เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 2 บทที่ 32 สอบถาม
เล่มที่ 2 บทที่ 32 สอบถาม
หลิงมู่เอ๋อร์เอียงศีรษะมองไปที่บุรุษที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยแววเคลือบแคลงสงสัย นางเอ่ยถาม “พี่ใหญ่เป็นมือปราบจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
“อืม” ซั่งกวนเซ่าเฉินตอบกลับ
“แต่ว่าท่านใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านนี้มาหลายปีแล้ว ไม่เคยออกจากหมู่บ้านเป็นเวลานานมาก่อนเลย ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “นี่เป็นเพราะเหตุใดหรือเจ้าคะ?”
“เกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ข้าต้องการที่จะอยู่อย่างเงียบๆ สักสองสามปี ข้าไม่ใช่มือปราบของที่นี่ แน่นอนว่าไม่สามารถรับตำแหน่งอยู่ที่นี่ได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวออกไปไม่กี่ประโยค คล้ายกับเข้าใจความสงสัยที่อยู่ภายในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ จึงกล่าวเพิ่มเรียบๆ ว่า “ภายหลังหากมีโอกาส ข้าค่อยเล่าเรื่องราวของข้าให้เจ้าฟัง ยามนี้… ข้าไม่อยากทำลายชีวิตอันสงบในเวลานี้ไป”
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เรื่องราวในครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่ คนในครอบครัวของข้าต้องเสียเปรียบแน่นอน ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ขอบคุณด้วยความจริงใจ
“ต่อให้ไม่มีข้า พวกเจ้าก็ไม่เสียเปรียบ เจ้าสามารถปกป้องพวกเขาได้” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่มีทางลืมเหตุการณ์ที่ได้เจอยามที่เขาเพิ่งจะเข้ามาถึงแน่ สาวน้อยที่กำลังบ้าคลั่งราวกับสัตว์ร้ายก็มิปาน นัยน์ตาแดงก่ำคู่หนึ่งจ้องมองทุกคนอย่างเย็นชา ราวกับว่าพวกเขาเป็นศัตรูที่ไม่สามารถอยู่ร่วมใต้หล้าเดียวกันได้ นางลงมือได้อย่างโหดเหี้ยม ไม่ไว้หน้าผู้ใดเลยแม้แต่น้อย แต่ว่า เขากลับไม่ได้รังเกียจนางที่เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่นิด แต่กลับชื่นชมยิ่งขึ้นด้วยซ้ำไป
สาวน้อยผู้นี้รักและทะนุถนอมคนในครอบครัว เพื่อครอบครัวแล้วนางสามารถละทิ้งได้ทุกอย่าง รวมถึงชื่อเสียงเกียรติยศที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของสตรี สตรีที่มีนิสัยใจคอจริงใจเช่นนี้ ทำให้ผู้คนเลื่อมใสยิ่งนัก
“เจ้าเรียกขานข้าว่าพี่ใหญ่ ข้าจะไม่สนใจเจ้าได้อย่างไร ถ้าหาก… ชื่อเสียงของเจ้าเสื่อมเสีย ข้าจะหาบุรุษดีๆ ให้เจ้าเอง” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างจริงจัง
ด้วยสถานะของเขาแล้ว การช่วยนางหาสามีที่ดีหนึ่งคนเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ภายในไม่กี่วินาที เพียงแค่กล่าวว่านางเป็นน้องสาวบุญธรรมของเขา เป็นหญิงสาวที่เขาให้ความสำคัญ ไม่รู้ว่าจะมีบุรุษมากมายเท่าใดที่อยากจะแต่งงานกับนาง แน่นอนว่า ถ้าเป็นบุรุษที่แต่งกับนางเพียงเพราะสถานะของเขา เช่นนั้นก็ไม่คู่ควรกับนางแน่นอน อย่างไรเสียนางยังเด็กอยู่ วันหลังเขาค่อยช่วยนางหาอีกทีแล้วกัน
