เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 21 อยู่ร่วมกัน
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 1 บทที่ 21 อยู่ร่วมกัน
เล่มที่ 1 บทที่ 21 อยู่ร่วมกัน
หลิงมู่เอ๋อร์ส่ายหัว หยางซื่อผู้นี้ช่างเป็นคนที่ดีมากจริงๆ หวังซื่อทำเรื่องให้นางลำบากมากมายถึงเพียงนั้น นางยังคงปกป้องพวกเขาต่อหน้าหลิงต้าจื้อเช่นนี้อีก หญิงสาวก็อยากจะดูว่าคนเหล่านั้นจะมองเห็นความดีของนางหรือไม่ ไม่ว่านางจะทำไปมากมายเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่ซาบซึ้งในคุณความดีอยู่ดี ดังนั้นการจัดการกับคนแบบนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกเขาทั้งสิ้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านค่อยๆ พูดคุยกัน ข้าจะกลับไปที่ห้องคิดทบทวนในเรื่องนี้ให้ดีก่อน” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับทั้งสองคน
“เจ้าบอกว่าจะไปบ้านท่านยาย จะไปเมื่อใด พ่อจะไปกับเจ้าด้วย! ” หลิงต้าจื้อมองหลิงมู่เอ๋อร์พลางกล่าว
หลิงมู่เอ๋อร์กำลังจะกลับไปที่ห้อง เมื่อได้ยินคำพูดของเขาจึงหยุดฝีเท้าลง คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “อีกไม่นานข้าจะขึ้นไปดูที่ภูเขา ถ้าหากสามารถหาอะไรได้บ้าง พรุ่งนี้ก็จะไปที่ริมแม่น้ำสายเล็กในหมู่บ้านท่านยายเพื่อจับปลาและกุ้งตัวน้อย ตอนนี้ถนนผ่านได้แล้ว ไปบ้านท่านยายใช้เวลาไม่มากเจ้าค่ะ”
“ถนนในหมู่บ้านของพวกเราผ่านแล้ว ก็ไม่รู้ว่าถนนในหมู่บ้านของพวกเขาจะผ่านได้หรือยัง” หยางซื่อที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วอย่างกังวล
“ผ่านได้แล้ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งเห็นอาสะใภ้จาง นางบอกว่าเพิ่งกลับมาจากบ้านเดิม” หลิงต้าจื้อตบมือหยางซื่อ พลางกล่าวปลอบโยน “บ้านเดิมของอาสะใภ้จางก็คือหมู่บ้านตระกูลหยาง นางสามารถกลับไปบ้านเดิมได้ เจ้าก็กลับได้ ไม่ต้องกังวล ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ! หลี่เจิ้งของพวกเขาเก่งมากขนาดนั้น ความสามารถในการทำงานไม่เลว พวกเราสามารถผ่านได้ แน่นอนว่าพวกเขาก็ย่อมทำได้” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ในเมื่อถนนของหมู่บ้านผ่านได้แล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ไปพรุ่งนี้กันเถิดเจ้าค่ะ!”
“ตกลง ข้าจะจัดสิ่งของ พรุ่งนี้เอาข้าวและแป้งนำไปให้พวกเขาด้วย” หยางซื่อกล่าว
“แม่ของลูก ข้าวและแป้งนำไปไม่ได้ อย่างไรเสียมู่เอ๋อร์ยังคิดจะทำการค้า คราวหน้าค่อยนำข้าวและแป้งให้กับพวกเขา พวกเรานำแป้งข้าวฟ่างสักสองสามชั่งไปแทนเถิด! ยังมีเนื้อของครั้งก่อนที่กินยังไม่หมด ก็นำไปให้พวกเขามากหน่อย” หลิงต้าจื้อเอ่ยเสริม
