เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 18 เมล็ดพันธุ์พืช
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 1 บทที่ 18 เมล็ดพันธุ์พืช
เล่มที่ 1 บทที่ 18 เมล็ดพันธุ์พืช
คนในหมู่บ้านทำความสะอาดถนนติดต่อกันหลายวัน มีสตรีที่มีพลังเยอะอย่างหลิงมู่เอ๋อร์ เดิมทีหินก้อนใหญ่ที่เป็นปัญหาก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปได้อย่างง่ายดาย ประหยัดเวลาพวกเขาไปได้ไม่น้อย ห้าวันต่อมา หลังจากที่ชาวบ้านหิวจนหมดสติกันไปหลายคน ในที่สุดปากทางเข้าหมู่บ้านตระกูลหลิงก็ทะลุผ่านได้แล้ว เมฆดำที่ปกคลุมศีรษะชาวบ้านในหมู่บ้านในที่สุดก็จางหายไป พวกชาวบ้านส่งเสียงอย่างดีใจ ในเวลานั้นเอง พวกเขาลืมความคับข้องหมองใจระหว่างกันและกัน ขอเพียงสามารถรักษาชีวิตนี้ต่อไปได้และมีความสุขก็เพียงพอแล้ว
บางทีพระเจ้าอาจจะรู้สึกว่าทรมานพวกเขามากพอแล้ว หลังจากทำความสะอาดปากทางได้ไม่นาน หิมะที่ตกอย่างหนักเกือบเดือนก็หยุดลงแล้ว
หยางซื่อยังเป็นห่วงหลิงต้าจื้อที่อยู่ในเมืองตลอด ปากทางผ่านได้แล้ว ชาวบ้านคนอื่นรีบไปซื้ออาหารที่ในเมือง หยางซื่อรีบเข้าเมืองเพื่อไปหาหลิงต้าจื้อ หลิงมู่เอ๋อร์ก็คิดอยากจะเข้าไปในเมือง แต่ว่าที่บ้านจำเป็นต้องมีคนดูแล ตอนนี้ปากทางเดินสะดวกแล้วก็ไม่จำเป็นต้องรีบ ดังนั้นจึงให้หยางซื่อไปหาหลิงต้าจื้อก่อน นางอยู่ดูแลหลิงจื่ออวี้
“มู่เอ๋อร์ พวกเราเอาเนื้อหมีดำที่เหลือไปขายในเมืองดีหรือไม่ หลังจากนั้นค่อยซื้ออาหารเล็กน้อยกลับมา?” หลิงจื่อเซวียนที่กำลังซ่อมประตูใหญ่อยู่เงยหน้ามองหลิงมู่เอ๋อร์
หลิงมู่เอ๋อร์ทำความสะอาดหิมะอยู่ในลานบ้าน ตอนนี้หิมะที่ตกหนักได้หยุดลงอย่างฉับพลัน พวกเขาจึงกวาดทำความสะอาดหิมะที่อยู่ในลานบ้านออกไป เพื่อเวลาหิมะละลายจะได้ไม่ลื่น หากเป็นเช่นนั้นจะหกล้มได้ง่าย
ได้ยินคำพูดของหลิงจื่อเซวียนแล้ว นางกล่าวโดยไม่เงยหน้าว่า “เนื้อหมีดำก็เหลือไม่เยอะแล้ว ถึงแม้ว่าจะเอาไปขายตอนนี้ ก็คิดว่าคงขายได้เงินไม่เท่าไหร่ ท่านแม่เหนื่อยมานาน ต้องบำรุงดีๆ ท่านไม่เห็นว่าหลายวันมานี้ท่านแม่มีชีวิตชีวามากขึ้นหรือเจ้าคะ?แม้ว่าจะทำงานหนักทุกวัน แต่ยิ่งมองยิ่งดูยิ่งอายุน้อยมากขึ้น นั่นเป็นเพราะว่านางกินเนื้อบ่อย มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกาย จึงทำให้นางถึงดูมีชีวิตชีวาเช่นนี้”
