เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 7 มาอีกครั้ง
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 1 บทที่ 7 มาอีกครั้ง
เล่มที่ 1 บทที่ 7 มาอีกครั้ง
ขาของหลิงจื่อเซวียนเดิมทีก็พิการเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผนวกกับอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ ยังปล่อยให้เขาไปทำความสะอาดถนน หลี่เจิ้งของหมู่บ้านนี้ช่างเลือดเย็นเกินไปแล้ว
ยังไม่ทันจะพบหลี่เจิ้งผู้นั้น หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่ชอบคนผู้นี้เสียแล้ว อย่างไรก็ตามนางเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ต้องการเงินไม่มีเงิน ต้องการอำนาจไม่มีอำนาจ นางยังไม่อาจต่อกรกับนักเลงหัวไม้เหล่านี้ได้อย่างแท้จริง ชีวิตในยุคนี้ หลายสิ่งหลายอย่างล้วนต้องอาศัยคนเหล่านี้ นางจะไม่สนใจก็ย่อมได้ ทว่าหยางซื่อและคนอื่นของตระกูลหลิงจะทำเช่นไร? ตอนนี้นอกจากอดทนต่อลมหายใจนี้ หาโอกาสเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของคนในครอบครัวพวกเขา ก็ทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว
หลิงจื่ออวี้กินน้ำแกงไก่หลังจากตนเองตื่นขึ้นมา เสื้อผ้าของเขาถูกหยางซื่อนำมาทำเป็นรองเท้าให้กับหลิงมู่เอ๋อร์ ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ เขาทำได้เพียงแค่นอนบนเตียงเท่านั้น
หลิงมู่เอ๋อร์พาหยางซื่อไปซ่อนไก่อีกครึ่งตัวที่กินไม่หมดรวมทั้งกระต่ายตัวนั้นของเมื่อวาน สำหรับกระต่ายของวันนี้ เดิมทีนางคิดจะซ่อนเอาไว้ แต่เมื่อคิดว่ามีคนจำนวนมากเห็นนางมีกระต่าย ถึงแม้ว่าซ่อนเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ แทนที่จะทำเป็น ‘ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง’ [1] ไม่สู้กับเอากระต่ายวางไว้ที่นั่น นางก็อยากจะรู้ว่าผู้ใดที่จะสามารถแย่งชิงของของนางได้
“สมควรตายนัก! ” เสียงตะคอกอย่างเดือดดาลของหวังซื่อดังมาจากด้านนอก “นางสารเลว กล้าดีอย่างไรมาแย่งชิงกระต่ายของไฉ่เวยของพวกเรา ยังไม่รีบนำมาคืนให้เหล่าเหนียง [2] อีก”
หยางซื่อได้ยินเสียงของหวังซื่อ ร่างกายเรียวบางก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา นางจับมือหลิงมู่เอ๋อร์อย่างเป็นกังวล พูดอย่างสั่นๆ “มู่เอ๋อร์ นี่จะทำอย่างไรดี? ”
“ท่านแม่ ท่านนึกถึงน้องเล็กเข้าไว้ ถ้าหากนำกระต่ายให้ท่านย่าแล้ว ต่อไปพวกเราจะอดตายกันหมด คนในหมู่บ้านก็ไม่มีอะไรจะกิน พวกเขาจะต้องขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาอาหารอย่างแน่นอน คนทั้งหมู่บ้านมากมายขนาดนั้น ทุกคนต้องแบ่งกันเพียงเล็กน้อย เกรงว่าอีกไม่กี่วันก็หิวแล้ว ตอนนี้น้องเล็กยังป่วยอยู่ ไม่สามารถอดอาหารได้อีกแล้ว ท่านยินยอมยกอาหารที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ให้แก่ผู้อื่นหรือเจ้าคะ? ” หยางซื่อนั้นอ่อนแอ การพบเจอหวังซื่อก็เหมือนหนูที่เจอแมว ทุกครั้งที่เสียงของหวังซื่อดังขึ้น หยางซื่อต้องยอมก้มหัวให้อย่างเชื่อฟัง แต่ว่านางเป็นแม่คน นางมีความจริงใจต่อลูกๆ ขอเพียงแค่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของลูก นางก็จะเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เป็นอย่างยิ่ง
