เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 9 แผนการร้าย
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 1 บทที่ 9 แผนการร้าย
เล่มที่ 1 บทที่ 9 แผนการร้าย
หิมะยังคงตกหนักไม่หยุด เกล็ดหิมะตกโปรยปรายลงบนตัวของพวกเขา ปริมาณน้ำเล็กน้อยเหล่านั้นสะสมกันบนเสื้อผ้านั้นจนเปียกชื้น
หลิงมู่เอ๋อร์ทำงานร่วมกับบุรุษหลายคน ผู้อื่นขนย้ายก้อนหินได้ นางก็ทำได้เช่นกัน พวกบุรุษที่ไม่พอใจนางเมื่อครู่ต่างก็เบิกตากว้างกันทุกคน
หลิงหลินดึงชายเสื้อของหลิงจื่อชิ่ง กระซิบเสียงเบา “นางเด็กน่าตายนี่มีแรงเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แต่ก่อนลมพัดก็จะล้มให้ได้ ตอนนี้อย่างกับสัตว์ประหลาด เมื่อคืนวานท่านย่าเจ้ากอดท่านป้าเล็กเจ้าร้องไห้ทั้งคืน ได้ยินพวกเขาเอ่ยชื่อของนางเด็กนี่ด้วย หรือว่าพวกนางจะถูกนางเด็กนี่รังแก? รอหาโอกาสได้แล้วค่อยจัดการนาง”
หลิงจื่อชิ่งกลืนน้ำลาย กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ท่านอาเล็ก นางเด็กนั่นแรงเยอะขนาดนี้ เกรงว่าจะแรงเยอะกว่าข้าเสียอีก ข้าจะจัดการนางอย่างไรขอรับ? ท่านอยากจัดการ เช่นนั้นก็ไปทำเอาเองเถิด ข้าจะไม่เป็นหัวโจกแน่”
“เจ้าเด็กหน้าเหม็น เจ้าไม่อยากไปเปิดโลกกว้างที่หอนางโลมชุนเซียงหรือ? ขอเพียงแต่เจ้าจัดการนางเด็กนี่เสีย อาเล็กก็จะพาเจ้าไป” หลิงหลินยิ้มอย่างชั่วร้าย เผยให้เห็นถึงสีหน้าที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้โดยไม่ต้องพูดออกมา
“ท่านอย่ามาหลอกข้า ” แววตาของหลิงจื่อชิ่งเปล่งประกาย ในใจสั่นไหวอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อนึกถึงคุณธรรมของท่านลุงเล็ก ก็ทำเอาความคิดภายในใจห่อเหี่ยวลงไปเสียไม่ได้
หลิงหลินเป็นคนเช่นไร? เกรงว่าไม่มีผู้ใดรู้ไปมากกว่าเขาอีกแล้ว ทุกครั้งที่ก่อเรื่องเสื่อมเสียล้วนเป็นผู้อื่นที่เป็นแพะรับบาป มีเรื่องอะไรดีๆ ก็เป็นเขาที่ออกหน้ารับ ครั้งที่แล้วเขากับสหายอีกคนปล้นเงินพ่อค้าร่ำรวยผู้หนึ่ง สุดท้ายสหายผู้นั้นถูกขังคุก เขาใช้ลิ้นสามนิ้วที่ไม่เน่า [1] เอาตัวรอดมาได้ หลบการเข้าคุกรอบนั้นได้
คนผู้นี้ยากจนมาก ตอนนี้แยกบ้านออกไปแล้ว ต่างคนต่างใช้ชีวิต วันๆ เขาไม่ทำอันใดเลย อาศัยให้ภรรยาทำนาใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ น่าเสียดายหลานซื่อผู้นั้นเหลือเกิน…
หลิงจื่อชิ่งนึกถึงหลานซื่อที่แต่เดิมมีหน้าตางดงาม ทว่าหลังจากแต่งให้กับหลิงหลินได้ไม่นานก็กลายเป็นคนเหี่ยวแห้งซีดเผือด อายุยี่สิบกว่าปีแต่คล้ายกับอายุสามสิบสี่สิบปีก็มิปาน นอกจากนี้ยังถูกหลิงหลินผู้นี้เหยียดหยาม หลานซื่อผู้นั้นอายุมากกว่าเขาไม่กี่ปี ทว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาเห็นนางแล้วถึงกับตกใจยิ่ง ช่างน่าเสียดายดอกไม้งามที่ปักอยู่ในกองมูลควายเสียเหลือเกิน น่าเสียดายใบหน้าที่งดงามที่ต้องเสียเปล่าไปเช่นนี้
