เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 29 ทุบตีด้วยความโกรธ
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 1 บทที่ 29 ทุบตีด้วยความโกรธ
เล่มที่ 1 บทที่ 29 ทุบตีด้วยความโกรธ
หยางซื่อและหลิงต้าจื้อเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ทะเลาะเสียงดังโวยวายอย่างรุนแรงเช่นนั้น ในใจพลันรู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ทว่าพวกเขาในตอนนี้ทั่วทั้งร่างไร้ซึ่งเรี่ยวแรง สมองก็ใช้การได้ไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งรู้สึกเจ็บปวดจนกล่าวอันใดไม่ออก พวกเขาเป็นห่วงว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะถูกทำร้าย แล้วยังเป็นกังวลว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต พวกเขาอาจจะโดนขับไล่ออกจากตระกูลจริงๆ คนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูล บุตรชายของพวกเขาจะแต่งภรรยาได้อย่างไร? บุตรสาวจะออกเรือนได้อย่างไร?
ยิ่งหลิงมู่เอ๋อร์โวยวายมากเท่าใด ชื่อเสียของนางก็จะยิ่งไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น บุตรสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา เพียงแค่อยากให้นางมีร่างกายแข็งแรง เรื่องอื่นๆ อันใดพวกเขาไม่ต้องการ เพื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการ พวกเขาสามารถกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมนี้ไว้ ยอมกล้ำกลืนเพื่อให้รักษาหน้าของทุกฝ่ายต่อไป แม้กระทั่งถูกเฆี่ยนตีก็ยินยอม ทว่าในตอนนี้ ทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว ชื่อเสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ถูกทำลายแล้ว พวกเขาทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านไม่พอใจอย่างถึงที่สุด หลังจากนี้จะต้องถูกบีบคั้นอย่างแน่นอน
ทุกตระกูล ผู้นำตระกูลล้วนเป็นใหญ่ที่สุด ผู้นำตระกูลมีอำนาจต่อคนในตระกูลของตนเอง ขอเพียงแค่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตของพวกเขา ไม่ขับไล่พวกเขาออกจากตระกูล ขับไล่ออกจากหมู่บ้าน การกระทำเช่นนี้ล้วนทำได้ทั้งสิ้น
“มู่เอ๋อร์ พอแล้ว….” ไม่ง่ายนักกว่าหยางซื่อจะหาเสียงของตนเองกลับคืนมา แต่ว่าเสียงของนางเบาเกินไป หลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังอยู่ท่ามกลางอารมณ์เดือดดาล ทุบตีชาวบ้านเหล่านั้นด้วยความโกรธ ไม่ได้ยินเสียงของนางที่แผ่วเบาราวกับเสียงยุง “พ่อของลูก จะทำอย่างไรดี? มู่เอ๋อร์จะถูกเอาเปรียบได้”
ที่นางกล่าวว่าจะถูกเอาเปรียบไม่ใช่ในตอนนี้ แต่เป็นในภายหลัง เด็กผู้หญิงคนหนึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นสตรีดุร้าย ไร้มารยาทต่อผู้อาวุโส ถึงขนาดมีโทษฐานอาละวาดที่ศาลบรรพชนเช่นนี้ ต่อไปจะแต่งออกเรือนได้อย่างไร?
