เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 4 อาหาร
เล่มที่ 1 บทที่ 4 อาหาร
น้ำแกงไก่หอมกรุ่นช่วยชีวิตทั้งครอบครัวของพวกเขา ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บนี้ เสื้อผ้าไม่คุ้มหนาว อาหารไม่อิ่มท้อง ใช้ชีวิตราวกับศพเดินได้ ทุกวันที่ลืมตาตื่นล้วนสัมผัสแต่ความมุ่งร้ายของโลกใบนี้ที่มีต่อครอบครัวของพวกเขา พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนอย่างยากลำบาก จนกระทั่งวันนี้ถึงจะได้เห็นแสงอาทิตย์สาดส่องเบาบาง ครั้นเมื่อน้ำแกงไก่ลงสู่ท้อง ถึงรู้สึกได้ว่าความมืดมิดทั้งหลายได้มลายหายไป อนาคตยังคงสวยงาม พวกเขามีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าที่ไร้ชีวิตชีวานั้นช่างงดงามเหลือเกิน
หลิงมู่เอ๋อร์ถือถ้วยน้ำแกงไก่ด้วยสองมือ แล้วดื่มอย่างช้าๆ ในน้ำแกงไก่ไม่มีแม้แต่เกลือ รสชาติจืดชืดเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประหยัดอาหาร พวกเขาใช้เนื้อไก่ไปเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น น้ำแกงถูกตักโดยหยางซื่อ เมื่อสักครู่นี้นางเหลือบสายตามองหนึ่งที ในถ้วยของหยางซื่อไม่มีเนื้อ เนื้อทั้งหมดล้วนอยู่ในถ้วยของลูกๆ น้ำแกงในถ้วยของหยางซื่อมีเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น
นี่คือความรักของแม่ที่แท้จริง ในขณะนั้น นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ สิ่งที่ขาดหายไปในหัวใจมานานกว่าสิบปีถูกเติมเต็มในที่สุด
หลิงจื่ออวี้ยังไม่ตื่นขึ้นมา หากอาการทรงตัวแล้ว หยางซื่อคอยเฝ้าอยู่หน้าเตียงหลิงจื่ออวี้ แตะหน้าผากของเขาเป็นระยะ
ตอนเที่ยงดื่มน้ำแกงไก่ไป ตกเย็นจึงนำน้ำแกงไก่ที่เหลือมาปรุงตุ๋นกับเห็ด ในที่สุดท้องของหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกสบาย ถ้าหากว่ามีเสื้อผ้าที่ป้องกันความหนาวได้ นางจะรู้สึกมีความสุขมากยิ่งขึ้น แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีวิธีจัดการกับปัญหานี้
นางสัมผัสที่ลวดลายบนนิ้วมือ คิดอยากจะเข้าไปภายใน ทว่า ไม่มีการตอบสนองใดๆ เกิดขึ้น
เพราะเหตุใด? ลวดลายบนนิ้วมือยังคงอยู่ แสดงว่ามิติของตระกูลก็ยังติดตามมาด้วย ทว่าตอนนี้นางกลับไม่มีวิธีเปิดใช้งานมัน หรือว่าเป็นเพราะเปลี่ยนร่างแล้ว นางไม่ใช่สายเลือดของตระกูลหลิงอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงไม่อาจใช้งานมันได้? ไม่ ไม่ ไม่ ถ้าหากไม่สามารถใช้งานได้ ก็น่าจะมองไม่เห็นลวดลายนี้ นางสามารถมองเห็นได้ นั่นแสดงว่ายังสามารถใช้งานได้
จะต้องมีบางอย่างที่ไม่ตรงตามข้อกำหนดในการเปิดใช้พื้นที่แน่! หลังจากนี้ค่อยคิดหาวิธีอย่างช้าๆ ตอนนี้คิดหาวิธีเติมท้องให้อิ่มเสียก่อนค่อยว่ากันอีกที
นางเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันไปพร้อมกับข้อสงสัยต่างๆ นานา ในเช้าวันรุ่งขึ้นนางขึ้นไปบนภูเขาอย่างเงียบๆ เมื่อวานได้กินข้าวอิ่ม เรี่ยวแรงฟื้นฟูกลับคืนแล้วบางส่วน แต่ทั้งหมดล้วนเป็นน้ำแกง ย่อมอยู่ได้ไม่นาน ท้องฟ้ายังไม่สว่างนางก็รู้สึกหิวจนทนไม่ไหว รีบขึ้นภูเขาเสียตอนนี้เพราะไม่อยากดึงดูดความสนใจของชาวบ้าน แม้ว่าตอนนี้หิมะจะตก แต่ผู้คนจำนวนมากในหมู่บ้านก็ยังขาดแคลนอาหาร พวกเขาไม่สามารถนอนอยู่บนเตียงเพื่อรอความตายได้ ดังนั้น ไม่ช้าก็เร็วภูเขาลูกนี้จะตกเป็นเป้าหมายของพวกเขา นางเพียงแค่ขุดสมบัติล้ำค่านี้ก่อนหนึ่งก้าวเท่านั้น
ตอนนี้แต่ละครอบครัวกวาดหิมะที่หน้าประตูบ้านจัดการเรื่องของตนเอง ไหนเลยจะยังมีเวลาไปดูแลผู้อื่นอีก? หากคนในหมู่บ้านเหล่านั้นเห็นนางหาอาหารได้ สีหน้าท่าทางอันน่าเกลียดก็จะถูกเปิดเผยออกมา โดยเฉพาะท่านย่าแสนดีผู้นั้นของนาง รวมทั้งท่านอาและท่านลุงที่ยอดเยี่ยมเหล่านั้นด้วย นางสามารถจินตนาการได้ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อครอบครัวของพวกนางอย่างไร
“ฟู่! ” หลิงมู่เอ๋อร์เป่าปาก พร้อมทั้งกระทืบเท้า
รองเท้าเป็นหยางซื่อทำขึ้นเมื่อวาน พอมีมันแล้ว เท้าของนางก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย ทว่า ยังคงไม่สามารถอยู่ข้างนอกได้นาน มิฉะนั้นความชื้นจะเข้าสู่ร่างกาย อย่างไรก็ทนไม่ไหว
“หือ? ในกับดักของบุรุษผู้นั้นมีเหยื่ออยู่ด้วย” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่กระต่ายน้อยในกับดักแล้วกล่าว “ช่างโชคดีจริงๆ ”
นางทอดถอนใจ กำลังจะจากไป จู่ๆ ก็หยุดชะงัก เห็นเพียงหมีดำหนึ่งตัวที่หยุดยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม หมีดำตัวนั้นมองมาที่นางด้วยสายตาดุร้าย
นางกลืนกินน้ำลายแล้วพูด “ร่างกายข้าไม่มีเนื้อ ต่อให้เจ้ากินข้าก็ไม่อิ่มหรอก ไม่เช่นนั้น ข้าจะนำกระต่ายในกับดักมอบให้เจ้า มันอร่อยกว่าข้ามากเลยทีเดียว”
หมีดำแสยะปาก ของเหลวภายในปากไหลทะลักออกมา ฤดูกาลนี้เป็นช่วงที่มันจำศีล คาดว่าน่าจะหิวจนตื่นขึ้น หิวจนดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ
หลิงมู่เอ๋อร์หันมองไปรอบๆ กวาดสายตาเหลือบมองไปที่ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้าม นางวิ่งไปที่ต้นไม้ต้นนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความเร็วสูง ยืนอยู่บนกิ่งไม้กิ่งนั้น
ร่างกายนี้ไม่มีเนื้อหนังอะไรนัก เมื่อมองเด็กที่อายุสิบหกปี อาจมีน้ำหนักเพียงเจ็ดสิบหรือแปดสิบจินเท่านั้น นางยืนอยู่บนกิ่งต้นไม้ ต้นไม้ใหญ่ก็ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด เอี๊ยดอ๊าด
หมีดำร้องคำรามอยู่ใต้ต้นไม้ เขย่าต้นไม้ต้นนั้น ต้นไม้ต้นนั้นถูกมันชนจนเกิดเสียงตึงตึง ต้นไม้ใหญ่สั่นไหวอย่างรุนแรง หลิงมู่เอ๋อร์ที่อยู่บนต้นไม้จับลำต้นของต้นไม้ไว้แนบ เหตุนี้จึงไม่ร่วงหล่นลงมา ทว่าหมีดำยังคงไม่ยอมแพ้ มันยังคงเดินวนเวียนอยู่ใต้ต้นไม้ไปมา หมีดำมีพละกำลังมาก จากที่ถูกมันชนอยู่หลายครั้ง กิ่งไม้ทั้งลำก็เริ่มปรากฏรอยแตกร้าวออกมา
เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ หลิงมู่เอ๋อร์คิดในใจ
นางจะคิดหาวิธีไล่มันไป หรือ… ฆ่ามัน?
