เกิดใหม่ทั้งทีขอเป็นผู้ดูแลฟาร์มผู้มั่งคั่งบ้างได้ไหมคะ? - เล่มที่ 1 บทที่ 12 ท่านยาย
เล่มที่ 1 บทที่ 12 ท่านยาย
บุรุษร่างกำยำหลายคนหามเฉิงจื่อ ภรรยาเฉิงจื่อตามไปอย่างใกล้ชิด ก่อนจากไป นางหันไปทางหลิงมู่เอ๋อร์แล้วยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
หลิงมู่เอ๋อร์เห็นความซาบซึ้งใจในดวงตาของนาง ในใจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก นางไม่เกรงกลัวปัญหา เพียงแต่กลัวคนที่นางช่วยอย่างยากลำบากไม่รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ ถ้าเป็นเช่นนี้ ไม่ช่วยยังจะดีเสียกว่า
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลทหาร ทุกคนที่นางรับมาดูแลล้วนเป็นคนที่มีฐานะทางสังคม นางอายุยังน้อย ตอนที่นางเพิ่งจะไปไม่มีผู้ใดเห็นนางอยู่ในสายตา ไม่ว่านางจะพูดอย่างไร ท่าทางพวกเขาล้วนมีท่าทางเหมือนไม่เชื่อ เวลาผ่านไปนาน นางก็รู้สึกหมดความอดทน ด้วยเหตุนี้จึงตั้งกฎหนึ่งข้อให้กับตนเอง ผู้ใดมีความสงสัยในการทำงานของนาง นางก็จะไม่ช่วย
“เด็กคนนี้มีความรู้วิชาแพทย์แต่ตั้งเมื่อใด?ยังทำให้ต้องมองใหม่จริงๆ ” ในกลุ่มคน มีคนพูดด้วยน้ำเสียงเบา
“เจ้าไม่ได้ฟังที่นางพูดหรือ?เจ็บป่วยมานานจนพอรักษาได้เองอยู่บ้าง เมื่อก่อนนางก็ดูเหมือนคนที่อ่อนแอเป็นโรคภัยไข้เจ็บ พี่ชายและน้องชายของนางก็ป่วยอยู่บ่อยๆ นางคอยปรนนิบัติอยู่ทุกวันเช่นนี้ ค่อยๆ รู้วิชาแพทย์มาบ้างก็ไม่แปลกอันใด” คนข้างๆ ดูท่าทางเหมือนไม่เห็นด้วย
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ได้สนใจต่อบทสนทนาของพวกเขาเลยสักนิด เฉิงจื่อผู้นั้นจะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ยังไม่แน่ นางแค่ทายาห้ามเลือดให้เขาก็เท่านั้น อากาศในตอนนี้เลวร้ายนัก คนที่แข็งแรงล้วนจะทนไม่อยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุรุษที่เสียเลือดอย่างหนักอย่างเขา ต่อไปจะมีบททดสอบอีกมากมายให้เขาต้องเผชิญหน้า
หากเขามีจิตใจที่เข้มแข็ง ประคับประคองอยู่รอดเพื่อภรรยาและลูกได้ เขาที่สูญเสียแขนหนึ่งข้างไปในวันข้างหน้าก็จะยิ่งมีชีวิตที่ยากลำบาก หนทางข้างหน้าก็ต้องดูว่าเขาจะเดินต่อไปอย่างไรแล้ว
นางถือตะกร้าเดินกลับไปถึงบ้าน หยางซื่อเฝ้ารอที่ประตูมองอยู่ไกลๆ เมื่อเห็นเงาของนางก็รีบปรี่เข้ามารับทันที
“เจ้าเด็กนี่ช่างดื้อจริงๆ แม่เคยบอกเจ้านานแล้ว ผักป่าที่อยู่บนเขานั้นถูกคนในหมู่บ้านขุดไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว หลังจากนี้ไปเจ้าไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายที่นั่นแล้ว” หยางซื่อจับมือของนาง เป่าลมให้มือนางไม่หยุด เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “อุ่นขึ้นหรือไม่?รีบเข้าไปผิงไฟเร็วเข้า ตัวจะแข็งหมดแล้ว”
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ไปบนภูเขา” หลิงมู่เอ๋อร์เปิดตะกร้าที่ด้านนอกเต็มไปด้วยหญ้า ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าว “เมื่อไม่นานมานี้ข้าฝากหมีดำไว้ที่บ้านของพี่ใหญ่ ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ?”
