินกันเอง ปริมาณเพียงพอ เครื่องปรุงรสก็มีพอ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “วันนี้มีท่านป้าผู้หนึ่งอยากซื้อเฉพาะเครื่องปรุงรสของข้า ยังกล่าวว่ามีเท่าใดจะซื้อเท่านั้น ข้าปฏิเสธไปแล้ว เครื่องปรุงรสทำออกมาอย่างยากลำบาก ถ้าขายเพียงแค่เครื่องปรุงรส เช่นนั้นก็ยิ่งขาดทุนเกินไปแล้ว”
“เครื่องปรุงรสของเจ้าอร่อยจริงๆ บ่งบอกเลยว่าเจ้าปรุงรสออกมาได้อย่างยากลำบาก” หยางซื่อรับข้าวของจากมือของหลิงมู่เอ๋อร์ ก่อนนำข้าวของขนย้ายไปในเรือน
หลังจากที่พวกเขาจัดเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์ก็เข้าไปในห้องครัว เริ่มยุ่งกับการทำอาหารเย็น
หยางซื่อยกซี่โครงชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้นออกมาจากตะกร้าสะพายหลัง ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ลูกสาวของข้า เจ้าเก่งกาจด้านอื่น แต่ซื้อของไม่ค่อยเป็น กระดูกชิ้นใหญ่ขนาดนี้ จะกินได้หรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์หันกลับมามอง หลุดหัวเราะคิกยิ้มแล้วกล่าว “ท่านแม่ คืนนี้ข้าจะทำของอร่อยเจ้าค่ะ ถึงตอนนั้นท่านอย่าได้จ้องตาเป็นมันเชียว”
“ข้าไม่จ้องตาเป็นมันหรอก ของสิ่งนี้ไม่มีผู้ใดกิน เจ้าไม่เห็นหรือว่าร้านขายเนื้อโยนทิ้งไปตั้งเท่าไร ยามปกติล้วนแต่โยนให้สุนัขกิน” หยางซื่อ ยกสิ่งของอีกหนึ่งอย่างขึ้นมา สีหน้ายิ่งมืดครึ้มลงมากยิ่งขึ้น “ลูกสาว ของสิ่งนี้ส่งกลิ่นเหม็น เหตุใดเจ้าก็นำกลับมาด้วยเล่า? ราคาเท่าไร? คงไม่ใช่ว่าเจ้าถูกหลอกแล้วกระมัง? ”
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังล้างทำความสะอาดข้าวอยู่ นางไม่หันกลับมา แต่นางรู้ว่าของที่หยางซื่อกล่าวนั้นคือสิ่งใด นางเอ่ยตอบรับ “ท่านแม่ นั่นคือเครื่องในหมูเจ้าค่ะ สักประเดี๋ยวข้าจะทำมันออกมา ท่านจะต้องรู้สึกว่าข้าซื้อน้อยเกินไปแล้วแน่นอน วางใจให้สบายก็พอแล้ว ของที่ซื้อมาวันนี้ ข้าจะเปลี่ยนทั้งหมดให้กลายเป็นอาหารรสเลิศให้ท่าน และจะไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เอาเถิด! แม่ไม่เก่งเท่าเจ้า” หยางซื่อยิ้ม หลังจากนำสิ่งของวางลง ก็พบว่าตนเองนั้นไม่สามารถทำอันใดได้ สุดท้ายแล้วเรื่องพวกนี้ยังคงให้ลูกสาวเป็นคนลงมือทำเอง
“ข้าจะไปดูว่าเฉินเอ๋อร์กลับมาหรือยัง ช่วงนี้ข้ากับท่านพ่อเจ้าสามารถลุกจากเตียงเดินเหินได้แล้ว เขาจึงมาน้อยลง เด็กคนนี้ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เขายังหลีกเลี่ยงอันใดอีก? ”
“หรือว่าไม่สมควรหลีกเลี่ยงหรือเจ้าคะ? ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นบุตรสาวคนโตที่ยังไม่ทันได้ออกเรือนนะเจ้าคะ! ” หลิงมู่เอ๋อร์หยอกล้อหยางซื่อ
“เอาเถิดน่า! ถ้าเป็นผู้อื่น แน่นอนว่าสมควรหลีกเลี่ยง แต่ว่าเฉินเอ๋อร์เป็นพี่ชายบุตรธรรมของเจ้า นั่นเป็นเด็กดีคนหนึ่ง ถ้าหากเขาสนใจเจ้าจริงๆ ข้าก็มีแต่ความสุข จะไม่ขัดขวางอย่างแน่นอน น่าเสียดาย เด็กที่แสนดีขนาดนี้ เกรงว่าจะไม่ถูกใจครอบครัวที่มีปัญหามากมายอย่างพวกเรา” หยางซื่อส่ายหัวด้วยความผิดหวัง
เชิงอรรถ
[1] ฉื่อ (尺) หมายถึง เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน โดย 1 ฉื่อ (尺) =10 ชุ่น (寸) =10 นิ้ว