เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 14 สถานการณ์ยากลำบาก
- Home
- เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ?
- เล่มที่ 1 บทที่ 14 สถานการณ์ยากลำบาก
เล่มที่ 1 บทที่ 14 สถานการณ์ยากลำบาก
ณ หมู่บ้านตระกูลหยาง ความมืดยามค่ำคืนย่างกรายเข้ามา ทั้งหมู่บ้านเงียบสงัด
ตามความทรงจำของหลิงมู่เอ๋อร์ คนในหมู่บ้านตระกูลหยางชอบเลี้ยงสุนัขเป็นพิเศษ ดังนั้นหลายครอบครัวจึงมีสุนัข เมื่อก่อนตอนที่นางตามหยางซื่อมาบ้านท่านยาย ก็จะได้ยินเสียงสุนัขเห่ามาจากที่ไกลๆ ทว่าการมาครั้งนี้นางไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยแม้แต่เสียงเดียว เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างหนึ่งว่าชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลหยางเองก็ถึงช่วงที่เข้าตาจนแล้ว สุนัขท้องถิ่นเหล่านั้นก็กลายเป็นอาหารที่อยู่ในท้องของพวกเขาแทน
ตามความทรงจำที่ค้นเจอ ที่อยู่ของถังซื่อคือกระท่อมหลังน้อยที่มุงด้วยหญ้าคาทรุดโทรมและเก่า กระท่อมน้อยถูกหิมะปกคลุม ท่าทางโครงเครงเหมือนจะพังลงมา
มีเสียงไอของหญิงชราดังออกมาจากในนั้น เสียงนั้นแหบชราเป็นอย่างยิ่ง นางจงใจที่จะกลั้นเอาไว้ ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย
หลิงมู่เอ๋อร์และหลิงจื่อเซวียนเดินเข้าไป คนหนึ่งอยู่ด้านหน้าคนหนึ่งอยู่ด้านหลัง รั้วด้านนอกขวางทางเดินของพวกเขา ประตูรั้วเพียงแค่ผลักก็พังลงแล้ว แต่พวกเขายังไม่รีบถลันเข้าไป
“ท่านยายขอรับ” หลิงจื่อเซวียนตะโกนเรียกเข้าไปด้านใน “ข้าคือเซวียนจื่อ ข้าและมู่เอ๋อร์มาเยี่ยมท่าน ขอเข้าไปได้หรือไม่ขอรับ?”
มีเสียงวุ่นวายดังออกมาจากด้านใน ก่อนจะตามด้วยคนที่วิ่งก้าวใหญ่ๆ ออกมา คืนวันนี้ไม่มีพระจันทร์ มืดมิดไปรอบด้าน มีเพียงสีเงินของหิมะที่ส่องสว่างเล็กน้อยในยามค่ำคืน แสงที่สะท้อนออกมาจากหิมะทำให้เห็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมา บุรุษผู้นั้นสวมใส่เสื้อผ้าบางเบา ผมยุ่งเป็นกระเซิง หน้าตาก็สกปรกมอมแมมเดินออกมา
“เซวียนจื่อ?นางหนูมู่?เป็นพวกเจ้าจริงๆ หรือ?” คนคนนั้นก็คือท่านลุงของพวกเขา หยางต้าหนิวกล่าวอย่างตื่นเต้น “พวกเจ้ามาได้อย่างไร?ดึกดื่นขนาดนี้ อันตรายยิ่งนัก!ปากทางของหมู่บ้านไม่ใช่ถูกปิดกั้นอยู่หรือ?พวกเจ้าผ่านเข้ามาได้อย่างไร?”