ทันทีที่ความคิดที่จะฆ่ามันปรากฏขึ้นมา เบื้องหน้าของหลิงมู่เอ๋อร์ก็สว่างวาบ เหตุใดนางถึงไม่คิดถึงเรื่องนี้นะ? นี่คือหมีดำตัวหนึ่ง นั่นเป็นของขวัญล้ำค่าที่ส่งถึงหน้าประตูเชียว! เมื่อครู่ในชั่วขณะนั้น นางคิดแต่ว่าจะปิดฟ้าข้ามทะเล [1] แต่ทว่าไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนมันให้เป็นอาหาร
แม้ว่านางคือผู้สืบทอดของตระกูลแพทย์แผนโบราณ ทว่านางไม่เพียงแต่เข้าใจทักษะทางการแพทย์เท่านั้น ยังได้รับการฝึกร่างกายมาอย่างเข้มงวดอีกด้วย เพียงแต่ร่างกายนี้บอบบางและอ่อนแอเกินไป ทว่าในร่างกายของนางยังมีความทรงจำและจิตสำนึกที่เจ้าของเดิมหลงเหลือไว้อยู่ ดังนั้นเมื่อพบอันตรายจึงคิดที่ซ่อนตัวตามสัญชาตญาณ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีอะไร หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใช่คนขี้ขลาด เมื่อเผชิญกับปัญหาจะไม่มีทางหลบซ่อนอย่างแน่นอน
หลิงมู่เอ๋อร์หันมองไปรอบๆ กับดักบนพื้นทำให้นางเกิดความคิดขึ้นได้ นางกัดฟัน กระโดดจากต้นไม้ลงมา ตกลงสู่พื้นดิน
เมื่อหมีดำเห็นนางลงจากต้นไม้ ในดวงตาก็ฉายแววโหดเหี้ยม มันกระโจนเข้าใส่นาง อ้าปากกว้างจะกัดมาทางนาง
หลิงมู่เอ๋อร์กลิ้งไปด้านข้าง กระโดดสองสามที หลบการโจมตีของหมีดำ หมีดำตัวนั้นไล่ตามนางไม่ปล่อย นางหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว
การกระโดดไม่กี่ครั้งก็ทำให้นางต้องใช้กำลังที่มีอยู่จนหมดไป นางรู้สึกเหลือบ่ากว่าแรงเล็กน้อย ทว่าจะรอช้าไม่ได้แม้แต่เค่อเดียว ไม่อย่างนั้นนางจะกลายเป็นอาหารของหมีดำแทน
โครม! หมีดำล้มลงกับพื้น
หลิงมู่เอ๋อร์มองย้อนกลับไป ในช่วงเวลานี้ นางหยิบก้อนหินก้อนใหญ่บนพื้น ก่อนจะกระโดดขี่บนหลังของมัน ทุบไปที่หัวของมันอย่างแรง
ตัวของหมีดำใหญ่ถึงขนาดนั้น จะสามารถจัดการได้ด้วยหินหนึ่งก้อนได้อย่างไร? มันคำรามเสียงต่ำ แผดเสียงร้องดังก้องพร้อมกับลุกขึ้นมา สลัดหลิงมู่เอ๋อร์ออกไป
หลิงมู่เอ๋อร์จับขนของมันแน่น ใช้หินก้อนใหญ่ในมือทุบไปที่หมีดำ
โฮก! หมีดำแผดเสียงคำราม เหวี่ยงหลิงมู่เอ๋อร์ออกไป ร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ลอยขึ้นไปในอากาศ กระแทกเข้ากับต้นไม้ เสียงดังโครม นางกลิ้งลงมา
หมีดำถูกยั่วให้เกิดโทสะอย่างถึงที่สุด มันกระโจนเข้ามาด้วยท่าทางดุร้าย กางกรงเล็บอันหนักและใหญ่ออกไปทางคนบนพื้น
ในเวลานี้ หลิงมู่เอ๋อร์กลิ้งไปด้านข้าง หลบหลีกอุ้งเท้าของหมีดำได้ทัน บังเอิญที่ตรงนั้นมีแท่งไม้แหลมอยู่พอดี ซึ่งน่าจะทิ้งไว้โดยบุรุษผู้นั้นเมื่อตอนเขาสร้างกับดัก นางคว้าไม้ขึ้น และแทงไปที่อุ้งเท้าของหมีดำที่กำลังเหยียบลงมา
“โฮก…” หมีดำร้องคำรามออกมา