หลิงต้าจื้อคิดที่จะเกลี้ยกล่อมให้หลิงมู่เอ๋อร์ใจเย็น แต่ว่าเขาก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงเช่นกัน ในเวลานี้เขาก็กล่าวอันใดไม่ออก ในใจร้อนรนแต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ ยิ่งกระวนกระวาย ก็ยิ่งเจ็บที่หน้าอก และกระอักเลือดสีสดออกมา
“ไอ๊หยา หลิงต้าจื้อไม่ไหวแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์เจ้าหยุดทุบตีได้แล้ว” มีคนในกลุ่มคนด้านนอกตะโกนขึ้น
หลิงมู่เอ๋อร์ที่กำลังบ้าคลั่งคิดจะทุบตีคนในตระกูลที่อยู่ในศาลบรรพชนให้หมดสภาพ สถานการณ์ในตอนนี้วุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง คนในตระกูลเหล่านั้นที่ถูกขัดขวางอยู่ด้านนอก ไม่มีวิธีที่จะเบียดเข้ามาได้แม้กระทั่งหาหนทางหนีทีไล่ก็ลำบาก
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงจึงหยุดการเคลื่อนไหวลง นางมองหาเงาร่างของหลิงต้าจื้อและหยางซื่อท่ามกลางฝูงชน นางรีบร้อนทิ้งไม้กระบองในมือลง ถลันตัวเข้าไปหาหลิงต้าจื้อที่อยู่บนพื้น “ท่านพ่อ”
บุรุษเต็มวัยผู้หนึ่งหยิบแท่งไม้ที่หลิงมู่เอ๋อร์โยนทิ้งขึ้นมา เดินเข้ามาใกล้นางในระยะประชิดด้วยท่าทางมาดร้ายราวกับปีศาจร้าย
“มู่เอ๋อร์ ระวัง” หลิงจื่อเซวียนตะโกนอย่างตื่นตระหนก
เมื่อครู่เขาไม่ได้ห้ามหลิงมู่เอ๋อร์ ประการแรกเขารู้จักนิสัยใจคอของหลิงมู่เอ๋อร์ดี ในเวลานี้นางไม่ฟังเสียงใดๆ ทั้งนั้น ไม่สู้ปล่อยให้นางระบายอารมณ์ออกมาอย่างเต็มที่ ถือโอกาสสยบคนในหมู่บ้านด้วยกำลังของนาง ประการที่สองเขาเองก็รู้สึกว่าคนเหล่านี้สมควรได้รับการลงโทษเป็นการตักเตือน มิเช่นนั้นจะคิดว่าคนในครอบครัวของพวกเขาล้วนเป็นคนที่รังแกได้ง่ายๆ อยากจะทำอันใดกับพวกเขาก็ย่อมทำได้ตามอำเภอใจ
ทว่าตอนนี้มีคนจะลงไม้ลงมือกับหลิงมู่เอ๋อร์ หัวใจของเขาเต้นมาถึงลำคอ [1] แล้ว แทบอยากจะโผเข้าไปขวางร่างกายอันบอบบางของหลิงมู่เอ๋อร์ไว้
สมควรตาย! เขามันช่างไร้ประโยชน์จริงๆ
โครม!
ไม้กระบองแท่งนั้นตีลงมา กลับตีไม่โดนร่างของหลิงมู่เอ๋อร์ แต่กลับตีโดนแขนของคนผู้หนึ่ง
ไม้กระบองนั้นแตกหักออกเป็นสองท่อน
เหล่าชาวบ้านทั้งหลายมองคนที่ปรากฏตัวในอากาศแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างชะงักงัน
บุรุษผู้มีรูปร่างสูงใหญ่เช่นนี้ เหล่าบุรุษที่สูงที่สุดในหมู่บ้านยังต้องแหงนหน้ามองเขา ในขณะนี้เขายืนอยู่ข้างหน้าของหลิงเวยด้วยใบหน้าเย็นชา ดวงตาคู่นั้นของเขาเฉียบคมราวกับดาบก็มิปาน
ครั้นทุกคนเห็นลักษณะหน้าตาของเขา ก็จำได้ว่าเขาคือบุรุษที่อาศัยอยู่ที่เชิงเขา
“พวกเจ้าตั้งหลายคน นึกไม่ถึงเลยว่าจะรังแกสตรีเพียงคนเดียว ช่างน่าขายหน้านัก” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองไปรอบๆ กล่าวอย่างเย็นชา
ผู้นำตระกูล เหล่าผู้อาวุโสทุกคน และยังมีคนอื่นๆ ที่ถูกทุบตียังคงร้องอย่างน่าเวทนาไม่หยุด
พวกคนที่ไม่ได้ถูกทุบตีเหล่านั้นมองพวกคนที่กำลังกรีดร้องอย่างน่าเวทนา สีหน้าของแต่ละคนดูยุ่งเหยิง
พวกเขาหลายคนรังแกสตรีเพียงผู้เดียว?