เป็นดังที่คาด เมื่อหยางซื่อแต่เดิมซึ่งมีสีหน้าซีดเซียวได้ยินชื่อของหลิงจื่ออวี้ นัยน์ตาที่อ่อนโยนก็วาวโรจน์ขึ้นในทันที
ประตูที่หวังซื่อถีบจนพังเมื่อวาน ตอนนี้ประตูยังไม่ได้ซ่อมแซมให้ดี ทันใดนั้นเองยามที่นางได้บุกเข้ามา ผลักประตูเปิดอย่างรุนแรงจนประตูนั้นก็ล้มลงกับพื้นทันที
เสียงดังโครม ประตูบานใหญ่พังลงมา ส่งเสียงดังสนั่น
หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้วมุ่น บังหยางซื่อไว้ด้านหลัง ปกป้องมารดาขี้กลัวด้วยร่างกายที่เพรียวบางนั้น
นางมองหวังซื่อด้วยสายตาที่เฉียบคม กล่าวเบาๆ “ท่านย่า พวกเราแยกบ้านออกจากกันแล้ว ท่านบุกเข้ามาในบ้านพวกเราเช่นนี้ ข้าสามารถแจ้งว่าท่านเป็นขโมยได้นะเจ้านะคะ”
“ฮะ…นางสารเลว เจ้าพูดอันใด? เหล่าเหนียงเป็นย่าของเจ้า ถึงแม้ว่าจะขนสิ่งของที่นี่ออกไปจนหมดก็นับสมควร ขโมยหรือ? เจ้าไปแจ้งสิ! องค์ฮ่องเต้รัชสมัยนี้เชิดชูความกตัญญู พวกเจ้าอกตัญญูเช่นนี้ เหล่าเหนียงก็จะเอาพวกเจ้าไปแจ้งที่ศาลาว่าการ” เห็นได้ชัดว่าหวังซื่อมีการเตรียมตัวมาก่อน คำพูดมีระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ชัดเจน ดูเหมือนว่าถูกคนอบรมมาก่อน
ส่วนผู้ใดเป็นผู้อบรมนางนั้น อันที่จริงย่อมเดาออกมาได้ไม่ยาก ทั้งในหมู่บ้านมีบัณฑิตเพียงหนึ่งคน นั่นก็คือจวงต้าหลิน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถพูดเช่นนี้ได้
“ฮ่องเต้เชิดชูความกตัญญูย่อมไม่ผิด เพียงแต่ว่า นั่นก็ต้องดูว่าคนผู้นั้นเป็นท่านย่าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ ถ้าอาศัยที่ตนมีอายุมากและทำตัวเป็นผู้อาวุโส ไม่สนใจความเป็นความตายของลูกหลาน แม้ว่าก่อเรื่องไปถึงที่ศาลาว่าการ ท่านนายอำเภอก็จะพิจารณาคดีอย่างยุติธรรม” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะพร้อมกล่าว “ข้ารู้จุดประสงค์การมาครั้งนี้ของท่านย่า หลิงไฉ่เวยพูดได้ถูกต้อง ข้ามีกระต่ายหนึ่งตัวอยู่ที่นี่อย่างแท้จริง แต่ว่าเนื้อหนึ่งชิ้นข้าจะไม่ให้ท่าน ไม่ แม้แต่หนังกระต่ายข้าล้วนไม่ให้ท่าน ท่านยอมแพ้เสียเถิด! ”
“นางสารเลว เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” เมื่อหวังซื่อได้ยิน ก็โกรธเคืองเป็นอย่างยิ่ง นางเริ่มรื้อค้นภายในห้อง
ครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้น เดิมทีก็ไม่มีเครื่องเรือนอันใดอยู่แล้ว หากนางยังรื้อค้นเช่นนี้อีก แม้แต่โต๊ะที่อยู่ในสภาพดีเพียงตัวเดียวตัวนั้นก็จะพังทลายลงมา