“อาเล็กจะหลอกเจ้าได้อย่างไร? บอกเจ้าตามจริง ช่วงนี้ข้าเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับลูกชายของท่านนายอำเภอ ตอนนี้เขาเป็นพี่ใหญ่ร่วมสาบานของข้าแล้ว หลังจากนี้ข้าก็จะติดตามเขาแล้วจะได้กินดีอยู่ดี” หลิงหลินเงยหน้าพูดอย่างลำพองใจ “ถ้าหากเจ้าทำได้ดี ข้าจะแนะนำเจ้าให้กับพี่ใหญ่ข้า เมื่อเป็นอย่างนั้นพื้นที่หอนางโลมก็เหมือนกับสวนหลังบ้านของตนเองไม่ใช่หรือ? ”
ได้ยินคำพูดของหลิงหลิน ก็ทำเอาหลิงจื่อชิ่งใจหวั่นไหวจริงๆ เขามองหลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้าม ดวงตาเปล่งประกายแสงแห่งความชั่วร้าย
อีกอย่างนางเด็กสาวตัวน้อยนี่ เขาไม่เชื่อว่าจะสู้นางไม่ได้ เพียงแค่หาโอกาสให้นางได้ลิ้มลองความเจ็บปวดก็เท่านั้น ไม่ได้จะเอาชีวิตนางเสียหน่อย การค้าในครั้งนี้ไม่เสียเปรียบเลยสักนิด!
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่รู้ว่าตนได้ตกเป็นเป้าหมายของญาติผู้สูงส่งเหล่านั้นแล้ว นางยุ่งอยู่กับการทำงานตลอดเวลา ไม่เคยหยุดเลยแม้แต่เค่อเดียว แม้แต่เหล่าบุรุษแกร่งในหมู่บ้านนั้นยังละอายใจ
ถนนบนภูเขาถล่ม หินที่อยู่ด้านบนตกลงมา ขวางทางเข้าออกเพียงทางเดียวของหมู่บ้าน เมื่อวานจัดการไปทั้งวัน ทว่าทำได้เพียงแค่เคลื่อนย้ายได้เพียงมุมเล็กๆ เท่านั้น ตามความเร็วเช่นนี้ ต้องใช้เวลาอีกสิบวันถึงครึ่งเดือนถึงจะสามารถจัดการเสร็จสิ้นได้ เพียงหวังว่าเมื่อถึงตอนนั้นพวกชาวบ้านจะยังสามารถประคับประคองกันให้รอดมาได้
หลิงมู่เอ๋อร์ลูบเกล็ดหิมะที่อยู่บนใบหน้า เสื้อผ้าของนางนั้นบางยิ่ง น้ำของหิมะทั้งสาดทั้งกระเซ็นทำให้เสื้อของนางเปียกชื้น ในฤดูที่หนาวเย็นอย่างนี้ ขาดสารอาหารมาเป็นเวลานานทำให้นางรู้สึกเวียนหัวเป็นอย่างยิ่ง ในเวลานี้ หลิงไฉเสินที่อยู่ด้านข้างประคองนางเอาไว้ เอ่ยถามด้วยความห่วงใย “แม่นางมู่ เจ้าทำงานที่บุรุษสองคนทำด้วยตัวคนเดียว เช่นนี้จะทนไหวได้อย่างไร? รีบหาที่พักสักหน่อยเถิด”
“ขอบคุณท่านอามากเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์มองหลิงไฉเสินอย่างซาบซึ้ง
หลี่เจิ้งทำงานอย่างเกียจคร้าน เงยหน้ามองเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังแอบอู้งาน ก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที
ขณะที่เขากำลังจะโมโหนั้น หลิงหลินก็ได้ดึงเสื้อของหลี่เจิ้งไว้ โน้มตัวเข้าไปกระซิบกระซาบที่ข้างหูเขาสองสามประโยค
สายตาของหลี่เจิ้งเปล่งประกาย ตะโกนพูดกับหลิงมู่เอ๋อร์ “แม่นางมู่ อากาศหนาวอย่างนี้ เจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวไม่ต้องทำแล้ว เอาอย่างนี้! กลับบ้านไปต้มน้ำร้อนมาให้ทุกคนได้ทำให้ร่างกายอบอุ่นกันหน่อยเถิด”
หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกแปลกใจ ใกล้ได้ถึงเวลากินข้าวแล้ว ให้นางไปต้มน้ำร้อนในเวลานี้ทำไม?
