เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 25 เลี้ยงกระต่าย
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 1 บทที่ 25 เลี้ยงกระต่าย
เล่มที่ 1 บทที่ 25 เลี้ยงกระต่าย
นัยน์ตาของหลิงจื่ออวี้สว่างสดใส ดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข เขาดึงแขนเสื้อของหลิงมู่เอ๋อร์ แล้วพยักหน้าเบาๆ “อืม”
เขาดื่มน้ำแกงคำใหญ่ กินแผ่นแป้งข้าวฟ่าง ถึงแม้ว่าอาหารจะเป็นอาหารหยาบๆ แต่เขาก็กินอย่างพึงพอใจยิ่ง เขากัดหนึ่งคำและมองกระต่ายที่อยู่ข้างเท้า ดวงตากระจ่างใสคู่นั้นไม่เคยละสายตาออกห่างแม้แต่เค่อเดียว ดูท่าคืนนี้เขาน่าจะอยากนอนกับเจ้ากระต่ายเสียแล้ว ก็ไม่รู้ว่ากระต่ายทั้งสองตัวนั้นจะสามารถปรับตัวเข้ากับเจ้าของมนุษย์ที่กระตือรือร้นเช่นนี้ได้หรือไม่
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวแผนการของตนเองไปแล้ว หลิงต้าจื้อครุ่นคิดแล้วเอ่ย “เจ้าไปที่หมู่บ้านตระกูลหยางผู้เดียว… พ่อไม่ค่อยวางใจ ไม่เช่นนั้นตอนสายพ่อไปขายกระต่ายเสร็จแล้ว จะกลับมาเพื่อไปยังหมู่บ้านตระกูลหยางกับเจ้า? ”
เขาก็รู้ดีว่าภายในบ้านต้องมีคนคอยอยู่ดูแล หลิงจื่อเซวียนไม่สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ การถ่ายหนักถ่ายเบาล้วนต้องการคนคอยให้ความช่วยเหลือ หยางซื่อจำเป็นต้องอยู่ที่บ้านดูแลหลิงจื่อเซวียนและหลิงจื่ออวี้
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ! ท่านยังไม่วางใจในตัวข้าอีกหรือเจ้าคะ? ตอนนี้พละกำลังของข้ามีมากดั่งวัว บุรุษสามัญทั่วไปล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” หลิงมู่เอ๋อร์ชูแขนขึ้น ทำท่าทางราวกับว่าข้านั้นกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง
หยางซื่อที่อยู่ข้างๆ เกือบจะพ่นน้ำแกงออกมา นางชี้ไปที่หลิงมู่เอ๋อร์ หัวเราะอย่างมีความสุขจนมิอาจปิดปากได้ จากนั้นจึงจิ้มไปที่หน้าผากของหลิงมู่เอ๋อร์ กล่าวด้วยความเอ็นดู “เจ้าลิงทโมนตัวนี้ อยากให้แม่มีความสุขจนทนไม่ไหวจริงๆ หรือ”
หลิงมู่เอ๋อร์นั่งอยู่ข้างกายของหยางซื่อ สัมผัสได้ถึงความรักของนาง ความรักของหลิงต้าจื้อ ยังมีความเลื่อมใสศรัทธาและความพึ่งพาของน้องชายเสี่ยวจื่ออวี้ ดวงตาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
ความรู้สึกที่มีคนอาลัยอาวรณ์ไม่เลวเลยจริงๆ มีชีวิตอยู่โดยเปล่าประโยชน์ไปแล้วหนึ่งชาติ ในที่สุดก็ได้สัมผัสถึงแล้ว เพราะมีความอบอุ่นของครอบครัว ความรักของญาติพี่น้อง อย่ากล่าวว่าให้นางเป็นแค่เด็กสาวชาวนาตัวเล็กๆ เลย ถึงแม้ให้นางเป็นขอทานก็ย่อมได้! แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ใช่คนที่อ่อนแอเช่นนั้นอยู่แล้ว