เสียงดังขึ้นตึงตึง สิ่งของทุกอย่างก็ล้วนโยนลงบนพื้น นางระบายความโกรธออกมาพักหนึ่ง ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างได้ แล้ววิ่งอย่างบ้าคลั่งไปที่ห้องครัว
“กระต่ายล่ะ? ” ในห้องครัวไม่มีกระต่าย หวังซื่อกระทืบเท้าด้วยความโกรธ หยิบชามบนเตาขึ้นมาจะโยนมันลงไป
“ถ้าหากท่านโยนลงไป ข้าจะให้ท่านชดใช้ให้ข้าเป็นสองเท่า ท่านโยนชามข้าหนึ่งใบ ข้าจะเอาของของท่านสองใบ ถ้าหากท่านไม่สนใจ ก็โยนมันลงไปได้เต็มที่” หลิงมู่เอ๋อร์จับแขนของหวังซื่อเอาไว้ ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งมองที่นางอย่างเฉียบคม
“ท่านแม่…” หยางซื่อพูดอย่างสั่นเทาที่ประตู “จืออวี้ป่วยมานานแล้ว ถ้าหากไม่ได้กินอาหารอีกจะตายได้ ท่านสงสารพวกเราเถิดเจ้าค่ะ อย่าทำให้พวกเราลำบากอีกเลย รอให้จืออวี้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว จะต้องกตัญญูต่อท่านที่เป็นท่านย่าอย่างแน่นอน”
“เพย! เจ้าดูคนสารเลวพวกนี้ที่เจ้าให้กำเนิดสิ ขาพิการคนหนึ่ง ป่วยคนหนึ่ง คนผู้นี้ยังเป็นเพียงของชดใช้ เหล่าเหนียงคาดหวังให้พวกเจ้ากตัญญู เกรงว่ารอจนตายแล้วก็รอไม่ไหวกระมัง ถ้าหากเจ้ากตัญญูต่อข้าจริงๆ มีของดีเช่นนี้เหตุใดถึงไม่ส่งของมา? ของต่ำช้าที่เสแสร้งเช่นเจ้า มีแค่เจ้าสาม ลูกชายสารเลวผู้นั้นเท่านั้นแหละที่จะชอบเจ้า” หวังซื่อเท้าสะเอว ด่าทอหยางซื่ออยู่ครู่หนึ่ง นางด่าทออย่างไม่น่าฟัง แล้วจึงมองหาจุดอ่อนของหยางซื่อเพื่อด่าเพิ่ม ทำให้สีหน้าของหยางซื่อเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์ไม่อยากโต้เถียงกับหญิงชราผู้นี้ แต่นางยิ่งอยู่นานยิ่งทำเกินเหตุ ปากนั่นก็เหม็นยิ่งกว่าก้อนหินในส้วมเสียอีก ดวงตาของนางฉายแววเปล่งประกาย พูดอยู่ข้างหูของหยางซื่อ “ข้าชื่นชมท่านจริงๆ ในช่วงเวลาสำคัญนี้ยังมีอารมณ์ที่จะแย่งชิงกระต่ายอะไรอีก ถ้าหากข้าเป็นท่าน ต่อให้จะมีเนื้อมังกรก็ไม่มีอารมณ์ที่จะกินมันเข้าไปแล้ว บุตรสาวของท่านก่อเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้เข้า ท่านจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ”
หวังซื่อจ้องไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ กล่าวด้วยท่าทางทะนงตัว “เจ้ากำลังพูดจาเหลวไหลอันใด? ”
“หลิงไฉ่เวยไม่ได้บอกท่านหรอกหรือเจ้าคะ? ดูเหมือนว่านางคงไม่กล้าบอกท่าน! ไม่เช่นนั้นจะปิดบังท่านเอาไว้ทำไม? ” หลิงมู่เอ๋อร์กอดแขนของตนทั้งสองข้าง มองหวังซื่ออย่างเยาะเย้ย “ตอนที่ข้าลงจากภูเขาเมื่อครู่ บังเอิญเห็นหลิงไฉ่เวยและจวงต้าหลินอยู่บนภูเขา เดิมทีคิดอยากจะเข้าไปทักทาย ไม่เคยคิดอยากได้ยินพวกเขาสองคนคุยกัน ทว่ากลับได้ยินว่าพวกเขาพูดถึงเด็กอะไรเทือกนั้น… ข้าก็รู้สึกแปลกๆ ดูเหมือนพวกเขาจะยังไม่แต่งงานกัน เหตุใดจู่ๆ ถึงพูดถึงเด็กได้ล่ะเจ้าคะ? หลังจากพูดจบ หลิงไฉ่เวยก็อาเจียนออกมาท่ามกลางหิมะ คล้ายกับตอนที่ท่านแม่ของข้าตั้งครรภ์น้องชายเปี๊ยบ”