กล่าวกลับกันหรือไม่? ไม่ใช่ว่าสตรีเพียงคนเดียวรังแกพวกเขาหลายคนหรอกหรือ? แล้วก็ คนผู้นี้เป็นผู้ใดกัน? เขามีสิทธิ์อันใดที่จะต้องออกหน้าแทนนางเด็กสารเลวหลิงมู่เอ๋อร์ด้วย?
“พี่ใหญ่” รอบดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์แดงรื้น “ท่านพ่อข้า….กระอักเลือดแล้ว ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บภายใน ต้องการรักษา ข้าจะต้องพาท่านพ่อไปที่โรงหมอ”
“ไม่ต้องกังวล ยังมีข้าอยู่” ซั่งกวนเซ่าเฉินเอ่ยอย่างอ่อนโยน
หลังจากซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวจบ เขาก็หยิบป้ายคำสั่งออกมาจากอกเสื้อ กล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเป็นมือปราบของศาลาว่าการ พวกเจ้าทั้งหลายรังแกสตรีตัวคนเดียว ทั้งยังทำร้ายทุบตีคนในครอบครัวของนาง ตอนนี้ข้าขอประกาศกับพวกเจ้าว่า พวกเจ้าจะถูกจับกุม ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าควรรออยู่ที่นี่อย่างว่าง่าย ถ้าหากข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีท่าทีจะหลบหนี จะถูกประกาศจับทั่วแผ่นดิน ออกใบประกาศจับให้พวกเจ้าไร้แผ่นดินให้หลบหนี”
ดวงตาของทุกคนเบิกกว้าง มองป้ายคำสั่งในมือของซั่งกวนเซ่าเฉิน คล้ายกับว่าต้องการจ้องให้มันเป็นรูพรุน
มือปราบ? คงไม่ใช่ว่ากำลังหลอกพวกเขาอยู่หรอกกระมัง? เขาไม่ใช่นายพรานที่อยู่เชิงเขาหรอกหรือ? เหตุใดถึงกลายเป็นมือปราบไปเสียแล้ว?
“ใต้เท้า….” ผู้นำตระกูลถูกลูกหลานในสกุลพยุงตัวขึ้นมา มองป้ายคำสั่งในมือของซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างตัวสั่นเทา กล่าวพร้อมน้ำเสียงสะอื้น “ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันขอรับ เป็นนางแก่หวังซื่อผู้นี้ตะกละตะกลาม อยากจะกินกระต่ายของบ้านนางหนูผู้นี้ ดังนั้นจึงเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ขึ้น ถ้าท่านจะจับก็จับนาง จับนาง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกข้านะขอรับ! ”
ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างเย็นชา “กระต่ายพวกนั้นข้าเป็นคนให้นาง หลิงมู่เอ๋อร์เป็นน้องสาวบุญธรรมของข้า หยางซื่อและหลิงต้าจื้อคือบิดาบุญธรรมและมารดาบุญธรรมของข้า นั่นเป็นของขวัญแสดงความเคารพที่ข้ามอบให้แก่พวกเขา พวกเจ้าอยากจะกิน? สมควรหรือ?”