เดิมทีเมื่อได้ยินว่าไม่สามารถนำข้าวและแป้งไปให้ถังซื่อ หยางต้าหนิว และหยางเสี่ยวหู่ได้ ในใจของหยางซื่อรู้สึกไม่สบายใจนัก ทว่าจู่ๆ หลิงต้าจื้อกลับบอกให้นำเนื้อไปให้พวกเขา หยางซื่อก็พลันรู้สึกซาบซึ้งในทันที นางไม่ได้สนใจคนของบ้านเดิม เพียงแต่ต้องการให้ หลิงต้าจื้อใส่ใจพวกเขาบ้าง
หลิงมู่เอ๋อร์กลับเข้าไปในห้อง แล้วจึงปิดประตูลง
ครั้นเข้าไปในมิติ มองสมบัติที่มีเพียงเล็กน้อยเหล่านั้นบนที่ดิน ดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยประกายของความคาดหวัง
นางได้นำสมุนไพรและผักผลไม้ปลูกลงไปรวมไว้ด้วยกัน สมุนไพรที่อยู่ฝั่งนั้นงอกออกมาเพียงต้นอ่อนเล็กๆ เท่านั้น แต่ผักกลับเติบโตขึ้นสูงมาก
โดยเฉพาะฟักทองเหล่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่ามันกำลังออกผลแล้ว
นอกจากฟักทองแล้ว ยังมีกะหล่ำปลี หัวไชเท้า และถั่วเขียวจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ นางยังได้ปลูกเครื่องเทศทุกชนิดรอบบริเวณสวนผักไว้อีกด้วย เช่น พริก ยี่หร่า โป๊ยกั๊ก พริกไทยเสฉวน เป็นต้น
นางเดินไปสำรวจน้ำพุวิญญาณอีกครั้ง
ปลาตัวน้อยในน้ำพุวิญญาณแหวกว่ายอย่างเบิกบานใจ ยิ่งไปกว่านั้น นางพบว่าปลาที่อยู่ในนั้นมีจำนวนที่มากขึ้นอีกด้วย
เพียงแต่ หากเลี้ยงปลาไว้ในน้ำพุวิญญาณแล้ว นางจะยังสามารถดื่มน้ำพุวิญญาณได้อยู่หรือไม่? ครั้งก่อนที่ดื่มน้ำพุวิญญาณ ทำให้นางได้รับพลังที่เหนือมนุษย์ นางยังคิดที่จะดื่มน้ำพุวิญญาณต่อไป ถึงแม้ว่าจะไม่มีความสามารถมากขึ้นกว่านี้ได้อีกแล้ว แต่การฟื้นฟูรักษาร่างกายก็เป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง
“อีกไม่กี่วันผักก็สามารถกินได้แล้ว ปลาตัวน้อยเหล่านั้นก็สามารถทำเป็นเครื่องปรุงรสได้แล้ว คราวนี้ข้าเดินทางไปที่หมู่บ้านของท่านยาย ไปทำสิ่งของบางอย่างที่ใช้ในลำธารสายเล็กๆ นั่น” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับตนเอง “ถ้าสามารถเลี้ยงไก่และเป็ดในนี้ได้ เช่นนั้นก็จะดีอย่างยิ่ง ต่อไปในยามที่ต้องทำข้าวห่อไข่ อย่างน้อยปัญหาเรื่องไข่ไก่ก็สามารถหาทางออกได้แล้ว”
ครั้นหลิงมู่เอ๋อร์นึกถึงภูเขา เมื่อก่อนนางสามารถหาไก่บนภูเขาได้ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้จะยังหามันเจอหรือไม่ ถ้าหากยังสามารถหาไก่ได้อยู่ เช่นนั้นก็คงจะดียิ่งนัก
ซั่งกวนเซ่าเฉิน…
หากเป็นเขา จะต้องสามารถหาไก่ได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ นางยังติดหนี้เขาอยู่สิบอีแปะ ไหนจะกล้าขอความช่วยเหลือจากเขาอีก?
หลิงมู่เอ๋อร์เดินไปเดินมาภายในมิติ ด้วยท่าทางที่ดูว้าวุ่นยิ่งนัก ไป? ไม่ไป? นี่คือปัญหา…
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงมู่เอ๋อร์ก็หยุดฝีเท้าลง พลางกล่าวด้วยสายตาที่แน่วแน่ “ไป! อย่างมากก็แค่ทำของอร่อยให้เขาในภายหลัง หรือให้ค่าตอบแทนเขามากหน่อย”
ซั่งกวนเซ่าเฉินช่วยเหลือนางมามากมาย นางเป็นหนี้บุญคุณคนผู้นี้ไม่น้อย เพิ่มขึ้นอีกสักหนึ่งเรื่องจะเป็นอันใด?