หลิงจื่อเซวียนและหลิงมู่เอ๋อร์สาวเท้าก้าวยาวๆ เข้าไปในลานบ้าน หลิงจื่อเซวียนฟังคำพูดของหยางต้าหนิว แล้วกล่าวเบาๆ “ข้าและน้องสาวข้ามภูเขามาขอรับ ท่านแม่เป็นห่วงท่านยายกับท่านลุงนัก ถ้าหากไม่ได้เห็นว่าพวกท่านปลอดภัยไร้โรคภัยไข้เจ็บ นางก็จะกินน้ำตาต่างข้าวทุกวัน อย่าพูดว่าเป็นภูเขาธรรมดา แม้จะเป็นภูเขาไฟ พวกข้าก็จะข้ามมาดูพวกท่านให้ได้ขอรับ”
“พวกเจ้าช่างน้ำใจนัก” หยางต้าหนิวทอดถอนหายใจยาวแล้วกล่าว “ข้ารู้นิสัยของน้องสาวผู้นั้น พวกเจ้าทั้งสองล้วนมีใจกตัญญูจริงๆ ”
“ต้าหนิว เหตุใดข้าถึงได้ยินเสียงของเซวียนจื่อเล่า?” ถังซื่ออายุเยอะมากแล้ว หูไม่ค่อยดี เกรงว่าเมื่อสักครู่ที่หลิงจื่อเซวียนตะโกนเรียกเสียงดังขนาดนั้น นางยังได้ยินไม่ชัด
หยางต้าหนิวพาสองพี่น้องเข้ามาในบ้าน เขาหันหน้าไปพูดกับถังซื่อที่อยู่ในห้องว่า “ท่านแม่ เซวียนจื่อกับนางหนูมู่มาเยี่ยมท่านแล้วขอรับ”
“เด็กน้อยสองคนนี้ช่างมีน้ำใจจริงๆ หิมะตกหนักเช่นนี้ พวกเขามาได้อย่างไร?ปากทางของหมู่บ้านไม่ใช่ถูกปิดกั้นอยู่หรือ?” เสียงแหบแห้งดังแว่วออกมาจากห้องข้างๆ
“ใช่ขอรับ!พวกเขาข้ามภูเขามา” หยางต้าหนิวสะอื้นพร้อมกล่าว “เด็กน้อยสองคนนี้ตัวแข็งไปหมดแล้ว”
“เด็กดี…เด็กดีของข้า…รีบมาให้ข้าดูหน่อยเถิด” ถังซื่อลงมาจากเตียง เดินลากขาเข้ามา
ตอนนี้นางไม่เพียงแต่หูไม่ดี สายตายังไม่ดีอีกด้วย ตอนนี้ยิ่งไม่มีแสงสว่าง นางจึงต้องคลำกำแพงเดินออกมา
หลิงมู่เอ๋อร์รีบร้อนเข้าไปรับ นางประคองถังซื่อไว้ พูดด้วยเสียงดัง “ท่านยาย ท่านพักผ่อนให้ดีก่อนเถิด พรุ่งนี้พวกเราค่อยคุยผลลัพธ์ก็เหมือนกันเจ้าค่ะ”
“นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร?ยายไม่ได้พบหน้าพวกเจ้ามานานมากแล้ว มา ให้ยายจับสักหน่อย เด็กน้อยมู่เอ๋อร์ของพวกเราผอมลงหรือไม่?” ถังซื่อตัวสั่นขณะสัมผัสที่แก้มของหลิงมู่เอ๋อร์ และกล่าวด้วยเสียงที่เจือแววสะอื้น “ดี ดี…ดูมีเนื้อหนังขึ้นบ้างเล็กน้อย ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ข้าเป็นห่วงพวกเจ้ามาโดยตลอด พวกเจ้ามาแล้ว ก้อนหินในใจของข้าก็วางลงได้แล้ว เด็กดี ดูแลแม่เจ้าให้ดีๆ นางเป็นคนที่มีชีวิตทุกข์ระทม ตอนนั้นยายคิดว่าให้แม่เจ้าไปแต่งแบบถงหย่างสี นางก็จะได้ใช้ชีวิตแบบไร้กังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า ไม่เคยคิดว่าเกือบจะทำร้ายนางไปชั่วชีวิต ยายละอายใจต่อแม่ของเจ้าจริงๆ!”
