เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 23 เก็บดอกไม้
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 1 บทที่ 23 เก็บดอกไม้
เล่มที่ 1 บทที่ 23 เก็บดอกไม้
เดิมทีหลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกซาบซึ้งใจอยู่บ้าง แต่ดูจากที่ซั่งกวนเซ่าเฉินเคลื่อนย้ายสายตาไปทางอื่นแล้ว และการกระทำที่แสดงออกของเขานั้นซับซ้อนยิ่ง นางจึงได้รู้ว่าตนเองคิดมากไปแล้ว
เมื่อครู่ชั่วขณะหนึ่ง แววตาของเขาว่างเปล่าเล็กน้อย ราวกับว่ามองออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่านางคือผู้อื่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง คำพูดประโยคนั้นไม่ได้พูดกับนาง แต่กำลังพูดกับผู้อื่นอยู่
หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่ได้ผิดหวังอันใด ถ้าซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวกับนางเช่นนี้จริงๆ นางถึงจะรู้สึกขนพองสยองเกล้า! ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่คนงามที่สุดในแผ่นดิน ที่ทำให้เขาต้องปฏิบัติต่อนางอย่างดีขนาดนี้
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว หลิงมู่เอ๋อร์เริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ตำแหน่งที่เกิดของดอกไม้ดอกนั้นอยู่สูงเป็นอย่างมาก แม้แต่ซั่งกวนเซ่าเฉินที่ฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดา ก็ไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ ถ้ามีเชือกก็แล้วไป ด้วยความสามารถในการปีนป่ายของนาง ถึงแม้ต่อให้เทือกเขาสูงกว่านี้ก็ไม่ได้มีความหวาดกลัว อย่างไรก็ตามในตอนนี้นางไม่มีเครื่องมือใดๆ ที่จะช่วยให้นางปีนขึ้นไปได้ นางทำได้เพียงแค่พึ่งพามือคู่หนึ่งของคนที่อยู่ด้านหน้าเท่านั้น
ดอกไม้ดอกนั้นสามารถออกผลได้หลากสี มันใช้เวลาหนึ่งร้อยปีในการงอก หนึ่งร้อยปีในการเติบโต หนึ่งร้อยปีในการผลิบาน หนึ่งร้อยปีในการออกผล สุดท้ายใช้เวลาอีกหนึ่งร้อยปีในการเจริญเติบโตเต็มที่ รวมทั้งหมดห้าร้อยปี จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวผลได้ ดังนั้นดอกไม้เช่นนี้ มันผ่านช่วงเวลาที่เหนือจินตนาการของมนุษย์ มนุษย์ได้ผ่านการผลัดเปลี่ยนมาหลายยุคสมัย แต่มันก็เติบโตอยู่ที่นั่นได้อย่างมั่นคง
แน่นอนว่า สาเหตุที่นางถูกใจมัน ไม่ใช่เพราะว่ามันหายาก แต่เพราะสรรพคุณของมันต่างหาก
ผลของมันมีเจ็ดสี หนึ่งผลในนั้นสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของกำลังภายใน หนึ่งผลสามารถแปรเปลี่ยนสตรีที่รูปโฉมอัปลักษณ์ให้เป็นงามล่มเมืองได้ หนึ่งผลสามารถปรับสุขภาพร่างกายให้ดีขึ้น เพิ่มอายุขัย… สำหรับอีกสี่ผลที่เหลือมีสรรพคุณอย่างไรนั้น จนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดค้นพบ เพราะว่าจนกระทั่งถึงวันนี้ ในตำนานเล่าขานว่ามีเพียงสามคนเท่านั้นที่ได้กินผลของมัน ด้วยเหตุนี้สรรพคุณของมันจึงถูกล่วงรู้เพียงเท่านั้น