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้า” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นหลิงต้าจื้อยังคงไม่วางใจ จึงกล่าวยืนยันอีกครั้ง “ข้าจะไม่เป็นอันใดจริงๆ เจ้าค่ะ”
หลิงต้าจื้อยิ้มบางๆ แล้วถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าว “บุตรสาวโตแล้ว ไม่ต้องให้พ่อแม่เป็นกังวลใจแล้ว เหตุใดพ่อถึงรู้สึกอ้างว้างขนาดนี้เล่า? ”
“ตอนนี้ก็รู้สึกอ้างว้างแล้วหรือ? ต่อไปบุตรสาวแต่งออก ท่านจะไม่ร้องไห้ขึ้นมาหรือ? ” หยางซื่อหยอกล้อหลิงต้าจื้ออยู่ข้างๆ “เอาล่ะ ไม่ต้องทำท่าทางราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อยู่ที่นั่นแล้ว ไม่กลัวผู้อื่นจะหัวเราะเยาะหรืออย่างไร”
หลิงต้าจื้อหัวเราะแห้งๆ ช่วงนี้หยางซื่ออารมณ์ดีขึ้น สีหน้ามีเลือดฝาด ผิวพรรณก็ขาวผ่องขึ้น ในปีนั้นหยางซื่องดงามมาก ดังนั้นจึงถูกครอบครัวมารดาเลือกให้เป็นถงหย่างสี เมื่อตอนที่หลิงต้าจื้อแต่งกับหยางซื่อนั้น มีชาวบ้านนินทากันมากมาย แต่ว่าบุรุษจำนวนมากก็อยากจะครอบครองหยางซื่อที่มีรูปโฉมงดงามเช่นกัน พวกเขารักแต่มิอาจครอบครอง ดังนั้นจึงกล่าววาจาเสียดแทงเหล่านั้นแทน
เมื่อเห็นแววตาซับซ้อนของหลิงต้าจื้อ ก็รู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่ นางอดไม่ได้ที่โมโหเขา จากนั้นสีหน้าท่าทางก็แปรเปลี่ยนเป็นเขินอายมากยิ่งขึ้น
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าบรรยากาศในห้องค่อนข้างคลุมเครือ รู้ว่าการอยู่ที่นี่ส่งผลต่อความรักของสามีภรรยาคู่นี้ นางรีบกินให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ดึงมุมเสื้อของหลิงจื่ออวี้ แล้วกล่าว “พวกเราไปห้องครัวให้อาหารกระต่ายตัวน้อยกัน จากนั้นค่อยใช้หญ้าแห้งทำรังให้กับพวกมันนอน เช่นนี้ในคืนนี้พวกมันก็จะได้ไม่หนาวแล้ว”
“นอนกับข้าไม่ได้หรือขอรับ? ” หลิงจื่ออวี้ก้มหน้าลง กล่าวอย่างแผ่วเบา
หลิงมู่เอ๋อร์คาดไว้แล้วว่าเขาจะมีความคิดเช่นนี้ ด้วยนิสัยของนาง ภายใต้สถานการณ์ปกติจะไม่ปฏิเสธคำขอของหลิงจื่ออวี้แน่ แต่ว่าขณะนี้อากาศหนาวเย็น กระต่ายและคนนอนอยู่บนเตียงตัวเดียวกัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องยุ่งยากอย่างการถ่ายหนักถ่ายเบาพวกนี้ แต่พวกมันจะกระโดดไปมาอย่างไม่เชื่อฟัง ทำให้ผ้าห่มของหลิงจื่ออวี้เปิด อาจจะทำให้หลิงจื่ออวี้ป่วยจากการต้องลมเย็นก็เป็นไปได้