“นางสารเลว! เจ้ากล้าพูดจาเหลวไหลได้อย่างไร เหล่าเหนียงจะฉีกปากของเจ้า” เมื่อหวังซื่อได้ยินคำพูดนี้ ในใจทั้งรู้สึกทั้งเป็นกังวลทั้งโกรธ นางกระโจนเข้าใส่หลิงมู่เอ๋อร์ แต่หลิงมู่เอ๋อร์หลบได้
โครม! ก้นนางกระแทกพื้น ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง เวลานี้ใบหน้าของนางว่างเปล่า ไม่มีกำลังที่จะต่อกรกับหลิงมู่เอ๋อร์ได้อีกอย่างแท้จริง
เมื่อสักครู่หลิงไฉ่เวยกลับถึงบ้านด้วยความโกรธ นางคิดว่าเป็นเพียงคู่หนุ่มสาวทะเลาะกัน จึงไปหาจวงต้าหลินในหมู่บ้านเพื่อถามให้ชัดเจน หลิงไฉ่เวยเป็นแก้วตาดวงใจของนาง ให้กำเนิดบุตรชายสี่คนและมีบุตรสาวเพียงคนเดียว ทั้งยังให้กำเนิดนางตอนที่อายุมากแล้ว เดิมทีก็รักจนไม่รู้จะรักอย่างไร ถ้าหากจวงต้าหลินกล้าที่จะรังแกนาง นางจะทำให้เขาได้เห็นดีอย่างแน่นอน
เมื่อตอนที่นางพบจวงต้าหลิน พบว่ามีรอยนิ้วมือห้านิ้วบนใบหน้าของจวงต้าหลิน เห็นรอยประทับนั้น หวังซื่อก็เข้าใจทันทีว่าเป็นหลิงไฉ่เวยที่เอาแต่ใจ นางและจวงต้าหลินทักทายกันอยู่สองสามคำ กำลังจะกลับบ้าน ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ยินจากจวงต้าหลินว่าหลิงมู่เอ๋อร์มีกระต่ายหนึ่งตัว ด้วยเหตุนี้นางจึงรีบมาที่นี่
“นางเด็กน่าตายคนนั้น…” เวลานี้หวังซื่อไหนเลยจะสนใจกระต่ายอะไรอีก? เรื่องเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของหลิงไฉ่เวย นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
หวังซื่อวิ่งพรวดพราดมาด้วยความโกรธ แล้วยังวิ่งพรวดพราดจากไปด้วยความโกรธ นี่เป็นครั้งแรกที่หวังซื่อออกจากบ้านไปด้วยมือเปล่า
หยางซื่อมองแผ่นหลังของหวังซื่อที่จากไปด้วยความตกตะลึง พูดกับหลิงมู่เอ๋อร์ “มู่เอ๋อร์ เมื่อก่อนเจ้าก็เคยกลัวท่านย่ามาก เหตุใดตอนนี้เจ้าไม่กลัวนางเสียแล้วเล่า? ”
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หยางซื่อ ถอนหายใจเบาๆ พร้อมกล่าว “ท่านแม่กลัวนาง น้องชายกลัวนาง ท่านพ่อก็กลัวนาง หากข้ากลัวนางอีก ภายหลังครอบครัวของเราก็จะถูกนางควบคุมเอาไว้จริงๆ ”
คนเดียวที่ไม่กลัวนางคือหลิงจื่อเซวียน แต่หลิงจื่อเซวียนไม่สามารถอยู่บ้านได้ตลอดเวลา อย่าได้เห็นว่าหลิงจื่อเซวียนนั้นเคลื่อนไหวไม่สะดวก หน้าที่เรื่องน้ำและฟืนที่บ้านล้วนเป็นเขาที่รับผิดชอบ
หยางซื่อในตอนนี้ดูแก่เป็นอย่างยิ่ง แต่สามารถมองออกว่ามีใบหน้าที่งดงาม เป็นหญิงงามเมื่อครั้งยังเยาว์วัย นางให้กำเนิดลูกสามคน ลูกชายสองคนหล่อเหลาอย่างยิ่ง ส่วนนาง… แม้ว่าไม่เคยเห็นรูปร่างหน้าตาของตนเอง แต่รู้ได้จากในความทรงจำ เมื่อก่อนนางก็นับว่าเป็นเด็กสาวที่งดงาม เป็นเพียงว่ายากจนเกินไป ไม่มีโอกาสได้แต่งเนื้อแต่งตัว เป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านเท่านั้น
“มู่เอ๋อร์ เรื่องที่เจ้าพูดกับท่านย่าของเจ้าเมื่อครู่เป็นความจริงหรือ? ท่านป้าเล็กของเจ้ากับเด็กหนุ่มของตระกูลจวง…” หยางซื่อขมวดคิ้ว