“พี่ใหญ่ ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ? ” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นซั่งกวนเซ่าเฉินเดินไปที่หน้าผา จึงรีบร้อนหยุดเขา “ที่นั่นอันตรายเกินไป ท่านไม่ต้องไป”
ซั่งกวนเซ่าเฉินพับแขนเสื้อขึ้น กระโดดตัวขึ้นไป เดินไปที่หน้าผา
เสียงของหลิงมู่เอ๋อร์ดังมาจากด้านหลัง ซั่งกวนเซ่าเฉินทำเป็นไม่ได้ยิน
เขามองดอกไม้ต้นนั้นด้วยดวงตาทั้งสองข้างที่เฉียบคม ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับกองกำลังทหารนับพันนาย ไม่ใช่สิ่งของที่ไม่มีชีวิต
เด็กหญิงผู้นั้นกล่าวไว้ว่า ต้องขุดทั้งรากจนถึงดอกไม้ออกมาพร้อมกัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จะต้องไม่มีความเสียหายใดๆ อย่างเด็ดขาด
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์รีบไปที่ขอบหน้าผา ซั่งกวนเซ่าเฉินได้กระโดดข้ามไปแล้ว ตอนนี้ทุกที่ยังคงมีหิมะขังอยู่ ก้อนหินก็ลื่นเป็นอย่างยิ่ง แต่เขายึดก้อนหินเหล่านั้นแล้วปีนขึ้นไป
อันตรายเกินไปจริงๆ แล้ว
ร่างกายของเขาห้อยโหนอยู่กลางอากาศ
ในเวลานี้หลิงมู่เอ๋อร์ร้อนใจจนทนไม่ไหว นางรู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากรู้ก่อนหน้านี้… นางจะมาขุดวันหน้า
แน่นอนว่านางจะไม่ละทิ้งของล้ำค่าที่ดีเช่นนี้ไป เพียงแต่เสียใจที่ไม่ได้หยุดรั้งซั่งกวนเซ่าเฉินไว้ กล่าวอีกอย่างหนึ่ง นางควรที่จะไม่พูดถึงความล้ำค่าของมัน แสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วไปจากที่นี่
ตอนนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินไปได้ครึ่งทางแล้ว นางไม่สามารถส่งเสียงรบกวนเขาได้อีก สิ่งที่นางต้องทำก็คือเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเขา และอธิษฐานให้เขากลับมาอย่างปลอดภัย
“ถึงแล้ว” ดวงตาของหลิงมู่เอ๋อร์เบิกกว้าง มองดูการเคลื่อนไหวของซั่งกวนเซ่าเฉินด้วยความประหลาดใจ
ในเวลานี้ซั่งกวนเซ่าเฉินได้พบกับดอกไม้ต้นนั้นแล้ว อย่างไรก็ตามดอกไม้ต้นนั้นล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงแต่ใช้แรงกำลังนั้นได้อย่างเหมาะสม แม้แต่รากก็สามารถขุดขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ถ้าหากไม่ระวัง รากที่อยู่ใต้ดินเหล่านั้นจะได้รับบาดเจ็บ ไม่แน่ว่าความพยายามก่อนหน้านี้อาจไร้ประโยชน์ และดอกไม้ต้นนั้นก็อาจจะตายได้
แม้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะดูหยาบกระด้าง แต่ก็ไม่ใช่คนที่กระทำอันใดมักง่าย เขาใช้มือข้างหนึ่งจับก้อนหินไว้ มืออีกข้างหนึ่งขุดรากของดอกไม้ต้นนั้นอย่างช้าๆ
“ขออย่าได้มีอันใดเกิดขึ้นด้วยเถิด” หลิงมู่เอ๋อร์มองดูการเคลื่อนไหวของซั่งกวนเซ่าเฉินอย่างตั้งใจ “ขอเพียงแต่คนกลับมาก็พอ สิ่งของข้า…ไม่ต้องการแล้ว”
ถึงแม้ว่าจะน่าเสียดายอย่างมาก แต่ดอกไม้ต้นนี้ก็เรียกง่ายๆ ว่าของล้ำค่า หากผู้คนทั่วยุทธภพรู้ถึงการมีอยู่ของมัน เกรงว่าคงมีการต่อสู้จนหัวแตกเลือดไหล ยังมีผู้มีอำนาจเหล่านั้น หากรู้ว่ามีของล้ำค่าที่สามารถทำให้พวกเขาเป็นอมตะได้ เพิ่มอายุขัยได้หลายสิบปี ยิ่งสามารถทำให้สู้กันจนตายกันไปข้างหนึ่ง