“ใต้เท้า บ้านข้ามีเกวียนวัว สามารถพาพวกเขาไปโรงหมอได้ขอรับ” ชายหนุ่มในโถงของศาลบรรพชนตะโกนเอ่ยเสียงดัง
“อืม รีบไปนำเอามาเถิด! ดูเจตนาเจ้าก็ไม่เลว ครอบครัวเจ้าละเว้นโทษ” ซั่งกวนเซ่าเฉินปลายตามองชายหนุ่มอย่างทะนงตนและเยือกเย็น
ครั้นชายหนุ่มผู้นั้นได้ยินก็ดีใจอย่างยิ่ง วิ่งโร่ออกไปอย่างว่องไวราวกับลิง
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองพื้นที่ระเกะระกะไปทั่ว ในใจรู้สึกไม่สบายใจยิ่ง เขาพยุงหลิงต้าจื้อขึ้นมาก่อน เมื่อชายหนุ่มผู้นั้นขับเกวียนวัวมาถึง เขาจึงอุ้มหลิงต้าจื้อขึ้นเกวียนไป เมื่อตอนที่เผชิญหน้ากับหยางซื่อ เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นมารดาบุญธรรม แต่ก็มีการแบ่งแยกระหว่างบุรุษกับสตรี ถึงแม้ว่าจะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดแท้ๆ ก็ตาม เขาก็ไม่สามารถขยับมือขยับเท้าตามใจเช่นนี้ได้
“ข้าจะอุ้มท่านแม่ขึ้นรถเองเจ้าค่ะ ท่านไปดูพี่ชายและน้องชายของข้าก่อน” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยประโยคแก้ไขปัญหาเรื่องยุ่งยากของเขา
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหลิงจื่อเซวียนที่อยู่ตรงหน้า
ขาของหลิงจื่อเซวียนได้รับบาดเจ็บ คนพวกนั้นกังวลว่าถ้าหากทุบตีเขาจะก่อให้เกิดเป็นคดีขึ้น จึงไม่มีใครแตะต้องเขา ดังนั้นเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รับการลงโทษ เพียงแค่บาดแผลบนขาของเขาปริแตก ก็ไม่รู้ว่าจะมีผลกระทบอันใดตามมาทีหลังหรือไม่ อย่างที่กล่าวมานี้ เขากลับเป็นคนที่ได้รับความเจ็บปวดมากที่สุด
ซั่งกวนเซ่าเฉินมองหลิงจื่อเซวียน พลางเอ่ย “ล่วงเกินท่านแล้ว”
หลิงจื่อเซวียนเห็นบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ต้องการที่จะอุ้มเขา ในใจก็พลันรู้สึกไม่สบอารมณ์ไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าตอนนี้ไม่สามารถเสียเวลาได้อีกแล้ว บาดแผลของท่านพ่อท่านแม่ไม่สามารถล่าช้าได้ เขาทำได้เพียงแค่กล่าวหน้าแดงด้วยความอับอาย “รบกวนด้วย”
หลิงจื่ออวี้ถูกหวังซื่อตบหน้าสองสามที ใบหน้าเล็กๆ ของเขาบวมจนมีขนาดใหญ่ แต่ว่าเขาสามารถเดินได้ด้วยตนเอง ในเวลานี้เขาเชื่อฟังอย่างเฉลียวฉลาด ดึงมุมเสื้อของหลิงจื่อเซวียน และเดินตามพวกเขาไป
หลิงมู่เอ๋อร์อุ้มหลิงจื่ออวี้ขึ้นมา วางไว้ในอ้อมกอดพร้อมปลอบโยน นางกล่าวอย่างเจ็บปวดใจ “น้องเล็ก พี่สาวจะทวงความเป็นธรรมให้แก่เจ้า เรื่องนี้ยังไม่จบ พวกเรารักษาแผลให้ท่านพ่อท่านแม่ก่อน รอให้พวกเราไม่เป็นอันใดแล้ว พวกเราค่อยกลับมาคิดบัญชีทีละคน กล้ามายั่วยุหลิงมู่เอ๋อร์อย่างข้า พวกเขาคงคิดว่าก็แล้วกันไป อย่าหวังเลย ข้าจะทำให้พวกเขารู้ถึงจุดจบของการล่วงเกินข้าแน่”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวไปพลาง ดวงตาราวกับปีศาจร้ายคู่นั้นกวาดมองทุกคนในหมู่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหวังซื่อและหลิงซงไปพลาง