“ถ้าหากเป็นความจริง เจ้าอย่าได้พูดออกไปเล่า ท่านป้าเล็กของเจ้าแซ่หลิง เจ้าก็แซ่หลิง ชื่อเสียงของนางได้รับความเสียหาย เจ้าเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน”
“ท่านแม่ ข้าไม่สนใจเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราเยาะพร้อมกล่าว “โดนแทงกระดูกสันหลังย่อมเป็นนางไม่ใช่ข้า เรื่องที่นางก่อเกี่ยวอันใดกับข้า? ”
“เด็กโง่ จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร? พวกเจ้าล้วนเป็นบุตรสาวของตระกูลหลิง! ” หยางซื่อจับแขนของหลิงมู่เอ๋อร์ “เฮ้อ! หวังว่าจะไม่มีอันใดเกิดขึ้น”
หลังจากหวังซื่อจากไป หลิงมู่เอ๋อร์และหยางซื่อก็ช่วยกันเก็บกวาดห้อง ประตูบานใหญ่ถูกหวังซื่อทำลายอีกครั้ง ทั้งสองคนจึงต้องช่วยกันซ่อมประตูให้เรียบร้อย จนกระทั่งท้องฟ้าจวนจะมืดแล้ว หลิงจื่อเซวียนถึงลากร่างกายที่อ่อนล้ากลับมา
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าร่างกายของเขาเปียกโชกไปทั้งตัว ร่างกายของเขาเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งแท่ง สีหน้าซีดเซียวอย่างน่าประหลาด มองแวบเดียวก็รู้ว่าทรมานอย่างถึงที่สุด
“พี่ชาย ข้ายกอ่างน้ำไปไว้ในห้องของท่านแล้ว ในนั้นได้เตรียมน้ำร้อนไว้ ท่านแช่ตัวให้ร่างกายอบอุ่นเสียก่อนสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์พูดกับหลิงจื่อเซวียน
หลิงจื่อเซวียนมองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความประหลาดใจ แววตาที่สะเทือนใจปรากฏขึ้นในดวงตา “ขอบใจน้องหญิง ลำบากเจ้าแล้ว”
“พี่ชายอย่ากล่าวเช่นนี้สิเจ้าคะ ท่านรีบไปทำให้ร่างกายอบอุ่นเถิด ไม่เช่นนั้นแผลที่ขาของท่านจะกำเริบอีก ถึงตอนนั้นท่านจะเจ็บมาก อีกอย่าง พรุ่งนี้ข้าจะไปทำความสะอาดถนน ท่านอยู่ที่บ้านดูแลท่านแม่และน้องชาย” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าหลิงจื่อเซวียนมีสิ่งที่อยากจะพูด จึงขัดจังหวะเขา “หากท่านป่วยแล้ว พวกเรายังต้องคิดวิธีหาเงินซื้อยา ท่านก็รู้ว่าครอบครัวนี้รับผิดชอบค่ารักษาไม่ไหว ดังนั้นอย่าดื้อรั้นเลยเจ้าค่ะ ข้าเป็นสตรี พละกำลังมีจำกัด พวกเขาน่าจะไม่ทำให้ข้าลำบาก”
“มู่เอ๋อร์ พี่ชายทำให้เจ้าลำบากแล้ว” หลิงจื่อเซวียนแสดงท่าทางละอายใจออกมา “ถ้าหากไม่ใช่ข้าที่เป็นภาระ ทุกคนก็ไม่ต้องใช้ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้”
“ชีวิตที่ลำบากหรือเจ้าคะ? ข้ากลับรู้สึกสบายกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ขอเพียงแต่ให้ครอบครัวพวกเรารักใคร่กลมเกลียวกัน ช่วยเหลือกันไม่ว่าจะพบเจอความยากลำบากใด ไม่ทอดทิ้งกัน ชีวิตครอบครัวของพวกเรายิ่งนานวันต้องยิ่งดีขึ้นแน่เจ้าค่ะ ” หลิงมู่เอ๋อร์กำมืออย่างแน่วแน่
เชิงอรรถ
[1] ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง หมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้
[2] เหล่าเหนียง หมายถึง เป็นคำเรียกแม่ในสมัยก่อน ใช้เรียกแทนตัวเอง (ไม่สุภาพ)