ในที่สุดซั่งกวนเซ่าเฉินก็ดึงรากของดอกไม้ต้นนั้นออกมาได้ เขาคาบมันไว้ในปาก ค่อยๆ ทำมันอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ช้ำแม้แต่ครึ่งเดียว จากนั้นเขาก็เดินกลับมา
หลิงมู่เอ๋อร์สาวเท้าก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ยืนอยู่ขอบหน้าผามองไปที่เขา นางเอื้อมมือออกไปหนึ่งข้าง หวังช่วยดึงซั่งกวนเซ่าเฉินซึ่งเข้ามาอยู่ใกล้ๆ นาง
ซั่งกวนเซ่าเฉินบอกปัดมือของนาง ก่อนจะเหยียบลงพื้นอย่างช้าๆ เขาค่อยๆ หยุดนิ่งลงอย่างระมัดระวัง ในเวลานี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเช่นกัน
“พี่ใหญ่ ท่านช่างเหลวไหลจริงๆ ” หลิงมู่เอ๋อร์รับดอกไม้ต้นนั้นมาอย่างระมัดระวัง ตรวจสอบร่างกายของซั่งกวนเซ่าเฉิน “ท่านบาดเจ็บหรือไม่? ”
“เมื่อครู่เจ้าเห็นข้าบาดเจ็บหรือไม่เล่า? ” ซั่งกวนเซ่าเฉินยิ้มบางๆ “เจ้าดูดอกไม้นี้ก่อน พอใจหรือไม่? ”
หลิงมู่เอ๋อร์ก้มมองลงไปที่ดอกไม้ในมือ ยิ้มอย่างอ่อนโยน “อืม พอใจมาก ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ”
“ไปกันเถิด! ” ซั่งกวนเซ่าเฉินใช้กำลังภายในทำให้เสื้อผ้าแห้ง เขารับตะกร้าสะพายหลังในมือของหลิงมู่เอ๋อร์มา เขามองไปยังกระต่ายที่กำลังดิ้นรนอย่างไม่หยุดหย่อนอยู่ในตะกร้าแบกหลัง แล้วขมวดคิ้ว
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นสีหน้าที่ผิดปกติของเขา จึงก้มลงมอง ก็เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงเป็นเช่นนี้ นางกล่าวอย่างรู้สึกผิด “เมื่อสักครู่มองแต่ท่านไม่ได้จับตาดูว่ากระต่ายทั้งสามตัวหนีไปแล้ว”
มีกระต่ายทั้งหมดห้าตัว ในตอนนี้เหลืออยู่เพียงสองตัวเท่านั้น
อันที่จริงแล้วเมื่อครู่ที่กระต่ายกำลังดิ้นรนกันอยู่นั้น นางหมดความอดทนจึงโยนมันเข้าไปในมิติ กระต่ายสามตัวนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้หนีแต่อย่างใด แต่ถูกนาง ‘เลี้ยง’ เอาไว้แล้วต่างหาก
“ไม่เป็นไร ข้าจะจับเพิ่มให้เจ้าอีกสองสามตัว” ในเมื่อเป็นพี่ใหญ่ของเจ้าเด็กคนนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สามารถแบกรับแค่ชื่อเสียงของพี่ใหญ่ได้เท่านั้น ขอเพียงแต่มีส่วนที่สามารถดูแลนางได้ เขาก็จะดูแลนาง
ในภูเขาแห่งนี้เป็นใต้หล้าของเขา ไม่ต้องเอ่ยถึงกระต่ายไม่กี่ตัว แม้กระทั่งสัตว์ร้ายที่ดุร้ายที่สุด เขาก็สามารถล่ามาได้ ทว่าด้วยนิสัยของนาง คงจะไม่ยอมรับความหวังดีนี้ของเขาแน่
หลิงมู่เอ๋อร์เดินตามซั่งกวนเซ่าเฉินไปตามแนวภูเขา ผ่านไปครู่หนึ่ง กระต่ายหลายตัวก็ปรากฏอยู่ในมือของหลิงมู่เอ๋อร์อีกครั้ง
หลิงมู่เอ๋อร์ตัดสินใจนำกระต่ายเหล่านี้ไปที่ตำบลและขายพวกมัน กระต่ายสามตัวในมิติเลี้ยงให้กำเนิดลูก ข้างนอกมีกระต่ายทั้งหมดเจ็ดตัว เหลือไว้สองตัวให้หลิงจื่ออวี้เลี้ยงไว้เล่นเป็นเพื่อน ที่เหลือห้าตัวจะนำไปขายทั้งหมด ตามราคาตลาดในตอนนี้ กระต่ายหนึ่งตัวขายได้สามสิบอีแปะ ห้าตัวก็เป็นหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะ อย่าได้ดูถูกหนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะนี้เชียว เงินทุนสร้างกิจการของนางมีแหล่งเงินทุนแล้ว