ฉึก! ร่างหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าหลิงมู่เอ๋อร์ บุรุษผู้นั้นโบกกริชในมือของเขา แทงเข้าที่คอของหมีดำด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ความเร็วของเขาเร็วเป็นอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวส่วนมือของเขาเหมือนเป็นภาพมายาในดวงตาของนาง กริชในมือของเขาก็เป็นของดีเช่นกัน ตัดเหล็กเสมือนโคลน เมื่อมันแทงเข้าไปในร่างของหมีดำจนเกิดเสียงฉีกขาด
หลิงมู่เอ๋อร์นอนอยู่ที่นั่น ทอดมองการเคลื่อนไหวของเขา รอให้เขาจัดการกับหมีดำเรียบร้อย นางจึงมีกำลังที่จะลุกขึ้นนั่ง
เขาหันหลังกลับไป มองสตรีที่นอนอยู่ตรงนั้น ดวงตาทอประกายวาววับ “ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัวเบาๆ ในเวลานี้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ เส้นผมเปียกชื้น ทั้งตัวตกอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง
แม้ว่าบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะไม่ได้สวมใส่ชุดที่งดงาม แต่เมื่อเทียบกับนาง เขาหน้าตาดูเรียบร้อยกว่ามาก
เขาเอื้อมมือออกไปหานางเหมือนครั้งก่อน นางจับมือเขาแล้วลุกขึ้นยืน ครั้นเมื่อยื่นขึ้นได้ เกล็ดหิมะบนตัวก็ตกลงมาอีกครั้ง
หมีดำล้มลงกับพื้น เลือดสีแดงฉานย้อมสีเงินของหิมะ ทิ้งสีแดงที่งดงามไว้ที่นี่
“ท่านจะจัดการกับหมีดำตัวนี้อย่างไร? ” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปยังบุรุษที่อยู่ตรงข้ามและกล่าว
หมีดำตัวนี้หนักประมาณสองร้อยจิน เพียงพอสำหรับทั้งครอบครัวของพวกเขาที่จะกินได้เป็นเวลาสองสามเดือน แต่ถ้าหากไม่ใช่เพราะบุรุษที่อยู่ด้านหน้าของนางผู้นั้น นางก็เกือบจะถูกหมีดำฆ่าตายไปนานแล้ว นอกจากนี้ หมีดำก็เป็นเขาที่ลงมือฆ่ามัน ดังนั้น นางจึงไม่มีความคิดที่จะสู้กับเขาเพื่อแย่งชิงหมีดำ ถึงอย่างไรก็รู้ข้อบกพร่องของตนเองในเรื่องนี้ แม้จะผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่ได้ดื้อดึงไม่ยอมแพ้
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างแปลกใจ เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าว “นี่เป็นเหยื่อของเจ้า ข้าเพียงแค่ช่วยเจ้าเล็กน้อย เจ้าไม่ต้องยกมันให้กับข้า แต่ว่าด้วยร่างกายของเจ้า น่าจะแบกมันลงไปไม่ไหว ข้าช่วยเจ้าแบกมันลงเขาได้”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้คาดหวังว่าบุรุษผู้นี้จะมีน้ำใจมากเช่นนี้ ครั้งก่อนคนผู้นี้นำเหยื่อของตนเองให้กับนาง ในครั้งนี้เขายังช่วยนางไว้ มองภายนอกแล้วเขาเป็นคนเย็นชาทว่ามีจิตใจดี เดิมทีนางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยกับความคิดที่ดูถูกสตรี แต่ตอนนี้นางได้ทิ้งความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ ไว้เบื้องหลังแล้ว นางคว้าแขนบุรุษคนนั้นแล้วกล่าว “หมีดำตัวนี้ตัวใหญ่เกินไป ถ้าหากข้าแบกลงไป คนในหมู่บ้านต้องพบเข้าเป็นแน่ ไม่สู้แบกไปที่บ้านท่านดีกว่า หากบ้านข้าไม่มีอาหารกินแล้ว จะไปรบกวนเอาที่บ้านท่าน แบบนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ? ”