คนทั้งหมู่บ้านหลายร้อยคน คนครึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นเป็นพวกที่ยุ่งเรื่องของผู้อื่นไม่กลัวบานปลาย [2] ยังมีคนส่วนน้อยที่เห็นใจพวกเขา แต่ว่า พวกเขาก็ไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายนี้ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดสักคนที่ช่วยพวกเขาร้องขอความเมตตา
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่โทษพวกเขา แต่ก็ไม่สามารถขอบคุณพวกเขาได้ หลังจากนี้หากเจอคนเหล่านี้ นางก็จะไม่สามารถให้อภัยได้
ชายหนุ่มผู้นั้นที่ไปเอาเกวียนมามีนามว่า หลิงฉี่ไห่ ทำงานอยู่ข้างนอก วันนี้เป็นเพราะที่บ้านมีธุระ เขาจึงขอลากับเจ้านาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มาเจอกับงิ้วตลกฉากนี้เข้า
อย่างไรเสียหลิงฉี่ไห่ก็เคยทำงานอยู่ข้างนอก สมองมีไหวพริบดี ตอนที่ซั่งกวนเซ่าเฉินปรากฏตัว เขาก็ตัดสินใจว่าจะประจบประแจงกับคนผู้นี้ ดังนั้นจึงรีบออกหน้าทันที
“ใต้เท้า ข้าขับเกวียนเองขอรับ” หลิงฉี่ไห่กล่าวอย่างเคารพนบนอบ “ข้าขับเกวียนมาตั้งแต่เด็ก ขับได้อย่างมั่นคง ไม่ทำให้อาสะใภ้และท่านอาได้รับอันตรายแน่ขอรับ”
“ไปเถิด! ” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้แสดงความคิดเห็นอันใด เขาขับรถม้าเป็น แต่เขาไม่สามารถขับเกวียนวัวได้ ตอนนี้มีคนออกหน้าอาสาช่วย เขาก็ไม่คิดที่จะปฏิเสธ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบความปลิ้นปล้อนกะล่อนของคนผู้นี้ก็ตาม
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องอื่น นางตระกองกอดหยางซื่อเอาไว้ เช็ดน้ำตาอย่างเงียบๆ นางไม่เอื้อนเอ่ยอันใดออกมา แต่ร้องไห้ออกมาโดยไร้เสียง การกระทำเช่นนี้กลับยิ่งทำให้ซั่งกวนเซ่าเฉินเจ็บปวดใจ
“ขออภัยด้วย วันนี้ข้าเข้าไปในเมือง ไม่รู้ว่า…” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอย่างแค้นเคือง “ถ้าหากรู้ตั้งแต่แรกว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าจะไม่ออกจากบ้านเลย”
“พี่ใหญ่อย่ารู้สึกผิดเลยเจ้าค่ะ เหล่าแมลงมอดพวกนั้นไม่ใช่ว่าหมายตาครอบครัวพวกข้าแค่วันสองวันแล้ว ถึงแม้ว่าวันนี้จะหลบซ่อนไปได้ ภายหลังก็จะเกิดเรื่องขึ้นอยู่ดีเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยอย่างเศร้าซึม
“ถ้าข้าไม่นำกระต่ายกลับมา…” ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ใช่คนใจแข็ง เพียงเห็นหลิงมู่เอ๋อร์โศกเศร้าเช่นนี้ ภายในใจของเขาก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน
แม้เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของกระต่าย ด้วยความโลภของหวังซื่อกับหลิงซง ต่อให้ไม่มีกระต่าย ก็สามารถมาหาเรื่องพวกเขาได้เพียงเพราะหัวไชเท้าหัวเดียวหรือไข่ไก่หนึ่งใบเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรตัวการที่ก่อให้เกิดความปัญหาในวันนี้ก็คือกระต่าย และเขาคือผู้มอบตัวการที่ก่อให้เกิดปัญหานี้ขึ้น เขายังคงรู้สึกไม่สบายใจ