หลิงมู่เอ๋อร์คิดถึงชีวิตที่ดีในอนาคต นัยน์ตาประดุจไข่มุกสีดำคู่นั้นเปล่งประกายระยิบระยับ
ซั่งกวนเซ่าเฉินรู้สึกถึงอารมณ์ที่ดีของนาง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
พวกเขามาถึงสถานที่ที่ขุดกับดักไว้เมื่อครู่ กับดักมีร่องรอยถูกเหยียบ น่าเสียดายที่ข้างในไม่มีอะไรเลย ดูเหมือนว่าไก่ป่าในภูเขาจะเจ้าเล่ห์เกินไป อีกทั้งปีกคู่หนึ่งก็ว่องไวกว่าไก่บ้าน ถึงแม้ว่าจะตกเข้าไปในหลุมกับดัก ขอเพียงแต่ไม่ตายก็สามารถบินขึ้นมาได้อีกครั้ง
“ข้ามีกระต่ายพวกนี้ ปัญหาทั้งหมดก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป” หลิงมู่เอ๋อร์พูด “พี่ใหญ่ อีกสักครู่ข้าจะทำของอร่อยให้ท่านทานเจ้าค่ะ”
“อืม” ซั่งกวนเซ่าเฉินตอบเบาๆ “ท้องฟ้าค่ำแล้ว ลงเขากันเถิด! ”
หลิงมู่เอ๋อร์รีบเดินตามซั่งกวนเซ่าเฉินลงจากภูเขา
พวกเขานำกระต่ายเจ็ดตัวลงมา ตะกร้าสะพายหลังของหลิงมู่เอ๋อร์เล็กเกินไป สามารถใส่ได้ทั้งหมดเพียงสามตัวเท่านั้น อีกสี่ตัวที่เหลือล้วนอยู่ในมือของซั่งกวนเซ่าเฉิน หลังจากลงจากเขา ซั่งกวนเซ่าเฉินส่งมันให้กับนาง
หลิงมู่เอ๋อร์ก็ไม่เกรงใจกับเขาเช่นกัน นางบอกลาซั่งกวนเซ่าเฉิน หลังจากนั้นก็นำกระต่ายกลับไปที่บ้าน
“ไอ๊หยา! ” หยางซื่อมองสิ่งของในมือของหลิงมู่เอ๋อร์ด้วยความประหลาดใจ “เด็กดีของข้า มู่เอ๋อร์ เจ้าไปแหย่รังกระต่ายบนภูเขามาหรือ? ”
หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้น “ท่านแม่ ข้าไม่มีความสามารถทำเรื่องนี้ได้ นี่คือสิ่งที่พี่ชายบุญธรรมข้าทำเจ้าค่ะ”
“พี่ชายบุญธรรม? ” หยางซื่อตกตะลึง “เจ้ามีพี่ชายบุญธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดข้าถึงไม่รู้? ”
“ข้าเพิ่งจะกราบไหว้มาเจ้าค่ะ! ” หลิงมู่เอ๋อร์พูดไปพลางอุ้มกระต่ายเดินเข้าไปพลาง นางตะโกนเข้าไปด้านใน “จืออวี้ รีบมาดูกระต่ายเร็วเข้า”
หลิงจื่ออวี้เดินออกมาจากด้านใน เมื่อครู่เขารออยู่ข้างนอกเป็นเวลานานมากแล้ว โดนความเย็นจนใบหน้าแดงไปหมด ไม่ง่ายเลยกว่าหยางซื่อจะอ้อนวอนให้เขากลับเข้าไปหลบอยู่ในห้องได้
ร่างกายของหลิงจื่ออวี้อ่อนแอ อยู่ดีๆ ก็เป็นไข้หวัดขึ้นมา เงินจำนวนไม่น้อยถูกใช้ไปกับร่างกายของหลิงจื่ออวี้ หยางซื่อไม่ได้รู้สึกปวดใจกับเงินทอง แต่รู้สึกปวดใจกับบุตรชายตัวน้อยคนนี้
หยางซื่อตามหลิงมู่เอ๋อร์เข้าประตูไปแล้ว นางจึงปิดประตู
“มู่เอ๋อร์ เจ้ายังไม่ทันได้พูดให้ชัดเจน เจ้ากราบไหว้ผู้ใดเป็นพี่บุญธรรมแล้วอย่างนั้นหรือ? ” หยางซื่อกล่าวอย่างโกรธเคือง “เด็กน้อย เจ้าอย่าได้ถูกผู้อื่นหลอกลวงเอา”
“ท่านแม่ คนผู้นั้นเก่งกาจขนาดนี้ จะหลอกลวงข้าที่เป็นเพียงเด็กผู้หญิงได้อย่างไรกันเจ้าคะ? ” หลิงมู่เอ๋อร์นำกระต่ายขังไว้ให้หลิงจื่ออวี้ไปพลางหันหน้าไปกล่าวกับหยางซื่อไปพลาง “เป็นพี่ใหญ่ซั่งกวนท่านผู้นั้นในหมู่บ้าน เขาล่าสัตว์ได้เก่งมาก เมื่อก่อนท่านก็เคยพบ ในช่วงเวลานี้ถ้าหากไม่ใช่เขา ครอบครัวพวกเราจะสามารถรอดมาได้อย่างไร? ครั้งที่แล้วข้าและพี่ชายเดินขึ้นเขาไปบ้านท่านยาย ก็เป็นเขาที่ไปส่งเจ้าค่ะ”