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ใช่แค่หนึ่งครั้งที่ได้ยินถังซื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ถังซื่อดูเหมือนจะทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง ยามที่เวลาผ่านไปสักระยะ นางก็จะหยิบออกมาพูดอยู่ตลอด
“ท่านยาย เรื่องเหล่านั้นไม่ต้องคิดถึงแล้ว ตอนนี้ท่านแม่ข้าสบายดียิ่งนักขอรับ” หลิงจื่อเซวียนพูดปลอบอยู่ข้างๆ “อากาศหนาวเกินไปแล้ว ท่านยายรีบกลับห้องไปเอนกายเถิด”
“ข้าไม่หนาว ข้ายังอยากคุยกับพวกเจ้าอยู่!” ถังซื่อจับมือหลิงจื่อเซวียนแล้วกล่าว “จือเซวียน เจ้ารังเกียจที่ยายพูดมากใช่หรือไม่?”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรขอรับ ?ข้าชอบฟังท่านยายพูดที่สุดแล้ว ท่านอยากจะพูดก็ได้ แต่กลับไปเอนกายบนเตียงเสียก่อน ข้าจะฟังท่านพูดอยู่ข้างๆ ” หลิงจื่อเซวียนกล่าวยิ้มๆ
“เช่นนั้นก็ได้!ยายฟังเจ้า” ถังซื่อยิ้มตาหยีแล้วกล่าว “ยังคงเป็นจื่อเซวียนของพวกเราที่มีใจกตัญญู รู้จักมาเยี่ยมยาย แต่ว่าพวกเจ้าสองพี่น้องข้ามเขามาเช่นนี้อันตรายเกินไปแล้ว บนเขามีสัตว์ป่าที่กินคน ถ้าหากพวกเจ้าสองพี่น้องถูกสัตว์ป่าคาบไป ยายจะบอกพ่อกับแม่เจ้าอย่างไร?”
หลิงมู่เอ๋อร์มองหลิงจื่อเซวียนที่ประคองถังซื่อกลับเข้าไปในห้องของถังซื่อ บ้านหลังทรุดโทรมหลังน้อยนี้มีเพียงสองห้องนอน ห้องหนึ่งเป็นของถังซื่อ อีกห้องหนึ่งเป็นของหยางต้าหนิวและลูกชายหลิงเสี่ยวหู่
หลิงมู่เอ๋อร์วางตะกร้าสะพายหลังลง แสร้งทำเป็นล้วงสิ่งของ แท้ที่จริงแล้วกำลังเอาเนื้อหมีดำออกมาจากมิติ
“ท่านลุง ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านมีอาหารเหลือมากน้อยเพียงใด พวกเราด้านนั้นแม้แต่เปลือกไม้ก็ไม่เหลือให้กินแล้ว นี่เป็นเหยื่อที่ข้าช่วยนายพรานในหมู่บ้านล่ามา เพราะว่าข้าคอยช่วยอยู่ข้างๆ ดังนั้นเขาเลยแบ่งให้ข้าส่วนหนึ่ง ครอบครัวของพวกข้ามีพอกินแล้ว พวกนี้คือสิ่งที่มอบให้ท่านลุง หวังว่าพวกท่านจะผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากพวกนี้ไปได้เจ้าค่ะ”
หลิงมู่เอ๋อร์นำเนื้อหมีดำวางบนมือของหยางต้าหนิว
หยางต้าหนิวมองไม่เห็นว่าคืออะไร แต่สามารถดมได้ถึงกลิ่น เขาคลำดู พูดอย่างตกใจอย่างยิ่ง “เหตุใดถึงเยอะขนาดนี้?นางหนูมู่ พวกข้ารับไว้ไม่ได้ ครอบครัวของพวกเจ้าเองก็ลำบาก เนื้อพวกนี้สามารถทำให้ครอบครัวพวกเจ้าอยู่ได้สิบวันถึงครึ่งเดือนเลยทีเดียว”
“เมื่อครู่ข้าได้พูดไปแล้ว ว่านายพรานท่านนั้นแบ่งให้ข้าส่วนหนึ่ง ส่วนนั้นข้าเหลือเพียงพอให้ครอบครัวของพวกข้ากินแล้ว พวกนี้ให้ท่านลุงกับท่านยายเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอีกครั้ง “พวกท่านก็น่าจะอาหารหมดแล้วใช่หรือไม่?ตอนนี้หิวหรือไม่เจ้าคะ?ไม่เช่นนั้นข้าไปตุ๋นน้ำแกงเนื้อให้พวกท่านสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“อ่า…ตอนนี้มืดไม่มีแสงไฟแล้ว” หยางต้าหนิวพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ “ไม่เช่นนั้นเป็นพรุ่งนี้เถิด!”