“เจ้าพูดก็มีเหตุผล ช่วงนี้ท่านแม่ดูมีชีวิตชีวามากขึ้นจริงๆ เดิมทีนางมีผมขาวเยอะมาก ยามนี้ผมเปลี่ยนเป็นทั้งนุ่มทั้งลื่น ผมขาวก็หายไปหมดแล้ว” หลิงจื่อเซวียนเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ทำงานที่อยู่ในมือต่อไป “อย่าพูดถึงแต่ท่านแม่เลย ช่วงนี้ข้าก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย ขาที่บาดเจ็บของข้า…ก็ดูเหมือนจะมีแรงขึ้นมาแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์พูดในใจ นั่นไม่ได้เป็นเพราะเนื้อหมีดำ แต่เป็นเพราะน้ำวิเศษในมิติต่างหาก
ถ้าใช้น้ำวิเศษในมิติมาทำกับข้าวทุกวัน เวลาผ่านไปนาน สารพิษที่อยู่ในร่างกายของพวกเขาก็จะค่อยๆ ถูกกำจัดออกไป มีประโยชน์ในการปรับสมดุลในร่างกายของพวกเขา ต่อไปสมรรถภาพร่างกายของคนในครอบครัวของพวกเขาจะต้องดีขึ้นแน่ โรงหมอเหล่านั้นก็อย่าคิดว่าจะได้เงินจากครอบครัวพวกเขาเลย แน่นอนว่า ในบ้านนี้มีหมอแผนโบราณที่ข้ามมิติมาจากยุคปัจจุบันอยู่ ก็ไม่ต้องไปหาหมอคนอื่นเช่นกัน
สองพี่น้องมัวแต่ยุ่งเรื่องทำงานในบ้านให้เสร็จ หลิงมู่เอ๋อร์ทำความสะอาดลานบ้านแล้ว ยังทำเล้าไก่ในลานบ้านอีก นางชอบเลี้ยงสัตว์ตัวน้อย รอฤดูหนาวผ่านไป อากาศก็ไม่ได้หนาวเย็นเช่นนี้อีก นางอยากเลี้ยงลูกเจี๊ยบจำนวนมาก การที่ดีที่สุดคือเลี้ยงสุนัขอีกหนึ่งตัว ในชาติก่อนนางมีสุนัขตัวน้อยหนึ่งตัวที่น่ารักมากๆ มีครั้งหนึ่งมีนักฆ่าซุ่มเข้ามาในบ้านของพวกเขา นางไม่ได้ระวังไปชั่วขณะหนึ่ง เกือบจะให้นักฆ่าทำแผนชั่วได้สำเร็จ ประจวบกับสุนัขตัวนั้นที่นางเลี้ยงกระโจนเข้าไปทำให้นักฆ่าสะดุดพอดี นางจึงไม่เสียชีวิต แต่น่าเสียดายที่มันกลับตายไปแล้ว
หลังจากนั้นนางไม่ได้เลี้ยงสุนัขอีก ในสายตาของนาง สุนัขเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ที่สุด นางไม่อยากพาสุนัขมาเสี่ยงอันตรายไปกับนางอีก ประกอบกับในใจนางยังคงลืมสุนัขที่ช่วยชีวิตนางตัวนั้นไม่ได้ ตอนนี้มาอีกยังโลกหนึ่ง นางอยากเลี้ยงสุนัขมาเป็นเพื่อนนาง ถึงแม้ที่นี่จะมีท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ชายและน้องชาย แต่ว่านางกลับรู้สึกว่านางขโมยความสุขของคนอื่นไป ถ้ามีสุนัขตัวน้อยเป็นเพื่อนนาง ในใจของนางก็คงจะเหงาน้อยลง!