เด็กหญิงรูปร่างเล็กบอบบางตรงหน้ามองไปที่ซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยสายตาที่คาดหวัง เด็กหญิงคนนั้นอยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง บนใบหน้าและร่างกายมีรอยแผลมากมายที่ถูกหมีดำข่วน นัยน์ตาของนางสว่างไสวเป็นอย่างยิ่ง ราวกับดวงดาวแพรวพราย สุกใสเป็นประกาย สภาพกระเซอะกระเซิงนั้นไม่ได้ปิดบังความเฉียบแหลมในนัยน์ตาคู่ของนาง ทำให้เขาซึ่งไม่เคยชอบใกล้ชิดกับสตรีมาก่อนต้องเปลืองแรงลงมืออยู่หลายครั้ง
“เจ้าไว้ใจข้า? ” ซั่งกวนเซ่าเฉินเลิกคิ้ว ราวกับว่ามีแสงแดดอันอบอุ่นปรากฏขึ้นในดวงตาที่แสนเย็นชา ขจัดกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกออกไป
“แน่นอน ถ้าหากไม่ไว้ใจท่าน ข้าจะกล่าวเช่นนี้หรือ? นอกจากนี้ ท่านยังช่วยข้าไว้สองครั้งแล้ว แม้ว่าท่านต้องการหมีดำตัวนี้ ข้าย่อมไม่ขัดข้อง ถือว่าเป็นของตอบแทนท่าน แต่ท่านไม่ทำเช่นนั้น หากท่านต้องการหมีดำ ตอนนี้ก็สามารถเอาไปได้เลย อย่างไรเสียหมีดำเป็นท่านที่ลงมือฆ่า ตอนนี้ท่านไม่ต้องการ ถ้าเช่นนั้นก็คงจะไม่โลภอยากได้เพียงแค่หมีดำหนึ่งตัวเช่นกัน ข้าไม่ได้พูดผิดใช่หรือไม่เจ้าคะ? ” หลิงมู่เอ๋อร์มองบุรุษตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะรังแกต่อเจ้าหรือ? เจ้าสตรีตัวเล็กหนึ่งนาง ข้าบุรุษตัวใหญ่หนึ่งนาย เจ้ากล้าไปเอาเนื้อถึงบ้านข้า” ซั่งกวนเซ่าเฉินหัวเราะเยาะ “ช่างกล้าหาญนัก”
“ข้าเป็นเพียงเด็กสาวที่ยังไม่ประสาผู้หนึ่ง หน้าตาไม่งดงาม ทั้งรูปร่างไม่สมส่วน ท่านพึงพอพอใจในตัวข้า รสนิยมช่างแปลกมากจริงๆ นอกจากนี้แล้ว พวกเราพบกันสองครั้งในภูเขาทุรกันดาร ท่านล้วนแต่ไม่ได้ทำอันใดต่อข้า ในภายหลังก็ไม่ทำอันใดแน่” หลิงมู่เอ๋อร์มองออกว่าคนผู้นี้มีนิสัยดี ดังนั้นจึงตั้งใจตีสนิทกับเขา
ในภูเขาที่แห้งแล้งเช่นนี้ หากมีคนผู้นี้คอยคุ้มครองนาง ในช่วงเวลาที่นางยังไม่เติบใหญ่ ย่อมต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน
การเผชิญหน้ากับหมีดำเมื่อสักครู่นี้ทำให้นางเข้าใจว่าร่างกายนี้อ่อนแอเพียงใด นางไม่ใช่หลิงมู่เอ๋อร์ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเข้มงวดมามากกว่าสิบปีผู้นั้นแล้ว แต่เป็นเพียงเด็กสาวชาวบ้านตัวน้อยหลิงมู่เอ๋อร์เท่านั้น
เชิงอรรถ
[1] ปิดฟ้าข้ามทะเล หมายถึง เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก ทำให้ศัตรูหย่อนคลายความระมัดระวัง แล้วคอยจนกระทั่งได้จังหวะและโอกาสเหมาะสมจึงรุกเข้าโจมตี