หยางต้าหนิวไม่เกรงใจหลิงมู่เอ๋อร์อีกต่อไป นี่เป็นหลานสาวของตระกูลตนเอง นางพูดถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าหากเขาไม่รับความหวังดีนี้ไว้ นั่นก็เท่ากับว่าเห็นนางเป็นคนนอกแล้ว
“ตุ๋นน้ำแกงไม่ต้องใช้แสงไฟเจ้าค่ะ ข้าทำให้พวกท่านกินก่อนสักหน่อย ถึงแม้ท่านจะพอทนไหว แต่ท่านยายกับเสี่ยวหู่ทนได้ไม่นานขนาดนั้นแน่เจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์พูดว่าจะทำก็จะทำ
เมื่อก่อนนางเจอเรื่องที่ลำบากกว่านี้มามากแล้ว เพียงแค่ตุ๋นน้ำแกงในที่มืด นี่จะไปยากอะไร?
เสียงดังมาจากห้องครัว ถังซื่อได้ยินเสียงพวกนั้น จึงกล่าวถามหลิงจื่อเซวียนที่อยู่ตรงหน้า “เซวียนจื่อ ท่านลุงกับน้องสาวเจ้าทำอันใดกันอยู่หรือ?”
“ครั้งนี้น้องสาวนำเนื้อหมีดำสามสิบชั่งมา ตอนนี้พวกเขาน่าจะกำลังทำอาหารกันอยู่ขอรับ!” หลิงจื่อเซวียนพูดอย่างนุ่มนวล “ท่านยาย ท่านลำบากแล้ว”
ถังซื่อได้ยินว่าพวกเขาไม่เพียงแต่มาเยี่ยมนาง แต่ยังนำอาหารที่ล้ำค่าเช่นนี้มาให้ด้วย ดวงตาที่แก่ชราเต็มไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ
“เด็กดี อย่าเอาแต่ดูแลยาย พวกเจ้าเองก็ห้ามหิวเช่นกัน” ถังซื่อจับมือหลิงจื่อเซวียนแล้วกล่าว “พวกเจ้าล้วนจิตใจดีเหมือนแม่เจ้า ”
“คุณยาย ท่านแม่ข้าเหมือนท่าน ท่านดีต่อพวกข้า พวกข้าล้วนจดจำไว้ในใจ” หลิงจื่อเซวียนพูดอย่างยิ้มๆ “หนาวหรือไม่ขอรับ?หลานชายจะได้เป่าลมอุ่นให้ท่าน”
เสียงร้องของเด็กน้อยดังมาจากห้องนอนข้างๆ เด็กผู้นั้นก็คือหยางเสี่ยวหู่ หยางเสี่ยวหู่เติบใหญ่มากับท่านย่าและท่านพ่อ นิสัยค่อนข้างเก็บตัว
ถังซื่อได้ยินเสียงของหยางเสี่ยวหู่ ก็ค่อยๆ ลงจากเตียง หลิงจื่อเซวียนประคองถังซื่อเดินไปที่ห้องข้างๆ
“หู่จื่อ อยากปัสสาวะใช่หรือไม่?” ถังซื่อถามอย่างห่วงใย
หยางเสี่ยวหู่ไม่เห็นเงาคน ได้ยินเพียงแต่เสียงของถังซื่อ พูดด้วยเสียงสะอื้น “ท่านย่า ท่านพ่อข้าล่ะขอรับ?เหตุใดท่านพ่อไม่อยู่แล้ว?”
“พ่อเจ้าอยู่ห้องครัว ลูกพี่ลูกน้องเจ้ามาเยี่ยม พวกเขายังนำอาหารมาด้วย หู่จื่อเด็กดี รออีกครู่หนึ่งก็จะมีของกินแล้ว” ถังซื่อเดินเข้ามา นั่งลงบนเตียง ลูบที่หัวของหยางเสี่ยวหู่พร้อมกล่าว
หยางเสี่ยวหู่ได้ยินว่ามีอาหารกินจึงพูดอย่างแปลกใจ “จริงหรือขอรับ?ท่านย่า พวกเรามีอาหารกินแล้วหรือ?”