“นี่ นี่… ข้าลืมไปแล้วจริงๆ ” หยางซื่อเห็นเนื้อชิ้นใหญ่นี้ ดวงตาก็เต็มไปด้วยความสุข “พวกเราใช้กันอย่าประหยัดหน่อย จะต้องผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน”
“เมื่อครู่มีคนในหมู่บ้านหลายคนขึ้นไปหาอาหารบนภูเขา บังเอิญเจอเสือดาวตัวหนึ่ง มีคนถูกเสือดาวคาบไป ทั้งยังมีคนถูกกัดจนแขนขาดไปหนึ่งข้างด้วยเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์มองที่บ้าน กล่าวถาม “พี่ใหญ่ล่ะเจ้าคะ?เขาอยู่ในบ้านใช่หรือไม่?ช่วงนี้สัตว์ป่าในภูเขาล้วนบ้าคลั่งกันทั้งสิ้น อย่าให้เขาขึ้นภูเขาไปเจออันตรายเด็ดขาดเลยนะเจ้าคะ”
หลิงจื่อเซวียนเดินออกมาจากห้องข้างๆ เขาได้ยินคำพูดของหลิงมู่เอ๋อร์ ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “เจ้าเด็กคนนี้ยังมีหน้ามาสั่งสอนข้า ตอนนี้คนที่ชอบออกไปด้านนอกมากที่สุดก็คือเจ้า ในเมื่อรู้ว่าอันตราย หลังจากนี้ก็อย่าขึ้นเขาตามใจอีกล่ะ ครอบครัวของพวกเรายังดีกว่าบ้านของผู้อื่น กินอย่างประหยัดหน่อยก็พอจะรอดหน้าหนาวนี้ไปได้”
“แต่ว่า…” หลิงมู่เอ๋อร์พูดอย่างอับจนหนทาง “ทุกคนต่างวิ่งวุ่นหาหนทางเลี้ยงชีพ มีแต่คนในครอบครัวพวกเราแม้แต่ประตูบ้านยังไม่ออก นี่อาจจะแปลกเกินไปสักหน่อย!”
“นี่…” หยางซื่อขมวดคิ้ว “มู่เอ๋อร์พูดได้ถูกต้อง ครอบครัวพวกเราจำเป็นต้องมีคนออกไปหาอาหารข้างนอกบ้าง ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นสงสัยเอาได้”
“เมื่อครู่หลี่เจิ้งพูดว่าวันพรุ่งนี้ทุกคนจะต้องออกไปทำความสะอาดถนน ตอนนี้ทุกคนล้วนไม่มีอาหารกิน ทั้งยังต้องหิ้วท้องที่หิวไปทำความสะอาดถนนอีก ก็ไม่รู้ว่าจะอดทนได้อีกกี่วัน” หลิงมู่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “คนที่กินดีอยู่ดีย่อมไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่อดอยาก เขาไม่เคยหิวมาก่อน เพราะฉะนั้นเลยไม่รู้ถึงความรู้สึกที่ทรมานของท้องที่หิว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เกรงว่าทุกคนจะทนได้อีกไม่นาน”
“ถ้าสามารถทำความสะอาดถนนได้เร็วขึ้น ทุกคนก็จะสามารถออกไปซื้ออาหารในเมืองได้ เงินที่ยังพอเหลือในบ้าน ก็ยังสามารถซื้อเสื้อผ้าเครื่องใช้เพื่อป้องกันความหนาวได้ด้วย” หลิงจื่อเซวียนกล่าว “ในเมื่อไม่มีหนทางให้ถอยกลับ ตอนนี้พวกเขาก็ได้แค่หวังว่าจะทำความสะอาดถนนให้เสร็จภายในเร็ววัน อย่างน้อยนี่ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ทำงานหนักอย่างนี้แล้วท้องก็หิวด้วยจะไม่ไหวเอาได้”
“ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว แม้แต่ตัวเองยังยากที่จะดูแล คงไม่อาจช่วยผู้อื่นได้หรอกเจ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์ปัดเกล็ดหิมะที่อยู่บนตัว “น้องเล็กไม่เป็นอันใดแล้วใช่หรือไม่?ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย”
“เช่นนั้นเจ้าอยู่เป็นเพื่อนน้องเล็กเถิด แม่จะไปทำอาหาร” หยางซื่อกล่าวแล้วถือตะกร้าเข้าไปในห้องครัว นางเดินไปพลางบ่นพึมพำไปพลาง “ทั่วทั้งหมู่บ้านมีเพียงบ้านของหลี่เจิ้งเท่านั้นที่มีควันพวยพุ่งออกมา ครอบครัวพวกเราเองก็ต้องทำอาหารทุกวันเช่นกัน หากเป็นอย่างนี้ก็ยากที่จะปิดเป็นความลับแล้ว ยามนี้มีแต่ต้องพิจารณาให้ผ่านไปวันต่อวัน ได้แต่หวังว่าจะทำความสะอาดให้เสร็จภายในเร็ววัน ทุกคนก็จะมีข้าวกินกัน”