“มู่เอ๋อร์ เซวียนจื่อ พวกเจ้ารีบมาดู…” เสียงของหยางซื่อดังเข้ามาจากด้านนอก
หลิงมู่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงแต่หยางซื่อที่จูงบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในลานบ้าน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่สว่างไสว แค่มองก็รู้ว่าอารมณ์ดียิ่งนัก
บุรุษวัยกลางคนมองไปที่หยางซื่ออย่างช่วยไม่ได้ เขาปล่อยให้นางจับจูงไป ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความให้ท้ายและลุ่มหลงต่อหยางซื่อ บุรุษวัยกลางคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านพ่อของเจ้าของร่างเดิมนั้นเอง
หลังจากปากทางเข้าหมู่บ้านถูกปิดกั้น หลิงต้าจื้อก็ไม่สามารถกลับบ้านได้ และไม่สามารถพาครอบครัวของเขาออกมาได้ ช่วงเวลาในตอนนั้นเขารู้สึกทุกข์ทรมานทุกวี่วัน ทำได้เพียงนับวันเวลาให้ผ่านไปในแต่ละวัน เขาก็อยากไปร้องเรียนที่ส่วนราชการ แต่เมื่อเขาเข้าไปในส่วนราชการก็ได้ยินข่าวภัยพิบัติหิมะที่รุนแรง ทุกที่ล้วนประสบกับดินถล่ม ราชสำนักก็อยากจะช่วย แต่ช่วยอะไรไม่ได้
เขารู้ว่าเสบียงอาหารที่บ้านเหลือไม่มาก ปกติล้วนแต่รอเงินจากการทำงานของเขาในการดำเนินชีวิต ตอนนี้ถูกปิดกั้นอยู่ด้านในเป็นเวลานานขนาดนั้นก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตรอดออกมาได้หรือไม่
ท่ามกลางความทุกข์ทรมานเช่นนี้ ในที่สุดหยางซื่อที่เขารอก็มาถึง เมื่อครู่เขาพักผ่อนอยู่ในวัดที่ทรุดโทรม ตอนที่เห็นหยางซื่อเดินเข้ามารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
หลิงจื่อเซวียนมองหลิงต้าจื้ออย่างตื่นเต้น แล้วเปล่งเสียงเรียกว่าท่านพ่อ
หลิงมู่เอ๋อร์มีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม รู้ว่าหลิงต้าจื้อเป็นพ่อที่ไม่เลว ทว่านางไม่เคยได้รับรู้สึกถึงความรักของพ่อเลย ตอนนี้ให้นางเรียกบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งว่าพ่อ ในชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกพูดออกมายากเล็กน้อย โชคดีที่หลิงต้าจื้อรู้ว่าเจ้าของร่างเดิมมีนิสัยค่อนข้างเก็บตัว ปกติก็พูดน้อย แม้ว่านางจะยืนโง่ๆ อยู่ตรงนั้น หลิงต้าจื้อก็ไม่รู้สึกว่าแปลกอะไร
“ข้าไปดูจืออวี้ก่อน” หลิงต้าจื้อรู้เรื่องที่หลิงจื่ออวี้เกือบตายจากอาการป่วยในระหว่างทางที่กลับมา ในใจของเขารู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ไม่ได้เอาบุตรชายของเขาไป เรื่องในครั้งนี้ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย ถ้าถนนยังไม่สามารถผ่านได้นานกว่านี้ พวกชาวบ้านกินทุกอย่างที่สามารถกินได้หมดแล้ว นั้นก็มีเพียงแต่จะอดตายเท่านั้น
หลิงต้าจื้อเป็นบุรุษ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ภรรยาและลูกๆ จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ ในใจของเขาทั้งทุกข์ใจทั้งเจ็บปวด
เสียงของหลิงต้าจื้อปลอบหลิงจื่ออวี้ดังออกมาจากภายในห้อง เสียงของหลิงต้าจื้อแผ่วเบาเป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับกลัวว่าจะทำให้หลิงจื่ออวี้ตกใจกลัวอย่างไรอย่างนั้น หลิงมู่เอ๋อร์รู้สึกอิจฉาครอบครัวนี้เล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะยากจน แต่จิตใจของพวกเขานั้นมั่งคั่ง เทียบกับพวกตระกูลสูงศักดิ์เหล่านั้น ชีวิตของพวกเขาถึงเรียกได้ว่าสมบูรณ์
“แม่ของลูก” หลิงต้าจื้อเอ่ยเรียกหยางซื่อ “ครั้งนี้ข้านำเงินกลับมาหนึ่งร้อยอีแปะ [1] นายเจ้าจิตใจดี ยังให้แป้งสาลีแก่ข้าผู้เดียวอีกสิบชั่ง เจ้ากับลูกล้วนลำบากกันมากแล้ว รอสักครู่ทำหมั่นโถว ให้ลูกลูกกินให้อิ่มเถิด!”