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวเช่นนี้ ในใจของนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขำขัน ดวงตาของนางมีประกายแสงระยิบระยับ นัยน์ตาที่มีความมั่นใจเกิดความภาคภูมิใจขึ้นมา นางกล่าวว่า “บุรุษที่ข้า หลิงมู่เอ๋อร์อยากแต่งด้วยนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ดีที่สุดในใต้หล้า เขาต้องดีต่อข้าแค่เพียงผู้เดียว และในชั่วชีวิตนี้จะต้องรักแต่ข้าเพียงผู้เดียว เขาไม่จำเป็นต้องมีเงินมากมาย ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจมากมาย แต่ว่าในยามที่ข้าและคนในครอบครัวของข้ามีภัยอันตราย เขาจะต้องมีความกล้าหาญที่จะลุกออกมาฝ่าฟันอุปสรรค ร่วมเป็นร่วมตายไปพร้อมกับพวกข้าได้ เขาไม่จำเป็นต้องรูปงามมากมาย และเขาไม่จำเป็นต้องกล่าวถ้อยคำไพเราะน่าฟัง เพราะขอเพียงแค่เขาเป็นคนที่ข้าชมชอบ เขาก็เป็นคนที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้วเจ้าค่ะ”
ยามนั้นมีเสียงแผ่วเบาแว่วดังมาจากในห้องนอน หลิงมู่เอ๋อร์ยกชามเดินไปในทิศทางของห้องนอนทันที
ถ้าหลิงจื่อเซวียนตื่นขึ้นมาแล้ว เขาโตแล้วยังสามารถทานเองได้ หลิงจื่ออวี้ถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่เด็กในครอบครัวชาวนานั้นไม่ต้องพะเน้าพะนอมากมาย เขาทานข้าวด้วยตนเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไร มีเพียงแต่หยางซื่อและหลิงต้าจื้อที่ต้องนอนคว่ำอยู่ เท่านั้นที่ทานอาหารไม่สะดวก นางเลยจำเป็นต้องป้อนอาหารให้กับพวกเขา เช่นนี้พวกเขาถึงจะสบายขึ้นมาได้บ้าง
“มู่เอ๋อร์…” หยางซื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ยกชามเดินเข้ามา “บุตรสาวที่น่าสงสารของข้า ทำให้เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว ”
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์จัดการอารมณ์เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้นางเพียงแค่อยากจะดูแลท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายน้องชายเท่านั้น ทว่าเพราะประโยคนี้ของหยางซื่อที่ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง
นางสูดจมูกพร้อมกล่าวว่า “ท่านแม่ คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมคือท่าน ท่านและท่านพ่อถูกทุบตีจนกลายเป็นเช่นนี้ เจ็บมากใช่หรือไม่เจ้าคะ?”
“พ่อแม่ไม่ได้มีชีวิตที่เสวยสุข ถึงแม้บาดแผลนี้จะเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกข้าเป็นทุกข์ขนาดนั้น สิ่งที่พวกข้าเสียใจก็คือการที่ชื่อเสียงของเจ้าเสื่อมเสีย หลังจากนี้ผู้ใดจะกล้าแต่งงานกับเจ้ากัน?” หยางซื่อกล่าวด้วยความโทสะ “ท่านปู่ท่านย่าเจ้าช่างใจดำอำมหิตเกินไปแล้วจริงๆ เจ้าก็เป็นบุตรสาวของบ้านพวกเขา เหตุใดถึงไม่มีความปรานีทางสายเลือดบ้างเลย?”