หลิงมู่เอ๋อร์ทอดมองแผ่นหลังของหยางซื่อ คิดอยู่ในใจ โชคดีที่หยางซื่อไม่ได้ขอให้แบ่งเนื้อหมีดำให้เท่าๆ กันอย่างใจดี ไม่เช่นนั้นครอบครัวคงจะมีชีวิตที่ลำบากมากกว่านี้
“มู่เอ๋อร์ พี่จะปรึกษากับเจ้าสักเรื่องหนึ่ง” หลิงจื่อเซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “ครอบครัวของพวกเราโชคดีที่ไม่ต้องอดอยาก แต่ว่าบ้านของท่านยายและท่านลุงนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง ไม่กี่วันนี้ท่านแม่ทอดถอนหายใจบ่อยๆ เป็นห่วงว่าพวกเขาจะผ่านไปไม่ได้ หมู่บ้านตระกูลหยางห่างจากที่บ้านของพวกเราไปไม่ไกลนัก แค่ข้ามภูเขาหนึ่งลูกไปก็ถึงแล้ว พี่กำลังคิดว่า ถ้ามีเนื้อหมีดำเหลืออยู่มาก จะมอบให้พวกเขาสักหน่อยพอจะได้หรือไม่?”
ในความทรงจำของหลิงมู่เอ๋อร์ ท่านยายถังซื่อเป็นหญิงหม้ายชรา นางเป็นหม้ายตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นสาว เลี้ยงดูบุตรสาวและบุตรชายตามลำพัง
เพื่อให้ท่านลุงหยางต้าหนิวได้ไปแต่งลูกสะใภ้ นางมอบหยางซื่อให้กับครอบครัวคนรวยเพื่อแต่งแบบถงหย่างสี [1] แต่น่าเสียดายที่บุตรชายบ้านนั้นป่วยเป็นโรคมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ อยู่ได้ไม่กี่ปีก็สิ้นแล้ว หยางซื่อถูกขับไล่ออกมา หลังจากนั้นจึงได้พบกับหลิงต้าจื้อ
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนในหมู่บ้านบอกว่าหยางซื่อโชคไม่ดี
ในสายตาของพวกเขา หยางซื่อทำให้สามีตายไปแล้วหนึ่งคน ตอนนี้ก็นำหายนะมาสู่บุตรทั้งสองคนจนพวกเขาล้มป่วย เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนที่ดวงแข็งเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้ว่าท่านยายถังซื่อจะสละความสุขของบุตรสาวเพื่อบุตรชาย แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร สตรีในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรี อีกอย่างหนึ่ง เวลานั้นครอบครัวของพวกเขาอับจนหนทาง ถังซื่อรู้สึกว่าแทนที่จะปล่อยให้บุตรสาวได้รับความลำบากอยู่บ้านของพวกเขา ไม่สู้ส่งนางไปบ้านคนรวยเสียยังดีกว่า อย่างน้อยหยางซื่อก็จะได้ไร้กังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร ไม่ต้องกังวลว่าท้องจะหิว
ทว่าในยุคสมัยนี้การแต่งแบบถงหย่างสีเป็นสิ่งที่ไร้ซึ่งศักดิ์ศรี แม้แต่ภรรยาบ่าวก็ยังสู้ไม่ได้ เวลานั้นถังซื่ออยู่ในครอบครัวนั้นต้องอดทนกับความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง
หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการวิธีของถังซื่อ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจนาง ความทรงจำของเจ้าของเดิมบอกนางว่า ชีวิตของท่านยายถังซื่อลำบากนัก ในเวลานั้นไม่ง่ายเลยที่นางจะใช้เงินที่ได้จากการขายบุตรสาวเพื่อให้ลูกชายได้แต่งภรรยา แต่เป็นเพราะว่าทางบ้านยากจน สตรีผู้นั้นให้กำเนิดบุตรชายได้ไม่นานก็หนีตามผู้อื่นไปแล้ว
“พี่ชาย ถนนสายเล็กของหมู่บ้านพวกเราถล่มลงมา ไม่มีวิธีที่จะเข้าไปในเมืองได้ ในเมื่อข้ามภูเขาลูกนี้ก็จะถึงหมู่บ้านตระกูลหยาง เช่นนั้นเราสามารถเข้าไปในเมืองจากเส้นทางนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ?” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยถาม
“เจ้าเด็กโง่ หมู่บ้านพวกเราล้อมรอบด้วยภูเขาทั้งสี่ทิศ อยากไปหมู่บ้านอื่นก็จำเป็นต้องผ่านเส้นทางที่ภูเขาถล่มลงมาสายนั้น แม้จะพูดว่าข้ามภูเขาไปก็เป็นหมู่บ้านตระกูลหยาง ทว่าเส้นทางของหมู่บ้านพวกเขาก็ยังสู้หมู่บ้านของพวกเราไม่ได้ ถ้าหากทะลุผ่านไปได้ล่ะก็ พวกเราก็ไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ทุกคนล้วนสิ้นหวังเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ของพวกเขาที่นั่นแย่กว่าพวกเราที่นี่”
หมู่บ้านตระกูลหยางกับหมู่บ้านตระกูลหลิงมีภูเขาลูกหนึ่งคั่นอยู่ ทั้งสองหมู่บ้านมักจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน ถ้าหากว่าทางของภูเขาในหมู่บ้านพวกเขาสามารถผ่านเข้าไปในหมู่บ้านได้ คนในหมู่บ้านนี้ก็คงจะเข้าไปในเมืองได้ตั้งนานแล้ว คงไม่รอจนถึงตอนนี้
หลิงมู่เอ๋อร์ครุ่นคิดแล้วกล่าว “ชีวิตความเป็นอยู่ของท่านยายลำบากมากจริงๆ พวกเราควรจะแบ่งเนื้อไปให้พวกเขาสักหน่อย”
“ข้ารู้ว่าน้องหญิงของข้าเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจดีงาม” หลิงจื่อเซวียนยกยิ้มอย่างเจิดจ้าสว่างไสว
หลิงจื่อเซวียนหน้าตางดงามและฉลาดหลักแหลม หากไม่ใช่เพราะว่าขาข้างนั้นได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้ว่าจะมีหญิงสาวมากมายเพียงใดที่ยินยอมแต่งให้กับเขา ตอนนั้นเขาเป็นบุรุษที่รูปงามที่สุดในหมู่บ้านละแวกนี้เลยทีเดียว
ตอนนี้เพียงเขายิ้ม ก็เผยให้เห็นฟันที่ขาวราวหิมะ ดวงตาที่อบอุ่นนุ่มนวล ราวกับสามารถเปล่งแสงประกายระยิบระยับได้
หลิงมู่เอ๋อร์มองที่ขาของหลิงจื่อเซวียน ก่อนกล่าว “พี่ชาย ข้าขอดูขาของท่านหน่อยจะได้หรือไม่?”
รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของหลิงจื่อเซวียนนั้นหยุดชะงักไป ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นขมขื่นทุกข์ระทม
“เจ้าเด็กโง่ มีอะไรน่าดูกัน?” หลิงจื่อเซวียนลูบที่ขาของตัวเอง ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าว “ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ขาที่ไร้ประโยชน์ข้างหนึ่งเท่านั้น”
“ท่านอย่าถอดใจเลยนะเจ้าคะ” หลิงมู่เอ๋อร์เห็นอารมณ์ที่หม่นหมองของหลิงจื่อเซวียน นางก็ยากที่จะพูดขออะไรอีก นางรู้ว่าตอนนั้นหลิงจื่อเซวียนไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก เพียงแค่ไม่ได้เจอหมอที่ดี ดังนั้นจึงทำให้การฟื้นตัวของขาที่บาดเจ็บนั้นล่าช้า รอนางรวบรวมสมุนไพรครบแล้ว หลังจากนั้นค่อยเริ่มรักษาให้เขาใหม่อีกสักรอบ ดูการเดินยามปกติของหลิงจื่อเซวียน ขอเพียงแต่แก้ไขให้ถูกต้องสักหน่อยก็สามารถคืนสู่สภาพปกติได้ “ต้องมีสักวัน ข้าจะทำให้พี่ชายกลับมาเป็นปกติให้ได้ ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ระยะนี้ข้ามักจะฝันเห็นท่านปู่หนวดขาวสอนวิชาแพทย์ให้ วันนี้แขนพี่เฉิงจื่อขาดเสียเลือดเป็นอย่างมาก ข้าไปหาสมุนไพรตามที่ท่านปู่หนวดขาวผู้นั้นสอนข้า คิดไม่ถึงว่าจะช่วยห้ามเลือดได้จริงๆ ท่านว่ามหัศจรรย์หรือไม่เจ้าคะ?”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หลิงจื่อเซวียนมองนางด้วยความตกใจ “ไม่ใช่ว่าน้องหญิงได้เจอกับเทพเซียนแล้วหรือ?”