“จืออวี้ กระต่ายย่อมเป็นกระต่าย พวกมันไม่เข้าใจในสิ่งที่มนุษย์พูด ไม่อาจนอนบนเตียงอย่างเชื่อฟังได้ เจ้าเอาพวกมันนอนบนเตียง พวกมันอาจจะป่วยได้ เจ้าก็รู้ว่าการเจ็บป่วยนั้นทรมานที่สุด กระต่ายอ่อนแอกว่าคน เมื่อพวกมันป่วยแล้ว ก็อาจจะอยู่รอดต่อไปไม่ได้ เจ้าคงไม่อยากให้เดือนหก [1] และเดือนเจ็ด [2] ตายไปแบบนี้ใช่หรือไม่? ” หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่หลิงจื่ออวี้แล้วกล่าว
เดิมทีหลิงจื่ออวี้ไม่เต็มใจในการจัดการของหลิงมู่เอ๋อร์ เมื่อได้ยินว่ากระต่ายจะป่วยเพราะความดื้อรั้นของเขา ก็รู้สึกกังวลขึ้นมาในทันที เขากล่าวด้วยความร้อนรน “พี่สาว ข้าจะเชื่อฟังท่าน”
การเจ็บป่วยเป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานที่สุดแล้ว กระต่ายตัวเล็กขนาดนี้ หากป่วยก็อาจจะตายได้ เขาไม่อยากทำร้ายพวกมัน
ไม่ง่ายเลยกว่าหลิงมู่เอ๋อร์จะปลอบหลิงจื่ออวี้ได้ นางแช่เท้าให้หลิงจื่ออวี้เสร็จแล้ว วางเขาลงบนเตียง แล้วคลุมผ้าห่มให้อีกที
วันรุ่งขึ้น หลิงมู่เอ๋อร์ตื่นขึ้นมาจากการหลับฝัน นางเพิ่งจะลุกขึ้นนั่ง พลันได้ยินเสียงในห้องครัวที่มีการเคลื่อนไหว ยังคิดว่ามีขโมยเข้ามา รองเท้ายังไม่ได้ใส่ก็รีบวิ่งออกไปดู พอเห็นแบบนั้น ทันใดก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
หลิงจื่ออวี้ลูบขนของกระต่ายน้อยด้วยมือข้างหนึ่ง ก้มหน้าต่ำลงแล้วกล่าวกับมันว่า “ชู่! อย่าเสียงดัง อย่าทำให้ท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายพี่สาวตื่น พวกเขาเหน็ดเหนื่อยมากทุกวัน ให้พวกเขานอนให้มากหน่อย เดือนหก เดือนเจ็ด ต่อไปข้าก็คือพี่ชายของพวกเจ้าแล้ว ข้าคือคนที่เล็กสุดในบ้าน แต่ตอนนี้ไม่ใช่คนเล็กที่สุดในบ้านแล้ว ข้าสามารถปกป้องพวกเจ้าได้”
หลิงมู่เอ๋อร์ทอดมองเด็กชายตัวน้อยผู้นั้นอย่างอ่อนโยน เสียงของเขาไพเราะยิ่ง แต่น่าเสียดายที่ปกติเขาไม่ใคร่พูดคุย วันนี้เป็นประโยคยาวที่สุดที่นางเคยได้ยินแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์มาอย่างเงียบๆ และจากไปอย่างเงียบๆ นางไม่ต้องการรบกวนหลิงจื่ออวี้ เขามีอาการปิดกั้นตนเองเล็กน้อย ยากที่จะเปิดใจ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาพูดความในใจกับกระต่ายน้อยเถิด! คำพูดเหล่านั้นไม่สามารถพูดกับพวกเขาได้ แต่ตอนนี้เขาสามารถพูดกับกระต่ายออกมาได้อย่างหมดเปลือก ขอเพียงแต่ใจของเขาไม่มีความกลัดกลุ้มที่อัดแน่นอยู่ ก็จะสามารถค่อยๆ กลับมาเป็นเด็กปกติได้