ครั้นออกมาจากมิติ หลิงมู่เอ๋อร์บอกกล่าวกับหยางซื่อเล็กน้อย แล้วแบกตะกร้าบนหลังขึ้นมุ่งหน้าสู่ภูเขา
หลิงต้าจื้อคิดจะขึ้นภูเขาไปกับหลิงมู่เอ๋อร์ แต่ถูกหลิงมู่เอ๋อร์ปฏิเสธอย่างนิ่มนวล ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ หลิงต้าจื้อได้รับรู้สิ่งใหม่ๆ เกี่ยวกับหลิงมู่เอ๋อร์ ดังนั้นเขาจึงไม่กวนใจนางอีก
“บนภูเขาอันตรายยิ่งนัก ตอนนี้หิมะละลายแล้ว สัตว์ดุร้ายที่หิวโหยเหล่านั้นออกจากการจำศีลในถ้ำแล้ว ปล่อยให้มู่เอ๋อร์ไปคนเดียว จะไม่อันตรายเกินไปหรือขอรับ? ” เสียงของหลิงจื่อเซวียนดังมาจากด้านในห้องด้านข้าง
หยางซื่อได้ยินเสียงของหลิงจื่อเซวียนก็ยกน้ำร้อนพร้อมกับเดินเข้าไป “จื่อเซวียนตื่นแล้วหรือ? แม่ยกน้ำร้อนเข้ามาให้เจ้า ให้เจ้าแช่มือแช่เท้า เช่นนี้ร่างกายก็จะได้อบอุ่นขึ้นบ้าง”
“ไม่เช่นนั้น ข้าจะไปดูที่นั่นสักหน่อย! ” หลิงต้าจื้อที่อยู่ด้านนอกกล่าว
หยางซื่อกล่าวเสียงเบา “พวกพ่อลูกช่างไม่เข้าใจนิสัยของนางหนูมู่นัก นางบอกว่าไม่ให้ผู้ใดติดตามไปด้วย นั่นก็คือไม่ให้ผู้ใดติดตามไปด้วย ถ้าหากพวกท่านไปรบกวนนาง นางกลับจะโมโหพวกท่านเสียด้วยซ้ำไป พวกเราคอยดูกันเถิด เด็กคนนั้นขึ้นภูเขาไปหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งล้วนลงจากภูเขาได้อย่างปลอดภัย นั่นเป็นเพราะนางมีความสามารถ เมื่อบวกกับนางยังเป็นผู้ที่ถูกเทพเซียนเอาใจใส่ดูแล จะต้องมีคนปกปักรักษานางอย่างแน่นอน ”
หยางซื่อเป็นคนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และก็ค่อนข้างเชื่อในโชคลาง คนที่นางเชื่อใจมากที่สุดในเวลานี้ก็คือหลิงมู่เอ๋อร์ หลิงมู่เอ๋อร์เกิดมาพร้อมกับพลังที่เหนือมนุษย์ ทั้งเป็นบุคคลที่มีบุคลิกลักษณะเลิศล้ำ นางจึงเชื่อมั่นในตัวหญิงสาวมาก
“จืออวี้ เหตุใดมือของเจ้าถึงเย็นเพียงนี้ รีบเข้าไปแช่น้ำร้อนเร็วเข้า” หลิงต้าจื้อเห็นหลิงจื่ออวี้เล่นหิมะอยู่ด้านข้างๆ รีบร้อนร้องห้ามเขา “เจ้าเด็กคนนี้ เพิ่งจะหายป่วย จะเล่นหิมะได้อย่างไร? ”
หยางซื่อได้ยินคำพูดของหลิงต้าจื้อ วิ่งออกมาจากด้านในอย่างเร่งรีบ โอบกอดหลิงจื่ออวี้เอาไว้ กล่าวอย่างร้อนใจ “พ่อของเจ้าพูดถูก เพิ่งจะหายป่วย เหตุใดถึงไม่เชื่อฟังเช่นนี้? ”
“พี่สาว…” หลิงจื่ออวี้ขมวดคิ้ว ก้มหน้าแล้วกล่าว “รอพี่สาว…”
“เจ้าหมายถึง เจ้ามาที่ตรงนี้เพื่อรอพี่สาวกลับมาหรือ? ” อย่างไรเสียหยางซื่อก็เป็นมารดาของหลิงจื่ออวี้ จึงสามารถฟังความหมายของเขาพูดได้จากคำพูดที่ไม่เป็นคำ “เด็กโง่ พี่สาวเจ้าต้องขึ้นไปบนภูเขา ไหนเลยจะกลับมาเร็วขนาดนี้? พ่อของลูก ท่านคอยดูจืออวี้ไว้ ข้าจะไปเตรียมอาหารเย็น ท่านอย่าให้ลูกเล่นหิมะเล่า”
หยางซื่อเดินจากไป หลิงจื่ออวี้ยืนอยู่ข้างกายของหลิงต้าจื้อก็ได้กลับคืนสู่ท่าทางเย็นชาเช่นเดิม
หลิงต้าจื้อมองไปที่บุตรชายคนเล็ก ปีนั้นตอนที่ให้กำเนิดเด็กคนนี้ หยางซื่อเกือบจะสิ้นใจไปแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้ เด็กคนนี้ก็แตกต่างจากเด็กทั่วไป เขาไม่ชอบพูด ถึงขนาดไม่ค่อยแม้แต่จะยิ้ม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาหัวเราะอยู่ไม่กี่ครั้ง คนในหมู่บ้านต่างบอกว่าเขาเป็นคนโง่เขลา แต่หลิงต้าจื้อรู้ดี เขาไม่ใช่คนโง่เขลา เพียงแต่… ไม่อยากให้ความสนใจผู้อื่นก็เท่านั้น