“พ่อของลูก เมื่อครู่คนเยอะ มีบางอย่างที่ข้ายังไม่ได้พูดออกมา” หยางซื่อเห็นแป้งสาลีมากมายขนาดนี้ ไหนเลยจะกล้ากินหมดได้อย่างไร?พวกเขายากจนจนกลัว หิว เห็นเสบียงอาหารก็คิดอยากจะเก็บเอาไว้แล้วค่อยๆ กิน ผนวกกับ ช่วงนี้พวกเขาก็ไม่ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจอันใดมากมาย เพราะฉะนั้น มีบางคำพูดที่ต้องพูดให้เขารู้อย่างชัดเจน
หยางซื่อดึงหลิงต้าจื้อมาในมุมห้อง เล่าเรื่องที่หลิงมู่เอ๋อร์หาอาหารให้ครอบครัวไปหนึ่งรอบ นางพูดไปพลางเช็ดน้ำตาไปพลาง “มีคนกล่าวว่าบุตรสาวเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ บุตรสาวพวกเราคนนี้ไม่ได้รักทะนุถนอมเสียเปล่าจริงๆ ท่านไม่รู้ว่านางรู้ความมากเพียงใด พ่อของลูก ยามปกติเวลาอยู่ข้างนอกท่านไม่ต้องเป็นห่วงพวกข้า ลูกลูกเติบใหญ่กันแล้ว สามารถช่วยข้าแบ่งเบาภาระข้าได้แล้ว ลูกทั้งสองคนนี้ยังไปบ้านท่านแม่ข้า นำเนื้อไปมอบให้พวกเขาสิบกว่าชั่ง บุตรที่มีใจกตัญญูเช่นนี้ มองไปทั่วทั้งหมู่บ้านก็ยังหาไม่พบ”
หลิงจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มบาง “ท่านแม่ ถ้าท่านยังชมพวกข้าอีก หางของพวกข้าก็จะลอยขึ้นฟ้าแล้วนะขอรับ”
หยางซื่อมองดุหลิงจื่อเซวียนหนึ่งที “แม่พูดความจริง ถ้าหากพวกเจ้ามีหาง ก็คงลอยขึ้นฟ้าไปแล้ว”
“ท่านแม่ น้องเล็กไม่ได้ลงจากเตียงมาหลายวันแล้ว ท่านไปในเมืองครั้งนี้ได้ไปซื้อผ้ามาบ้างหรือไม่เจ้าคะ?พวกเราทำเสื้อผ้าดีๆ ให้น้องเล็ก หลังจากนั้นให้เขาลงจากเตียงเดินเคลื่อนไหวสักหน่อย” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวเตือนหยางซื่อ
หยางซื่อตบหน้าผากของตนเอง กล่าวขึ้นทันที “เหตุใดข้าถึงลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้?โชคดีที่มู่เอ๋อร์เตือนสติข้า ข้าต้องรีบทำเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ต่อไปก็ให้จืออวี้ลงจากเตียงมาขยับร่างกาย ช่วงที่ผ่านมานี้ลำบากพวกลูกมากแล้ว”
หลิงมู่เอ๋อร์ตามหยางซื่อเข้าไปในห้อง นางเห็นหยางซื่อนำเสื้อหนึ่งชุดออกมาจากห่อผ้า เสื้อผ้าชุดนั้นเป็นสีน้ำเงิน เนื้อผ้าค่อนข้างหยาบ และไม่ใช่ผ้าใหม่ แต่เป็นเสื้อผ้าที่เก่าตัวหนึ่ง
“นี่เป็นเสื้อของท่านพ่อหรือเจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์คาดเดา
“ใช่แล้ว!ครั้งนี้ท่านพ่อของเจ้าเจอเจ้านายที่ไม่เลว ไม่เพียงแต่ให้แป้งท่านพ่อเจ้าเท่านั้น ยังนำเสื้อผ้าที่ไม่ใช้แล้วมอบให้พ่อเจ้าอีกด้วย ตัวนี้เป็นของพ่อเจ้าเมื่อก่อน ตัวที่พ่อเจ้าสวมใส่ในตอนนี้เป็นของเจ้านายพวกเขา ท่านพ่อเจ้าออกไปด้านนอกบ่อย ไม่สามารถใส่ที่เก่าเกินไปได้ จืออวี้ยังเป็นเด็ก ไม่ต้องสนว่าจะใส่ดีหรือไม่ดี เพราะฉะนั้นก็ใช้เสื้อผ้าเก่าของพ่อเจ้าทำเถิด!”