นี่คือโรคทางใจ มีเพียงแต่ยารักษาทางใจเท่านั้นที่จะสามารถรักษาได้
หยางซื่อและหลิงต้าจื้อมักจะตื่นแต่เช้าเสมอ หลิงต้าจื้อกำลังจะไปขายกระต่ายที่ตำบล ดังนั้นฟ้ายังไม่สางก็ต้องตื่นแล้ว มิฉะนั้นแล้วก็จะกลับมาไม่ทันเที่ยงวัน
คนชนบทมีนิสัยประหยัด ไม่ยินยอมเสียเงินนอกบ้านแม้แต่อีแปะเดียว บ้านพวกเขาเหลือเงินเพียงสามอีแปะสุดท้าย นั่งเกวียนวัวหนึ่งครั้งเป็นเงินสองอีแปะ ซึ่งพอให้หลิงต้าจื้อนั่งรถเกวียนได้
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นว่าหลิงต้าจื้อกำลังไปห้องครัว รู้ว่าหลิงจื่ออวี้จะต้องถูกรบกวนแล้ว เพื่อไม่ให้คนในห้องครัวตกใจ นางจงใจส่งเสียงออกมา กล่าวว่า “ท่านพ่อ เช้าขนาดนี้ท่านก็จะไปในเมืองแล้วหรือเจ้าคะ? ข้ายังไม่ได้ทำอาหารเช้าเลย! รอข้าทำอาหารเช้าเสร็จ ท่านกินแล้วค่อยไปดีหรือไม่เจ้าคะ? ”
“แผ่นแป้งของเมื่อคืนวานยังเหลืออยู่หนึ่งแผ่น ข้าอุ่นให้พ่อเจ้าก็พอแล้ว” หยางซื่อกล่าว “มู่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าไม่สวมรองเท้าเล่า? เด็กสาวไม่สามารถต้องลมเย็น ภายหลังระวังจะส่งผล… ”
หยางซื่อต้องทำงานทุกวันในตอนที่เป็นถงหย่างสีของบ้านนั้น เหมันต์ฤดูก็ต้องซักเสื้อผ้าจำนวนมาก ดังนั้นจึงทำให้ร่างกายเสียหาย ในช่วงสองสามปีที่เพิ่งแต่งให้กับหลิงต้าจื้อ ตลอดเวลานั้นนางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ฉะนั้นจึงถูกหวังซื่อชี้จมูกด่าทอว่าเป็น ‘แม่ไก่ที่ออกไข่ไม่ได้’ หยางซื่อแอบเช็ดน้ำตา ด้วยเหตุนี้นางร้องไห้จนเกือบทำให้ตาบอด โชคดีที่หลิงต้าจื้อไม่เคยทอดทิ้งนาง เงินที่เขาหามาได้ล้วนใช้ไปกับร่างกายของนาง
หยางซื่อบำรุงร่างกายอยู่สองปี เช่นนี้ถึงสามารถมีหลิงจื่อเซวียนได้ หลิงจื่อเซวียนเกิดมาร่างกายอ่อนแอ หวังซื่อด่าทอหยางซื่อในเรื่องนี้อีกครั้ง สรุปแล้ว เป็นหวังซื่อไม่อาจทนดูท่าทางที่ดูงดงามนั้นของหยางซื่อได้ต่างหาก
เมื่อสักครู่หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในห้องครัว คิดว่ามีขโมยจึงไม่ได้สวมรองเท้า นางไม่รู้จะอธิบายเหตุผลให้กับหยางซื่ออย่างไร จึงเดินกลับไปที่ห้องโดยเร็วเหมือนเด็กที่ทำความผิดก็มิปาน
“เอ๋ จืออวี้ลูกรักของแม่ เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่? อากาศหนาวเช่นนี้ ร่างกายเจ้ายังต้องเติบโต เหตุใดไม่นอนให้มากหน่อยเล่า? ” หยางซื่อเห็นหลิงจื่ออวี้อยู่ในห้องครัว พลันรู้สึกกังวลใจอีกครั้ง
หลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินเสียงกังวลของหยางซื่อก็ได้หลุดหัวเราะออกมา นางส่ายหัวเบาๆ ในหัวจินตนาการว่าวันหนึ่งตนเองก็จะกลายเป็นเหมือนหยางซื่อในตอนนี้ ในใจแปรเปลี่ยนอบอุ่นขึ้นมา
อันที่จริงแล้ว นางชอบเด็กเป็นอย่างมาก เด็กสามารถเติมเต็มหัวใจของนางได้
หลิงต้าจื้อไปแล้ว หลิงมู่เอ๋อร์กินน้ำแกงเห็ดที่เหลือก็ไปที่หมู่บ้านตระกูลหยางต่อ
นางเดินออกจากประตูไป ทอดมองเรือนหลังเล็กที่ทรุดโทรมนั้นจากระยะไกล นางกล่าว “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชาย น้องชาย ข้าจะไปแล้ว”
นางมีญาติพี่น้องมากมายเช่นนี้ ถึงแม้ร่างกายจะเหนื่อยเพิ่มอีก ในใจกลับยินดี
สามชั่วยามหลังจากนั้น หลิงมู่เอ๋อร์ถือกระต่ายหนึ่งตัว แบกเห็ดเล็กน้อยเดินเข้าไปในหมู่บ้านตระกูลหยาง
ตอนนี้ท้องฟ้าก็สว่างจ้า ไม่ว่าสตรีออกเรือนจะขี้เกียจขนาดไหนก็ตื่นขึ้นหมดแล้ว ตอนที่หลิงมู่เอ๋อร์เดินเข้าไปในหมู่บ้านตระกูลหยาง ทุกคนมองหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความประหลาดใจ
ครอบครัวของหลิงมู่เอ๋อร์ยากจน ผู้เป็นยายถังซื่อก็เช่นกัน ญาติทั้งสองครอบครัวยากจนมีอันใดน่าไปมาหาสู่กัน? การไปมาหาสู่ครั้งนี้ จะต้องนำสิ่งของมาด้วยเล็กน้อยกระมัง? มองท่าทีของสาวน้อยตระกูลหลิงแบกตะกร้า เกรงว่าข้างในนั้นคงจะว่างเปล่า หรือว่าต้องการมาขอสิ่งของจากหญิงชรากัน? จุ๊จุ๊จุ๊ ตอนนี้หญิงชราผู้นั้นน่าเป็นห่วงเสียแล้ว
ผู้คนพวกนี้ยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น เห็นได้ชัดว่าได้ลืมเรื่องที่หลิงมู่เอ๋อร์นำเนื้อหลายสิบชั่งมาให้ถังซื่อไปแล้ว อย่างไรก็ตามคนพวกนี้ไม่สามารถเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าพวกเขาได้
“ท่านยาย…ท่านลุง…” หลิงมู่เอ๋อร์ตะโกนจากนอกประตูรั้ว
“ผู้ใดกัน? ” ถังซื่อขานรับอยู่ในบ้าน “เรียกว่าท่านยาย หรือว่าจะเป็นเสี่ยวมู่เอ๋อร์? ”
ถังซื่อได้ยินไม่ชัด แต่ว่าสมองปราดเปรียว นางคลำผนังห้องเดินไป ไม่ง่ายกว่าจะเดินมาถึงประตู
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยินว่าถังซื่ออยู่ในบ้าน ก็เข้าไปเองโดยไม่ได้รับการเชื้อเชิญ นางผลักประตูรั้วเดินไป ก่อนจะวางตะกร้าลงแล้วรีบร้อนประคองมือของถังซื่อกล่าว “เป็นข้า ท่านยาย”
สถานการณ์ของถังซื่อในครั้งนี้ดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้วเล็กน้อย อย่างน้อยตาก็สามารถเห็นแสงสว่างได้บ้างเล็กน้อย นางมองหลิงมู่เอ๋อร์ผ่านแสงจางๆ แย้มรอยยิ้มที่สว่างไสวขึ้น รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าซ้อนขึ้นด้วยกัน ใบหน้ายับย่นราวกับหวงฮวา [1] แห้ง นางยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกล่าว “เจ้ามาคนเดียวหรือ? มือเล็กนี่เย็นนัก สวมเสื้อผ้าน้อยชั้นไปใช่หรือไม่? ”