ครั้งนี้เขาเต็มใจที่จะรอหลิงมู่เอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็นับว่าเป็นการแสดงออกที่ดี นี่แสดงให้เห็นว่าเขาห่วงใยหลิงมู่เอ๋อร์
“ชู่ว! จะเล่นหิมะไม่ได้ ระวังร่างกายได้รับกระแสความหนาวเย็น ถ้าหากเจ้าจะรอพี่สาวเจ้า ก็จงรออยู่ตรงนี้เถิด พ่อจะรอเป็นเพื่อนเจ้าเอง” หลิงต้าจื้อกล่าวกับหลิงจื่ออวี้
นัยน์ตาของหลิงจื่ออวี้สว่างขึ้น พยักหน้าเบาๆ ในเวลานี้สายตาที่เขามองไปที่หลิงต้าจื้อนั้นดูอบอุ่นขึ้นมาก ไม่เย็นชาเหมือนเมื่อครู่แล้ว
อีกด้านหนึ่ง หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขาในทันที แต่ไปที่บ้านของซั่งกวนเซ่าเฉินก่อน
นางมองไปรั้วข้างนอกอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อพบว่าประตูของซั่งกวนเซ่าเฉินปิดอยู่ ด้านในเงียบเชียบ นี่แสดงได้ว่าซั่งกวนเซ่าเฉินไม่อยู่ที่บ้าน
“ถึงแม้ว่าข้าจะมาพบเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็หมดหนทางเสียแล้ว คนผู้นี้ช่างลึกลับจริงๆ ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวกับตัวเองอยู่ตรงนั้น
“มาทำอันใดอยู่ที่นี่? ” น้ำเสียงทุ้มลึกเข้ามาในโสตประสาทของหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์หันหน้าไปมองไปตามต้นเสียง เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา เวลานี้บนบ่าของบุรุษผู้นั้นกำลังแบกกวางป่าอยู่หนึ่งตัว คอของกวางป่าตัวนั้นมีเลือดสีแดงฉานหยดลงมา
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่กวางบนไหล่ของเขา ดวงตาประกายด้วยความอิจฉา ทว่า ในไม่กี่อึดใจนางก็นึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ จึงได้กล่าวถึงจุดประสงค์อย่างตรงไปตรงมา
หลังจากที่ซั่งกวนเซ่าเฉินได้ฟังสิ่งที่นางพูดจบ เขากล่าวนิ่งๆ “ข้าจะนำสิ่งของเข้าไปเก็บ เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
หลิงมู่เอ๋อร์มองไปที่กวางป่าบนไหล่ของเขา คิดว่ากวางตัวนี้น่าจะขายได้อย่างน้อยสิบตำลึงเงิน ถ้าขายให้คนรวยเหล่านั้น ก็จะมีราคาที่สูงกว่านี้ ถึงอย่างไรตอนนี้อากาศหนาวเหน็บ เหล่าคนรวยชอบกินเนื้อกวางย่างเป็นที่สุด กวางตัวนี้ของเขาสดถึงเพียงนี้ มากพอที่คนรวยเหล่านั้นแบ่งกินได้สองสามวัน ถ้าหากพบคนใจกว้าง ก็จะได้เงินหลายสิบตำลึงสำหรับรางวัลนี้
เมื่อซั่งกวนเซ่าเฉินออกมาจากด้านใน จึงเห็นหลิงมู่เอ๋อร์กำลังสำรวจลานบ้านของเขาอยู่
เขาพินิจมองสตรีตรงหน้าอย่างสงสัย ไม่รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไปเองหรือไม่ รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ตัวสูงขึ้นมากในช่วงนี้ แล้วผิวก็ยังนุ่มนวลขึ้นไม่น้อยเช่นกัน
เขาปิดประตูรั้วให้เรียบร้อย พลางกล่าวกับนาง “เจ้าบอกว่าต้องการจับไก่สองสามตัวเพื่อนำมาเลี้ยง? เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าเห็นรังไก่อยู่สองสามรัง หากทำกับดักสองสามหลุมที่นั่น น่าจะจับพวกมันได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณพี่ใหญ่ซั่งกวนแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มพร้อมกล่าว “เมื่อครอบครัวข้าร่ำรวยแล้ว จะขอบคุณพี่ใหญ่ซั่งกวนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ” ซั่งกวนเซ่าเฉินมองนางนิ่งๆ