แน่นอนว่าหลิงมู่เอ๋อร์ไม่มีความคิดเห็นใด ในบ้านไม่มีเงินเหลือที่จะซื้อผ้าผืนใหม่ เสื้อผ้าบนตัวของพวกเขาล้วนเป็นของของผู้ใหญ่ที่แก้ให้เล็กลง รอหลังจากนางหาเงินได้แล้ว ค่อยหาวิธีซื้อผ้าเนื้อดีมาทำเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเขา ตอนนี้ให้ทุกคนผ่านอุปสรรคใหญ่ครั้งนี้ไปให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ชำนาญเรื่องการทำเสื้อผ้า แต่ว่าเรื่องเก็บชายเสื้อหรือปะเสื้อก็พอทำได้ ตระกูลแพทย์แผนโบราณที่นางใช้ชีวิตอยู่ก็มีวิถีชีวิตที่ใกล้เคียงกับสมัยโบราณอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด แต่ตระกูลของพวกเขาก็ยังเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบโบราณ
“มู่เอ๋อร์ ฝีมือการปักเย็บของเจ้าไม่เลว ดูเหมือนว่าสาวน้อยของบ้านพวกเราจะเติบใหญ่ขึ้นแล้วจริงๆ ” หยางซื่อเงยหน้ามองท่าทางของหลิงมู่เอ๋อร์ กล่าวชมเสียยกใหญ่
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มอย่างเขินอาย นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่หยางซื่อแล้วกล่าว “ท่านแม่ พี่ชายไม่ได้พูดเรื่องข้าให้ท่านฟังหรือเจ้าคะ?”
“เรื่องของเจ้าอะไรหรือ?” หยางซื่อทำงานในมือไปพลางเอ่ยถามไปพลาง
“ทุกวันตอนกลางคืนข้าจะฝันเห็นท่านปู่คนหนึ่ง ในฝันท่านสอนวิชาแพทย์ให้ข้า ข้าคิดว่า…ข้าอยากลองในสิ่งที่ท่านปู่สอนเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์มองที่หยางซื่อแล้วกล่าว “ท่านพ่อไม่ใช่ว่านำเงินกลับมาได้หนึ่งร้อยอีแปะหรือเจ้าคะ?ข้าอยากใช้เงินหนึ่งร้อยอีแปะนี้ซื้อยามารักษาขาให้พี่ชายเจ้าค่ะ”
เข็มในมือของหยางซื่อทิ่มปักเข้าในนิ้วมือ นางร้องเสียงต่ำ รีบร้อนดึงเข็มออกมา เงยหน้ามองไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างตกใจ
“ความหมายของเจ้าก็คือ…แผลที่ขาของพี่ชายเจ้ายังมีหนทางรักษาได้?” หยางซื่อกล่าวเสียงสั่นเครือ
“แน่นอน ท่านปู่ผู้นั้นบอกว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของพี่ชายไม่ได้ร้ายแรง เพียงแต่ตอนแรกที่รักษาไม่ได้เจอหมอที่ดีเท่านั้นเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ลูบที่แก้มแล้วกล่าว “ข้าได้ถามวิธีรักษาพี่ชายอย่างชัดเจนแล้ว เพียงแค่ให้ข้าห้าสิบอีแปะ ข้าจะซื้อยาทั้งหมดมารักษา ที่เหลืออีกห้าสิบอีแปะ ข้าจะซื้ออาหารและของใช้กลับมาให้พวกท่าน!”
“ถ้าสามารถรักษาขาพี่เจ้าหายดีได้จริงๆ อย่าพูดว่าห้าสิบอีแปะเลย แม้ว่าจะเอาเงินทั้งหมดไป พวกข้าก็ยินยอมด้วยความเต็มใจ” หยางซื่อกล่าว “แต่ว่า จะได้ประโยชน์จริงๆ ใช่หรือไม่?บางทีอาจจะเป็นเพียงความฝันธรรมดาเท่านั้น”
“ข้าก็เคยคิดว่าอาจจะเป็นเช่นนั้น กระนั้น ปกติความฝันจะขาดๆ หายๆ เป็นไปไม่ได้ที่ต่อเนื่องกันเช่นนี้” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “อีกอย่าง ตอนแรกก็คือท่านปู่ผู้นั้นสอนข้า ข้าถึงสามารถหาสมุนไพรบนภูเขาเพื่อรักษาให้กับน้องเล็กได้ นี่เป็นเพราะว่าอาการป่วยของน้องเล็กถูกรักษาหายแล้ว ข้าถึงได้มั่นใจว่าท่านปู่ผู้นั้นมีอยู่จริงเจ้าค่ะ”
เชิงอรรถ
[1] อีแปะ หมายถึง (文เหวิน) หน่วยเงินสำริด มีลักษณะแบนกลมและตรงกลางเหรียญมีรู ซึ่งมีค่าน้อยที่สุดในหน่วยเงินสมัยโบราณของจีน
1 ตำลึงทอง เท่ากับ 10 ตำลึงเงิน
1 ตำลึงเงิน เท่ากับ 1 ก้วนเหรียญทองแดง
1 ก้วน เท่ากับ 1000 อีแปะ (เหวิน)