“ท่านยาย ข้ามาคนเดียว ท่านไม่ต้องกังวลใจไป ตอนนี้ข้ามีพละกำลังแข็งแกร่งแล้ว บุรุษหนึ่งคนล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ไม่มีผู้ใดกล้ารังแกข้าเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อคลายกังวลแก่ถังซื่อ “ท่านลุงล่ะเจ้าคะ? เหตุใดจึงมีแค่ท่านอยู่ในบ้านคนเดียว? แล้วเสี่ยวหู่เล่า? ข้านำของขวัญมาให้เขาด้วย ท่านให้เขาออกมาดูสิเจ้าคะ”
ถังซื่อยิ้มแล้วกล่าว “ในหมู่บ้านมีคนแต่งภรรยา ท่านลุงเจ้าไปช่วยทำงาน เช่นนี้จะได้เงินทำงานเล็กน้อย เสี่ยวหู่ออกไปเล่นกับสหายแล้ว”
“อ้อ” หลิงมู่เอ๋อร์รับรู้แล้ว “ข้ามาที่นี่เพราะมีธุระเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านลุงไม่อยู่ ข้าจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยเสียก่อนค่อยมาหาท่าน ท่านยาย นำของไปเก็บในห้องครัวก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“คือสิ่งใดหรือ? ” ถังซื่อมองไม่เห็น จึงได้แต่ถามหลิงมู่เอ๋อร์
“อันที่จริงก็ไม่มีอันใด แค่เห็ดเล็กน้อย แล้วยังมีกระต่ายหนึ่งตัว กระต่ายให้เสี่ยวหู่เอาไว้เล่น” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวโดยไม่ต้องคิด
“กระต่าย? ไอ๊หยา เจ้าเอากระต่ายมาทำอันใด? กระต่ายหนึ่งตัวขายได้ยี่สิบอีแปะเชียว! เจ้ารีบนำมันกลับไปเร็วเข้า” เมื่อถังซื่อได้ยินจึงกล่าวอย่างตึงเครียด
“ท่านยาย มู่เอ๋อร์ถือมาอย่างยากลำบากนัก ตอนนี้ท่านยังให้ข้าเอากลับไป เช่นนั้นข้าจะไม่เหนื่อยแย่เอาหรือ? ที่บ้านยังมีกระต่ายอยู่สี่ตัว เดิมทีท่านพ่ออยากมากับข้า แต่ต้องเข้าไปในเมืองเพราะเรื่องของกระต่าย” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอธิบาย “ข้าจะไปจัดการเรื่องของข้าก่อน กลับมาแล้วค่อยมาพูดคุยกับท่านนะเจ้าคะ”
“เจ้าจะไปทำเรื่องอันใด?” ถังซื่อได้ยินหลิงมู่เอ๋อร์พูดอยู่หลายครั้งว่าจะจัดการเรื่องบางอย่าง จึงกล่าวถาม “ดวงตาของยายมองไม่เห็น ช่วยทำสิ่งใดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นข้าเรียกลุงของเจ้ากลับมาดีหรือไม่? ”
เชิงอรรถ
[1] หวงฮวา หมายถึง ดอกไม้จีน หรือผักดอกเข็มทอง เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับลิลลี่ ดอกไม้จีนส่วนที่นำมากินมาจากส่วนดอกตูมที่นำมาตากแห้งเมื่อจะใช้นำมาแช่น้ำให้พองตัว