“ท่านแม่ พวกเขาได้รับผลกรรมตามสนองแล้วเจ้าค่ะ ” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหลิงต้าจื้อที่ตื่นขึ้นมาตามๆ กัน นางกล่าวกับหยางซื่อไปพลาง ป้อนน้ำให้หลิงต้าจื้อดื่มไปพลาง “ท่านพ่อ ดื่มน้ำสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ”
หยางซื่อได้ยินคำพูดของนาง เอ่ยด้วยความไม่เข้าใจว่า “ทำไมหรือ?เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“ท่านพี่ใหญ่เป็นมือปราบ เขากล่าวว่าจะส่งคนไปจับพวกเขา พวกเขายังจะหนีไปไหนได้อีกหรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์มุ้ยปากกล่าว “ตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านล้วนถูกจับไปขังไว้ที่ศาลาว่าการแล้วเจ้าค่ะ ”
“นี่… ชาวบ้านคนอื่นเป็นผู้บริสุทธิ์นะ!พวกเขาก็แค่ชอบดูเรื่องสนุกของชาวบ้าน” หยางซื่อเอ่ยอย่างตื่นตระหนก “ทำอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เช่นนั้นจะเป็นการล่วงเกินชาวบ้านทั้งหมู่บ้านแล้ว”
“ท่านแม่ ท่านถูกตีจนเป็นอย่างนี้แล้ว มีผู้ใดสักคนช่วยพวกท่านพูดบ้างหรือไม่ ตอนนี้ท่านยังช่วยพวกเขาพูด ท่านไม่ต้องใจดีขนาดนี้จะได้หรือไม่เจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์พูดด้วยความโมโห “อีกอย่าง โทษของพวกเขาก็ไม่ได้ใหญ่หลวงอันใด โดนขังไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว แต่ว่า คนที่อยากจะทุบตีข้าอย่างหลิงเวยกับหวังซื่อและหลิงซงที่รังแกพวกท่าน พวกเขาก็อย่าได้หวังเลยว่าจะมีชีวิตที่ดี ”
หลิงต้าจื้อดื่มน้ำไปแล้ว ลำคอก็รู้สึกสบายขึ้นมาแล้วบ้าง ครั้นได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยชื่อท่านปู่ท่านย่าโดยตรง เขาก็ไม่ได้ออกปากตำหนิติเตียน ครั้งนี้พวกเขาทำตนเจ็บปวดหัวใจอย่างถึงที่สุดแล้วจริงๆ
หลังจากผ่านเรื่องราวนี้ไป ความสัมพันธ์ของพวกเขากับคนของจวนหลังใหญ่ฝั่งนั้นไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป ในเมื่อฉีกหน้าไปแล้ว ก็ไม่อะไรให้ต้องคำนึงถึงอีก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านหิวหรือยังเจ้าคะ? พี่ใหญ่มอบข้าวสารและแป้งหมี่มาให้จำนวนหนึ่ง วันนี้ค่ำแล้ว กินไปก่อนสักสองสามคำนะเจ้าคะ ” หลิงมู่เอ๋อร์ยกชามเข้ามา ป้อนให้กับหลิงต้าจื้อก่อน
หลิงมู่เอ๋อร์เดิมทีวางแผนทำการค้าแต่เพราะครอบครัวเกิดเรื่องขึ้นจึงหยุดแผนการไปก่อน แต่ว่านางก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ ช่วงระยะเวลานี้นางดูแลคนในครอบครัวไปพลางคิดค้นวัตถุดิบการทำเครื่องปรุงไปพลาง
ในช่วงระยะเวลานี้ นางทุ่มเทดูแลจัดการสิ่งของที่อยู่ในมิติอย่างแข็งขัน พืชผักผลไม้ในมิตินั้นได้โตเต็มที่สุกงอมหมดแล้ว เพียงแต่ตอนนี้อากาศยังไม่ค่อยดี แม้แต่บนภูเขายังไม่มีอันใดให้กิน นางไม่กล้าเอาผักและผลไม้ที่สดใหม่เหล่านั้นออกมา ทำได้เพียงแต่เพาะปลูกซ้ำแล้วซ้ำอีก และเก็บเกี่ยวซ้ำแล้วซ้ำอีก สิ่งของเหล่านั้นล้วนวางไว้ในมิติ ยังคงรักษาไว้ในสภาพที่สดใหม่ที่สุด