“พี่ใหญ่ ข้ากล่าวไปแล้ว ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของท่าน ท่านช่วยพวกข้าไว้ พวกข้าก็ซาบซึ้งอย่างถึงที่สุดแล้ว พวกเราไม่สามารถตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้ามองซั่งกวนเซ่าเฉิน กล่าวคำพูดออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “กลับกันพวกข้ายังต้องขออภัยต่อพี่ใหญ่ เห็นได้ชัดว่าพี่ใหญ่เป็นคนดีถึงเพียงนี้ เมื่อก่อนไม่มีความขัดแย้งกับผู้ใด แต่ตอนนี้กลับถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“ข้าเป็นมือปราบ รักษาความเป็นระเบียบ คุ้มครองความปลอดภัยของพวกเจ้าเป็นหน้าที่ของข้า” ซั่งกวนเซ่าเฉินเอ่ยวาจาอย่างหนักแน่น
“ท่านเป็นมือปราบจริงๆ หรือเจ้าคะ? ” หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจ ไม่ได้พบหน้าเพียงหนึ่งวัน เขาก็เปลี่ยนจากนายพรานกลายเป็นมือปราบแล้ว? หรือบางที เขาก็อาจจะเป็นมือปราบจริงๆ เพียงแค่ยามปกติไม่ได้ออกหน้าเท่านั้น
หลิงฉี่ไห่ที่อยู่ด้านหน้าฟังบทสนทนาของพวกเขา จากบทสนทนาของพวกเขาทำให้รู้ว่า หลิงมู่เอ๋อร์ก็เพิ่งรู้วันนี้เช่นกันว่าซั่งกวนเซ่าเฉินเป็นมือปราบ
“ใต้เท้า น้องสาวมู่เอ๋อร์ ข้างหน้าเป็นประตูเมือง กำลังจะได้พบกับท่านหมอหวังที่เก่งที่สุดในเมืองแล้วขอรับ” หลิงฉี่ไห่กล่าวอย่างกระตือรือร้น
หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ผู้ใดเป็นน้องสาวเจ้ากัน? ”
หลิงฉี่ไห่กล่าวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “พวกเราเป็นญาติในตระกูลเดียวกัน แน่นอนว่าเจ้าเป็นน้องสาวของข้า ถึงแม้ว่าจะผ่านไปห้าชั่วคนแล้วก็ตาม ก็ยังเป็นน้องสาวของข้าอยู่ดี! ”
“เมื่อครู่เจ้าได้ยินแล้วไม่ใช่หรือ? ผู้นำตระกูลได้ขับไล่พวกข้าทั้งครอบครัวออกจากตระกูลหลิงแล้ว หลังจากนี้ไปข้ากับพวกเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดอีกต่อไป ไม่ต้องมายึดมั่นในความสัมพันธ์” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะ
แน่นอนว่าหลิงมูเอ๋อร์ไม่สนใจตระกูลแซ่หลิงของพวกเขา อย่างไรก็ตาม นางรู้ว่าหยางซื่อและหลิงต้าจื้อสนใจ แม้กระทั่งหลิงจื่อเซวียนกับหลิงจื่ออวี้ก็สนใจเช่นกัน ในยุคสมัยนี้ยึดถือปฏิบัติอย่างใบไม้ร่วงคืนสู่ราก [3] อย่างยิ่ง
เชิงอรรถ
[1] หัวใจเต้นมาถึงลำคอ หมายถึง ความรู้สึกประหม่า กังวลหรือหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
[2] ยุ่งเรื่องของผู้อื่นไม่กลัวบานปลาย หมายถึง ผู้คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ไม่เพียงแต่ดูเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ยังทำให้เรื่องมันบานปลายใหญ่โตขึ้นไปอีก
[3] ใบไม้ร่วงคืนสู่ราก หมายถึง คนที่อยู่ต่างแดนในท้ายที่สุดก็กลับหวนคืนสู่มาตุภูมิของตนเอง