ทว่า นางก็ไม่ได้ปฏิเสธคำข้อร้องของหลี่เจิ้ง
หลี่เจิ้งท่านนี้เป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านใกล้เคียงที่เคยเรียนหนังสือ หลังจากหลี่เจิ้งคนก่อนลงจากตำแหน่ง เขาได้ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งนี้ หลายปีมานี้ เขาได้ใช้ตำแหน่งของเขาเพื่อผลประโยชน์อย่างมากมาย ชาวบ้านคนอื่นล้วนหิวโหยจนใบหน้าเหลืองผอมแห้งกันหมดแล้ว มีแต่คนในครอบครัวของพวกเขาที่ขาวๆ อ้วนๆ กันทุกคน
เมื่อตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์ออกจากที่นั่นไป หลิงจื่อชิ่งก็ค่อยๆ แอบตามนางออกไป หลิงหลินเห็นหลิงจื่อชิ่งไปแล้ว ในดวงตาก็ฉายแววประกายชั่วร้ายขึ้น
“นางเด็กตัวเหม็น ใครให้เจ้าทำลายแผนการครั้งที่แล้วของข้า ข้าจะไม่มีให้อภัยเจ้าแน่” หลิงหลินแค้นฝังใจเช่นนี้ ก็เป็นเพราะครั้งที่แล้วตอนที่เขาคิดจะรังแกสาวน้อยข้างหมู่บ้านวัยสิบสองปี ทว่ากลับถูกนางพบเข้าเสียก่อน ปกตินางเด็กนี่จะเป็นคนขี้ขลาด นึกไม่ถึงว่าตอนนั้นจะตะโกนร้องเรียกให้ผู้อื่นมาดู ทำให้เขาตกใจกลัวจนวิ่งหนีไป
เพื่อเรื่องนี้แล้ว หลิงหลินขุ่นเคืองในใจมาโดยตลอด วันนี้หาโอกาสให้นางอยู่คนเดียว ต้องจัดการลงโทษนางอย่างสาสมสักหน่อยแล้ว ให้นางได้รู้ผลดีชั่วที่จะตามมา
ในเวลานี้ หลิงมู่เอ๋อร์ชะลอฝีเท้าลง
นางรู้สึกว่ามีคนกำลังแอบตามหลังนางมา ขณะที่นางเลี้ยวโค้ง หยุดอยู่ด้านหน้าไม่ไกลมากนัก นางก็หาที่หลบซ่อน
ทันใดนั้นเงาของหลิงจื่อชิ่งก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของนางแทน
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหลิงจื่อชิ่ง ดวงตาทอประกายอย่างดุเดือด นางค่อยๆ เดินออกมา ยืนอยู่ด้านหลังหลิงจื่อชิ่ง ในเวลานี้เอง นางใช้แรงผลัก ทำให้หลิงจื่อชิ่งตกลงไป
ด้านล่างเป็นเนินลาดขนาดเล็ก หลิงจื่อชิ่งตกลงไปจากตรงนี้ ก็แค่บาดเจ็บแต่ไม่ถึงกับตาย
ได้ยินเพียงแต่เสียงที่ดังโครม หลิงจื่อชิ่งตกลงบนพื้นพร้อมเสียงร้องที่น่าเวทนา
นางยืนบนขอบของเนิน มองหลิงจื่อชิ่งที่หล่นลงไป เขานอนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร
ถึงอย่างไรไม่ตายก็พอแล้ว
ดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์ทอประกายเย็นชา
ดูจากท่าทีของเขาเมื่อครู่ ย่อมเป็นแผนที่มิอาจวางใจได้อย่างแน่นอน คนเช่นนี้ต่อให้ตกตายก็ไม่น่าเสียดาย
หลิงมู่เอ๋อร์เดินออกไปอย่างวางท่า คนเหล่านั้นอยากเห็นนางเป็นตัวตลก นางก็จะให้พวกเขาดูกันให้พอ
“มู่เอ๋อร์ เหตุใดถึงกลับมาแล้วเล่า?” หยางซื่อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ มองนางด้วยความตกใจ
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเล็กบางๆ พร้อมกล่าว “ใกล้จะถึงเวลาข้าวเที่ยงแล้ว ข้ากลับมาพักผ่อนสักหน่อย ท่านแม่ ถ้าหากอีกครู่หนึ่งมีคนมาหาข้า ก็บอกไปว่าข้าล้มได้รับบาดเจ็บนะเจ้าคะ”