ยังมีปลาและกุ้งในน้ำพุวิญญาณ ตอนนี้ก็โตขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม ปลาและกุ้งทุกตัวล้วนมีขนาดตัวที่ใหญ่มาก แม้แต่ปูและปลาไหลก็มีไม่น้อย ทว่า มิติก็มีกฎของตัวมันเองเช่นกัน ถึงแม้ว่าน้ำพุวิญญาณจะหล่อเลี้ยงบำรุงสิ่งที่อยู่ในน้ำเหล่านั้น แต่เมื่อพวกมันโตเต็มที่พอแล้วก็จะหยุดการเจริญเติบโต
สิบวันต่อมา ชาวบ้านที่ถูกกักขังไว้ก็กลับมาแล้ว ทั้งหมู่บ้านตระกูลหลิงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพียงแต่ว่า เมื่อทุกคนเห็นคนในครอบครัวของหลิงมู่เอ๋อร์ก็ล้วนแล้วแต่เดินเลี่ยงอ้อมไปอีกทาง แม้แต่เด็กที่ซุกซนเหล่านั้นก็ยังไม่กล้ายั่วยุพวกเขา ช่วงนี้หลิงมู่เอ๋อร์กำลังหักร้างถางพงทำสวนผักอยู่ มีบางครั้งบางคราได้พบเจอกับชาวบ้านเหล่านั้น พวกเขาเห็นนางก็ล้วนมีสีหน้าท่าทางราวกับเห็นผี
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เคยสนใจความคิดที่พวกเขามีต่อนาง เห็นพวกเขาที่มีท่าทางขี้ขลาดหวาดกลัวเช่นนี้ กลับรู้สึกราวกับว่าได้ระบายความโกรธ เป็นเช่นนี้ ต่อไปครอบครัวของพวกเขาก็จะสงบสุขขึ้นมาก
พวกชาวบ้านกลับมากันแล้ว แต่หวังซื่อและหลิงซงคนบ้านนั้นหนึ่งเดือนให้หลังถึงได้กลับมา เมื่อก่อนหวังซื่อมักจะเรียกหยางซื่อและหลิงต้าจื้อไปทำงานเกือบทุกวัน ตอนนี้พวกเขาได้แต่หดตัวอยู่แต่ในบ้านไม่กล้าออกมา ไม่เพียงแค่นั้นที่บ้านของพวกเขายังมีเรื่องราวอีกหนึ่งเรื่องที่ให้พวกชาวบ้านนินทากัน นั่นก็คือท้องของหลิงไฉ่เวย… ยามนี้สามารถมองเห็นท้องน้อยๆ ของนางแล้ว นั่นก็คืออาการของการตั้งครรภ์ได้สามเดือน
“ท่านแม่…” หลิงมู่เอ๋อร์กลับมาหลังจากทำงานด้านนอกแล้ว เมื่อเข้ามาในบ้านก็เห็นหยางซื่อลงมาเดินที่พื้น ถ้านางเพียงแค่ลงมาเดินขยับเขยื้อนที่พื้น เช่นนั้นก็ไม่เป็นอันใด เพราะถึงอย่างไรก็นอนมาหนึ่งเดือนที่จริงก็สามารถขยับเขยื้อนได้บ้างแล้ว แต่ว่าหยางซื่ออยู่นิ่งไม่ได้ นึกไม่ถึงเลยว่านางคิดจะไปหาบน้ำ นี่ทำเอาหลิงมู่เอ๋อร์ตกอกตกใจไปหมด “ท่านอย่าเพิ่งขยับเลยเจ้าค่ะ… พละกำลังของข้าเยอะ ไปเพียงรอบเดียวก็สามารถหาบน้ำกลับมาได้แล้วเจ้าค่ะ ”
“เจ้าคนเดียวยุ่งอยู่กับงานทั้งในบ้าน นอกบ้าน แม่เจ็บปวดใจนัก!” หยางซื่อส่ายหน้าพลางกล่าว “เจ้ายังเป็นเพียงแค่เด็กอยู่เลย!”
“ในสายตาของมารดา ข้าก็ยังคงเป็นเด็กเสมอ แต่ว่า เด็กอย่างข้ากลับอยากจะเป็นที่พึ่งพาของท่านแม่ได้บ้าง ท่านทำแค่งานเบาๆ ก็พอ อย่าทำงานหนักเลยเจ้าค่ะ ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ท่านพ่อล่ะเจ้าคะ?”
“เขาไปเก็บฟืน เจ้าวางใจเถิด มีเฉินเอ๋อร์คอยดูเขาอยู่ เขาเพียงแค่เก็บฟืนเท่านั้น เรื่องแบกหามฟืนนั้นไม่ให้เขาทำหรอก ” หยางซื่อกล่าว “ขาของพี่ชายเจ้า… เป็นอย่างไรแล้วบ้าง?”