“แน่นอน!อีกสักครู่ก็ขอบคุณลูกพี่ลูกน้องเจ้าเสีย พวกเขาข้ามภูเขามาจากสถานที่ไกลๆ บนภูเขามีแต่สัตว์ป่า พวกนั้นสามารถกินคนได้ ลูกพี่ลูกน้องเจ้ามาเยี่ยมพวกเรา ต้องเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต ในภายหลังเจ้าต้องดีกับลูกพี่ลูกน้อง และต้องกตัญญูต่อท่านอาหญิงของเจ้าด้วย” ถังซื่อปลูกฝังความคิดให้เสี่ยวหู่รู้จักตอบแทนบุญคุณ
“ข้าจะกตัญญูต่อท่านอาหญิงแน่นอน และจะเชื่อฟังลูกพี่ลูกน้องด้วยขอรับ” หยางเสี่ยวหู่พูดอย่างตื่นเต้น “ท่านย่า ยังอีกนานหรือไม่? ข้าหิวมากๆ เลย”
ในใจของหลิงจื่อเซวียนรู้สึกเจ็บปวดใจ เด็กตัวเล็กขนาดนี้ ในวัยที่ไร้กังวล กลับต้องทนทุกข์ทรมานกับความหิว
“ใกล้แล้ว” หลิงจื่อเซวียนลูบหัวหยางเสี่ยวหู่พร้อมกล่าว “รออีกสักครู่เสี่ยวหู่จะต้องกินให้หมดเกลี้ยง ไม่อย่างนั้นญาติผู้พี่ชายจะโกรธ”
“ข้าจะกินให้หมดเกลี้ยงแน่นอนขอรับ” หยางเสี่ยวหู่พูดรับปากเสียงดัง
ผ่านไปไม่นาน หลิงมู่เอ๋อร์ก็ยกน้ำแกงเนื้อเดินเข้ามา
ครั้งนี้นำเนื้อมาสามสิบชั่ง เมื่อครู่นางตุ๋นเนื้อไปแค่ครึ่งชั่ง นางตักเนื้อให้กับถังซื่อ หยางต้าหนิวและหยางเสี่ยวหู่
นางกับหลิงจื่อเซวียนไม่ได้กินอาหารเย็น เวลานี้ก็หิวมากๆ เช่นกันทว่าถ้าเทียบกับคนในตระกูลหยางสามคนแล้วนั้น ความหิวของพวกเขาสองคนก็ไม่นับว่าเป็นอันใด ดังนั้นนางกับหลิงจื่อเซวียนจึงดื่มแค่น้ำแกง
“นางหนูมู่ เซวียนจื่อ พวกเจ้าไม่กินหรือ?” ถึงแม้ว่าถังซื่อจะแก่ชราแล้ว แต่ก็รู้ทุกสิ่ง นางคีบเนื้อในถ้วย ยื่นไปทางหลิงจื่อเซวียน “ยายอายุมากแล้ว กินได้ไม่เยอะ พวกเจ้ากำลังเป็นหนุ่มเป็นสาวควรจะกินให้เยอะหน่อย เช่นนี้ถึงจะได้มีแรงทำสิ่งต่างๆ ”
“ข้ากับพี่ชายกินมาก่อนแล้วเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์พูด “ท่านยาย ท่านถึงจะต้องกินให้เยอะหน่อย!อากาศยามนี้หนาวนัก ดื่มน้ำแกงร้อนๆ ร่างกายจะได้อบอุ่นขึ้น วันนี้ตอนกลางคืนก็จะได้นอนหลับสบายแล้ว”
“คืนนี้พวกข้าต้องนอนหลับฝันดีแน่นอน” ถังซื่อพูดอย่างซาบซึ้งใจ “พวกข้าไม่ได้กินอาหารดีๆ มาห้าวันแล้ว ตอนนี้นั่งอยู่ยังรู้สึกเวียนหัว มีน้ำแกงถ้วยนี้แล้ว พวกข้าจะสามารถอยู่ได้อีกสองสามวัน”
“ไม่ใช่มีน้ำแกงถ้วยนี้จะทนอยู่ได้สองสามวัน แต่ว่ามีเนื้อกว่าหลายสิบชั่ง พวกท่านต้องผ่านช่วงฤดูหนาวนี้ไปได้อย่างแน่นอน ครั้งหน้าข้ากับพี่ชายล่าเหยื่อมาได้ก็จะนำมามอบให้กับพวกท่านอีกเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอยู่ข้างๆ “คนในหมู่บ้านของพวกเราร่วมมือกันจัดการปากทางที่ถล่มลงมา ขอเพียงแต่ทำให้ปากทางผ่านไปได้ ก็สามารถไปซื้อของในเมืองได้แล้วเจ้าค่ะ”