นัยน์ตาของหญิงสาวเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง เห็นได้ชัดแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ลำบากขนาดนั้น แต่วาจาที่กล่าวออกจากปากของนางทำให้คนเชื่อถือเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่สงสัยในความมุ่งมั่นและความสามารถของนางเลยแม้แต่น้อย
เด็กหญิงผู้นี้ไม่ใช่สาวชาวบ้านธรรมดา อาจเป็นเพราะรอดจากเหตุการณ์เลวร้าย ดังนั้นจึงมีสติปัญญาที่ปราดเปรียว นางในตอนนี้ทั่วทั้งร่างแผ่พลังที่ฉลาดเฉียบแหลมกดข่มผู้คน ทำให้ผู้คนอยากเข้าใกล้
ซั่งกวนเซ่าเฉินพาหลิงมู่เอ๋อร์ไปยังรังไก่ป่าที่พบบนภูเขา
หลิงมู่เอ๋อร์มองเข้าไปที่ถ้ำนั้น กล่าวด้วยความประหลาดใจ “ที่นี่อบอุ่นยิ่งนัก! ไก่ป่าพวกนั้นช่างรู้จักวิธีหาสถานที่จริงๆ ”
“วันนั้นข้าพบไข่สองสามใบอยู่ที่นี่ เจ้าลองหาดูว่ายังมีอีกหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ผ่านไปหลายวันแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมีวางไข่เพิ่มอีกบ้างแล้ว” ซั่งกวนเซ่าเฉินกล่าวอยู่ข้างๆ
“ได้ ขอบคุณพี่ซั่งกวนมากเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่เกรงใจกับเขาเช่นกัน สิ่งที่นางต้องการในตอนนี้ก็คือไข่ไก่
อันที่จริงจับไก่นำกลับไปในตอนนี้ อากาศยังไม่อบอุ่น ไก่ป่าเหล่านั้นก็จะไม่สามารถออกไข่ได้
ตอนนี้นางต้องการไข่สองสามใบเพื่อทำเป็นเงินทุน หมู่บ้านเพิ่งประสบกับภัยพิบัติพายุหิมะ อาหารที่กินได้ก็ล้วนถูกกินไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว ทุกครอบครัวกินเสบียงเก่าจนไม่เหลือแล้ว คาดว่าแม้แต่ไข่ก็ยังไม่เหลือเช่นกัน แม้ว่าจะมี นางก็ไม่มีเงินที่จะซื้อ ตอนนี้ชีวิตของทุกคนก็ล้วนลำบาก ความยากจนของครอบครัวพวกเขาเป็นที่เลื่องลือในที่นี่ ถึงแม้ว่านางบอกว่ายินดีจะจ่ายเงินซื้อ ก็ไม่มีผู้ใดเชื่อนาง
นึกไม่ถึงเลยว่านางจะถูกไข่สองสามใบทำให้ลำบากเสียแล้ว เรื่องนี้อย่าได้เล่าต่อไปจนถึงยุคปัจจุบันโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นศักดิ์ศรีของนางจะกลายเป็นอะไร? โดยเฉพาะนกยูงเหล่านั้นในวงศ์ตระกูลที่ชอบเสแสร้งทำตนเป็นดั่งเฟิ่งหวง [1] ย่อมหัวเราะเยาะนางเป็นแน่
“พี่ใหญ่ซั่งกวน เมื่อครู่ท่านบอกว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนพบไข่สองสามใบ สิ่งนั้น… ท่านได้กินมันหรือยังเจ้าคะ? หากไม่ได้กินมัน สามารถ…ให้ข้ายืมได้หรือไม่? ” หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจพลางกล่าว
ซั่งกวนเซ่าเฉินตอบอย่างใจกว้าง “เจ้าต้องการใช้ก็ใช้เถิด! มีไข่ทั้งหมดแปดใบ ข้ายังไม่ได้กินแม้แต่ใบเดียว”
ราคาตามตลาดคือหนึ่งอีแปะสำหรับไข่หนึ่งใบ ไข่ป่าเช่นนี้เป็นหนึ่งอีแปะครึ่งต่อหนึ่งใบ หลิงมู่เอ๋อร์คำนวณจำนวนเงิน ไข่แปดใบเป็นสิบสองอีแปะ เช่นนั้นนางก็ติดหนี้ซั่งกวนเซ่าเฉินรวมทั้งหมดยี่สิบสองอีแปะ
เชิงอรรถ
[1] เฟิ่งหวง หมายถึง นกฟินิกซ์