เมื่อเอ่ยถึงขาของหลิงจื่อเซวียน หลิงมู่เอ๋อร์ก็มีหน้าตายิ้มแย้มเบิกบานใจ ตั้งแต่ที่นางใช้สมุนไพรในมิติช่วยรักษาหลิงจื่อเซวียนนั้น แผลที่ขาของเขาก็ได้หายสนิทแล้ว เชื่อว่าอีกหนึ่งเดือนผ่านไป เขาก็จะสามารถลงจากเตียงมาขยับเขยื้อนอย่างช้าๆ ได้แล้ว ผ่านไปอีกสองเดือน เขาก็จะสามารถเดินเหินอย่างคนปกติได้
“ความสามารถของข้าท่านยังไม่วางใจอีกหรือเจ้าคะ?บาดแผลของท่านกับท่านพ่อสาหัสขนาดนี้ ข้ายังทำให้พวกท่านไม่เป็นอันใดได้เลย ท่านคลำๆ ที่แผ่นหลังของท่านดูสิเจ้าคะว่าเรียบเนียนใช่หรือไม่ ผิวอ่อนนุ่มกว่าตอนก่อนที่ได้รับบาดเจ็บอีกเจ้าค่ะ ” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างร่าเริง
หยางซื่อสังเกตเห็นความผิดปกติมาตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่า นางนึกว่าเป็นความเข้าใจผิดของตนเองมาโดยตลอด อย่างไรเสียบาดแผลเต็มไปทั่วตัวก็ราวกับตะแกรงที่ทะลุเป็นหย่อมๆ ไม่มีรอยแผลเป็นไปทั่วทั้งร่างก็นับว่าไม่เลวแล้ว แต่นี่ยังสามารถดีขึ้นกว่าแต่ก่อนได้อีก?
ตอนนี้ได้ฟังคำรับรองจากหลิงมู่เอ๋อร์ นางถึงรู้ว่าตนเองไม่ได้คิดผิดไป ผิวพรรณของนางตอนนี้ดีกว่าเมื่อก่อนมาก นี่เป็นความโชคดีในความโชคร้ายเหมือนกับคำที่เล่าต่อๆ กันมาใช่หรือไม่?
“พวกข้ากลับมาแล้ว” หลิงต้าจื้อกลับมาจากด้านนอก กล่าวพร้อมทั้งถอนหายใจยาว
หลิงมู่เอ๋อร์และหยางซื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอมทุกข์ของหลิงต้าจื้อ ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน หยางซื่อกล่าวอย่างไม่พอใจ “บุตรสาวมองท่านอยู่นะ!ท่านทอดถอนหายใจด้วยความเศร้าโศกให้ผู้ใดดูกัน?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แม่ของลูก เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป ” หลิงต้าจื้อรีบยิ้มแย้มทันที “ข้าไม่ได้ทำใส่บุตรสาว แต่เป็น…”
หลิงต้าจื้อกล่าว พร้อมถอนหายใจอีกหนึ่งครั้ง เขามองซั่งกวนเซ่าเฉินข้างๆ ที่ยกฟืนกำลังจะเดินเข้าประตูเรือนไป กล่าวว่า “เฉินเอ๋อร์ เจ้ามาบอกมารดาบุญธรรมของเจ้าทีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว ยกฟืนเดินตรงไปยังทิศทางของห้องครัว “พวกท่านคุยกันเถิด ข้าจะไปทำงาน ”
“นี่…” หลิงต้าจื้อจ้องเขม็งไปที่เงาด้านหลังของซั่งกวนเซ่าเฉิน กล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “เจ้าเด็กคนนี้ไม่สนใจเรื่องของผู้อื่นแม้แต่น้อยจริงๆ!”