“ที่แท้เป็นเขานี่เอง! แต่เรื่องที่เขาส่งพวกเจ้าไปที่บ้านท่านยายนี้ พวกเจ้าไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ว่าพี่ชายท่านนั้นไม่เลวเลยจริงๆ ” เมื่อหยางซื่อได้ยินว่าเป็นซั่งกวนเซ่าเฉิน นางจึงรู้สึกวางใจได้
เมื่อหลิงมู่เอ๋อร์ได้ยิน อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ นางกล่าวถาม “ท่านแม่ ท่านไม่รู้จักเขา เหตุใดถึงมั่นใจเขาขนาดนี้? ”
“แม่ใช้ชีวิตมาแล้วครึ่งชีวิต ได้เห็นผู้คนมากมายแล้ว แม้ว่าพี่ชายท่านนั้นจะมีใบหน้าที่เย็นชา ดูสูงส่งและมีกำลัง แต่ดวงตาของเขาตั้งตรงนัก ไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน” หยางซื่อกล่าวต่อ “กระต่ายเยอะขนาดนี้ พวกเรานำไปขายในตำบลกันดีหรือไม่? ”
“พรุ่งนี้ให้ท่านพ่อนำไปขายที่ตำบล ข้าจะไปบ้านท่านยาย ท่านแม่อยู่ที่นี่ดูแลพี่ชายและน้องเล็กนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์เก็บสิ่งของที่จะนำกลับมาไปพลางกล่าวไปพลาง
นางเก็บไข่ไม่กี่ใบนั้นด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างดี
มีไข่ทั้งหมดห้าใบ ยังมีไข่แปดใบของซั่งกวนเซ่าเฉิน ทั้งหมดสิบสามใบ กล่าวเช่นนี้ นางทำข้าวห่อไข่สิบสามชิ้นก็ไม่เลวแล้ว
เสียงเคาะประตูมาจากด้านนอก
ร่างกายของหยางซื่อนิ่งไม่ไหวติง ท่าทางที่แสดงออกมาของนางเปลี่ยนไปจนไม่น่าดู
หลิงมู่เอ๋อร์สังเกตเห็นความผิดปกติของนาง จึงกล่าวถาม “ท่านแม่…”
“ทุกครั้งล้วนเป็นเช่นนี้ ขอเพียงแต่ครอบครัวพวกเรามีสิ่งของดีๆ พวกเขาจะจับตามอง ดูเหมือนกระต่ายพวกนี้จะเก็บไว้ไม่ได้แล้ว” หยางซื่อกล่าวอย่างขมขื่น
หลิงมู่เอ๋อร์ถึงได้รู้ว่าหยางซื่อกำลังกลัวอันใดอยู่ นางคิดว่าคนที่มาเคาะประตูอยู่ด้านนอกเป็นหวังซื่อหรือป้าสะใภ้รองของพวกเขาแน่
คนเหล่านั้นทิ้งเงามืดอันยิ่งใหญ่ไว้ในใจของหยางซื่อ ขอเพียงแต่มีปัญหาเล็กน้อย หยางซื่อก็จะอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลไป ไม่ใช่พวกเขาเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ถ้าหากเป็นพวกเขา คงไม่อ่อนโยนขนาดนี้ ท่านฟังเสียงเคาะประตู สุภาพเป็นอย่างยิ่ง ถ้าข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นพี่ชายบุญธรรมของข้าผู้นั้นที่นำไข่มาให้ข้า วันนี้ข้าอยู่บนภูเขากล่าวว่าต้องการไข่เพื่อทำการค้า เขากล่าวว่าที่เขามีอยู่ไข่แปดใบ จะนำมาให้ข้าในภายหลังเจ้าค่ะ”
“เอ๋? เช่นนั้นพวกเราให้เขายืนอยู่ข้างนอกนานขนาดนั้น? ” เมื่อหยางซื่อได้ยิน ก็อดที่จะกังวลไม่ได้ “เจ้าเด็กคนนี้จริงๆ เลย เหตุใดไม่รีบพูดก่อนหน้านี้เล่า? ทำให้พวกเราไร้มารยาทเช่นนี้”
พูดอยู่ นางก็รีบร้อนพุ่งออกไป
หลิงมู่เอ๋อร์จนปัญญา นางมองไปที่หลิงจื่ออวี้ บีบแก้มน้อยๆ ของเขาแล้วกล่าว “จืออวี้น้อย ชอบกระต่ายหรือไม่? ”