“เจ้าล้มได้รับบาดเจ็บหรือ? ” หยางซื่อจับมือของนางอย่างตื่นตระหนก มองรอบๆ ตัวนางหลายรอบ “บาดเจ็บที่ใด? บาดแผลร้ายแรงหรือไม่? ”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบหยุดการกระทำของนาง หญิงสาวส่ายหัวเบาๆ “ข้าไม่ได้บาดเจ็บจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
เสียงเรียกคำว่าแม่นี้เรียกมาด้วยความเต็มใจ และเสียงเรียกนั้นทำให้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่น บนโลกใบนี้ ในที่สุดนางก็จะไม่ได้โดดเดี่ยวอีกต่อไป
หลิงจื่อเซวียนได้ยินเสียงก็เดินกะเผลกๆ ออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “น้องหญิงได้รับบาดเจ็บหรือ?”
“เปล่าเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์รู้ว่าปิดบังพวกเขาไม่ได้ จึงได้เล่าว่าเรื่องเมื่อสักครู่ออกไป “อีกสักครู่พวกเขาต้องมาหาข้าเป็นแน่ พวกท่านบอกว่าข้าได้รับบาดเจ็บ พวกเขาก็ไม่กล้าหาเรื่องข้าแล้วเจ้าค่ะ”
“มู่เอ๋อร์ เจ้าไม่ได้ทำอันใดเขาใช่หรือไม่?ถ้าหากตายขึ้นมา เช่นนั้นจะต้องติดคุกนะ” สีหน้าของหยางซื่อซีดเซียวและสั่นเทา
“ข้ารู้ขอบเขตเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มเยาะพลางกล่าว “ถ้าคนเช่นนั้นตายขึ้นมาจริงๆ นั้นก็จะเป็นการช่วยชาวบ้านกำจัดภัยอันตรายแล้ว ทว่า ถึงแม้จะตาย ก็ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือข้าแน่นอนเจ้าค่ะ”
เป็นอย่างที่คาดคิด ผ่านไปไม่นานก็มีคนบุกเข้ามาในบ้านของพวกเขา คนแรกก็คือหลี่เจิ้ง ตามมาจากด้านหลังก็คือหลิงหลินและบุรุษร่างแกร่งอีกสองสามคน
หลี่เจิ้งเข้ามาในลานบ้าน เห็นสถานที่ยากจนนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาตะโกนเข้าไปด้านใน “แม่ของจื่อเซวียน ส่งแม่นางมู่ออกมา”
หยางซื่อได้ยินเสียงของหลี่เจิ้ง นางอดที่จะสั่นเทาไม่ได้ นางกล่าวด้วยความเครียด “คราวนี้จะทำอย่างไรดี?”
หลิงมู่เอ๋อร์เดินกะเผลกๆ ออกจากประตูไป นาง ‘พยายาม’ ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน เงยใบหน้าที่ขาวซีดขึ้น แสดงท่าทางเจ็บปวด “หลี่เจิ้ง ท่านหาข้าหรือเจ้าคะ?”
หลี่เจิ้งเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยความงุนงง “นี่เจ้า…”
“เมื่อครู่ข้าตกลงมาจากเนินเขา” ขณะที่พูดอยู่ หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยกแขนที่ ‘บาดเจ็บ’ ขึ้นมา บนแขนนั้นมีรอยเขียวช้ำอยู่เยอะมาก ดูเหมือนว่าต้องทนทุกข์ทรมานไม่น้อย
ชายหนุ่มที่ติดตามหลี่เจิ้งมามองหน้ากัน หนึ่งคนในจำนวนนั้นพูดกับหลิงหลิน “เสี่ยวหลิน ไม่ใช่เจ้าบอกว่าแม่นางมู่ผลักจื่อชิ่งจนได้รับบาดเจ็บหรอกหรือ?แล้วเหตุใดนางถึงล้มจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้เล่า?”
“หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?ข้าจะไปผลักพี่ชายชิ่งได้อย่างไร?พี่ชายชิ่งไม่ได้อยู่กับพวกท่านหรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์ทำท่าทางไร้เดียงสา
เดิมทีก็เป็นคนที่อ่อนแอน่าสงสารอยู่แล้ว คนทั้งหมู่บ้านทุกคนต่างรู้ว่านางขี้ขลาด เห็นเรื่องราวเป็นเช่นนี้ พวกเขายิ่งเชื่อหลิงมู่เอ๋อร์อย่างแน่นอน
หลิงหลินหน้าด้านไร้ยางอายผู้นั้น มีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นถึงจะเชื่อเขา เพราะฉะนั้น พวกชาวบ้านต่างมองหลิงหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อคำพูดของเขา
สีหน้าของหลิงหลินไม่สู้ดี แววตาเปล่งประกาย
เมื่อครู่มีแต่หลิงจื่อชิ่งที่อยู่กับหลิงมู่เอ๋อร์ หลิงหลินก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขารอแล้วรออีกก็ไม่เห็นหลิงจื่อชิ่งและหลิงมู่เอ๋อร์กลับไปสักที ดังนั้นเลยยุยงพวกชาวบ้านให้รีบตามมาดูสถานการณ์ ผลสรุปกลับพบว่าหลิงจื่อชิ่งนอนอยู่ด้านล่างเนินเขา อยู่ในสภาพไม่ได้สติแล้ว
“แขนของเจ้าบาดเจ็บ ขาก็บาดเจ็บเช่นกัน เหตุใดใบหน้าถึงไม่มีรอยแผลเลยสักนิด?” หลิงหลินจ้องมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ พูดอย่างเคียดแค้น “เจ้าหลอกพวกข้า!”
หลิงมู่เอ๋อร์คิดไม่ถึงว่าหลิงหลินคนที่ไม่มีการศึกษายังมีความช่างสังเกตขนาดนี้ นางถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความหวาดกลัว พูดอย่างอ่อนแรง “ตอนที่ข้าตกลงไปข้าใช้ก้นลง จะมีบาดแผลที่หน้าได้อย่างไร?ท่านอาเล็ก เหตุใดถึงอยากเอาความผิดมาไว้ที่ตัวข้านัก?พี่ชายชิ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะเจ้าคะ!”
“หลี่เจิ้ง นางเด็กนี่มีสิ่งผิดปกติ” หลิงหลินดูแคลนคำพูด ‘ครอบครัวเดียวกัน’ ของหลิงมู่เอ๋อร์ มีแต่ผีเท่านั้นที่จะเป็นครอบครัวเดียวกันกับนางเด็กตัวเหม็นนี่!ครอบครัวยากจน คนโตก็ขาพิการ คนเล็กก็โง่เขลา คนแก่ก็แก่ ที่เหลือก็เป็นเพียงสตรี ถ้าครอบครัวนี้ลืมตาอ้าปากได้ เขาจะเอาศีรษะของตัวเองออกมาทำเก้าอี้ “พวกเราควรตรวจสอบบาดแผลบนตัวนาง ไม่แน่ว่าแผลบนตัวนางอาจจะแกล้งทำก็เป็นได้”
หยางซื่อกับหลิงจื่อเซวียนเดินออกมาจากด้านใน หยางซื่อกดข่มความรู้สึกจนหน้าแดง พูดอย่างโกรธเคือง “ท่านอาเล็ก ท่านพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?นางเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน นึกไม่ถึงว่าท่านจะกล้าแตะต้องตัวนางเพื่อตรวจสอบบาดแผล ท่านอยากจะบีบบังคับครอบครัวพวกเราให้ตายหรือ!หากท่านไม่ปล่อยคนในครอบครัวของพวกเราไป พวกเราก็จะแขวนคอตายที่หน้าประตูบ้านของพวกท่าน ให้ท่านเปาชิงเทียน [2] เป็นคนตัดสิน”
เชิงอรรถ
[1] ลิ้นสามนิ้วที่ไม่เน่า หมายถึง วาทศิลป์ในการพูดจา มีความสามารถชำนาญในด้านการโต้วาที
[2] เปาชิงเทียน หมายถึง เปาบุ้นจิ้น