“ท่านก็กล่าวอยู่ว่าเป็นเรื่องของผู้อื่น เฉินเอ๋อร์ไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้น สรุปแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?” หยางซื่อกล่าว “เข้ามาในบ้านก็ทอดถอนหายใจ ข้าไม่อาจทนดูได้”
“ก็ไม่ใช่เรื่องของหลิงไฉ่เวยเด็กสาวคนนั้นหรือ นางท้องใหญ่กลับมา คนในหมู่บ้านต่างพากันชี้นิ้วนินทาลับหลังนาง ตอนนี้ตระกูลจวงกล่าวว่านางถูกคนทำให้มีมลทิน จะถอนหมั้นกับนาง ” หลิงต้าจื้อหัวเราะเยาะเย้ยพลางกล่าว “เด็กสาวคนนั้นร่ำไห้บอกว่าเด็กเป็นลูกของเจ้าหนุ่มตระกูลจวง แต่ว่าเจ้าหนุ่มผู้นั้นกลับไม่ยอมรับ กล่าวว่าเขาอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จะทำเรื่องอย่างนั้นออกมาได้อย่างไร?ตอนนี้เด็กคนนั้นตีโพยตีพายหาเรื่อง โวยวายอยู่ในลานบ้านของตระกูลจวง กล่าวว่าถ้าตระกูลจวงถอนหมั้น นางก็จะแขวนคอตายหน้าประตูเรือนตระกูลจวง ข้าผ่านทางนั้นพอดี นางดึงข้าไม่ยอมปล่อย ยังพูดว่าถ้าตระกูลจวงกล้าถอนหมั้น จะให้หลานชายบุญธรรมของนางจับพวกเขาเข้าคุก ถุ้ย!เฉินเอ๋อร์กลายเป็นหลานบุญธรรมของนางตั้งแต่เมื่อใด?ตอนนี้ครอบครัวของพวกเราตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขาไปแล้ว ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันอีก ”
นับว่าครั้งนี้หลิงต้าจื้อใจแข็งแล้ว ไม่สนใจท่าทีอันดีของคนที่จวนใหญ่ เขาไม่ได้ใจอ่อน ในเรื่องนี้ หลิงมู่เอ๋อร์พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ชื่นชมเขามากกว่าหนึ่งครั้งในใจ
ยิ่งหลิงมู่เอ๋อร์ชื่นชมเขา จิตใจของหลิงต้าจื้อก็ยิ่งเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้น ถึงอย่างไรผู้ใดจะไม่อยากเป็นพ่อแม่ที่ลูกหลานเคารพนับถือกันล่ะ?เมื่อเทียบกับ ‘คนนอก’ เหล่านั้น ความต้องการของบุตรสาวย่อมสำคัญมากกว่าแน่นอน
นอกจากท่าทีอันดีของคนที่จวนใหญ่แล้ว ผู้นำตระกูลหลิงและยังมีผู้อาวุโสทั้งหลายก็ล้วนส่งสิ่งของต่างๆ มากมายมา หลิงมู่เอ๋อร์โยนสิ่งของเหล่านั้นทิ้ง ทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินครึ่ง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ในเมื่อพวกท่านสามารถเดินเหินได้แล้ว พรุ่งนี้ข้าอยากจะตระเตรียมเรื่องการทำการค้าเจ้าค่ะ ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับหลิงต้าจื้อและหยางซื่อ
“ช่วงนี้เจ้ามัวแต่ยุ่งกับเรื่องนี้มาตลอด ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?” หยางซื่อเอ่ยถาม
“พี่ใหญ่ให้ข้ายืมสิ่งของไม่น้อย สิ่งที่ควรตระเตรียมก็เตรียมเรียบร้อยแล้ว พี่ใหญ่ได้ยินว่าข้าอยากได้เตาที่สามารถทำอาหารในสถานที่นั้นได้ ยังไปขอยืมเตาจากสหายมาให้ข้า” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวด้วยความเกรงใจ “สิ่งของที่ข้าต้องการทั้งหมดพี่ใหญ่ล้วนตระเตรียมให้หมดแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว ขาดแต่เพียงสิ่งที่สำคัญประการสุดท้ายเท่านั้นเจ้าค่ะ”
เตาที่ยืมมานั้น แท้จริงแล้วเป็นเตาใหม่เอี่ยม หลิงมู่เอ๋อร์มองเห็นความตั้งใจของซั่งกวนเซ่าเฉิน ในใจจึงแอบจดจำความดีของเขาเอาไว้