หลิงมู่เอ๋อร์กล่าวอยู่ในใจ ไม่ใช่เทพเซียน แต่เป็นหมอเทวดา ถ้าหากไม่พูดเช่นนั้น จะอธิบายว่านางรู้วิชาแพทย์อย่างกะทันหันได้อย่างไร?
“ก็อาจจะเป็นไปได้!ทุกวันตอนกลางคืนเขาจะมาสอนข้าในความฝัน คงไม่ใช่คนหลอกลวงหรอกเจ้าคะ!” หลิงมู่เอ๋อร์ลูบที่แก้ม ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่เข้าใจเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยมู่เอ๋อร์ของพวกเรามีวาสนา” หลิงจื่อเซวียนไม่สงสัยในตัวของนาง คนในสมัยโบราณค่อนข้างหัวโบราณ ให้ความเคารพและยำเกรงเทพเจ้ามาก พวกที่ใช้ทฤษฎีอธิบายความเป็นจริงไม่ได้ก็ผลักให้เป็นเรื่องของเทพเซียนเกือบทั้งหมด “ไม่แปลกใจที่เจ้าทำให้อุณหภูมิของน้องเล็กลดลงได้ ที่แท้ก็มีเทพเซียนคอยชี้แนะนี่เอง”
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เขาปรากฏในความฝัน ไม่มาทำร้ายข้าแน่นอน” หลิงมู่เอ๋อร์แลบลิ้นแล้วกล่าว “ข้าจะไปบ้านพี่ใหญ่ท่านนั้นอีกสักรอบ หลังจากนั้นก็นำเนื้อหมีดำไปมอบให้ที่บ้านของท่านยายด้วย”
“เจ้าไป?ไม่ ไม่ เจ้าเป็นสตรีจะปีนข้ามภูเขาสูงขนาดนั้นคนเดียวได้อย่างไร?อีกอย่าง ในภูเขายังมีสัตว์ป่า ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายแน่” สีหน้าของหลิงจื่อเซวียนเปลี่ยน รีบร้อนกล่าว “แน่นอนว่าเป็นพี่ชายไป เรื่องนี้ก็ยกให้พี่ชายจัดการเถิด”
“พี่ชาย ภูเขาลูกนั้นข้าเดินไปหลายรอบแล้ว อีกอย่าง ข้ารู้ว่ามีเส้นทางลัดที่สามารถทะลุไปถึงบ้านของท่านยายได้ เมื่อก่อนใช่ก็ว่าข้าไม่เคยเดินผ่านไป” หลิงมู่เอ๋อร์ไม่ยอมให้หลิงจื่อเซวียนไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ขาเขาเป็นเช่นนั้น ถ้าหากเจอสัตว์ป่า แม้แต่จะวิ่งหนียังวิ่งหนีไม่ได้เลย โชคดีที่นางปีนต้นไม้ได้ และก็วิ่งหนีได้
“ไม่ได้!” หลิงจื่อเซวียน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็จะไม่ให้หลิงมู่เอ๋อร์ไปเสี่ยงอันตรายแน่ นี่เป็นความคิดของเขา แน่นอนว่าเขาต้องรับผิดชอบ พวกเขาพี่น้องไม่กี่คนมีแค่หลิงมู่เอ๋อร์เท่านั้นที่ปกติ ถ้าหากนางเกิดอันตรายอันใดขึ้น ไม่ต้องพูดเลยว่าหยางซื่อจะยอมรับความเจ็บปวดเช่นนี้ได้อีกหรือไม่ แม้แต่คำนินทาภายนอกเหล่านั้นก็ทำให้หยางซื่อกลายเป็นบ้าได้
เชิงอรรถ
[1] ถงหย่างสี หมายถึง เด็กผู้หญิงที่นำมาเลี้ยงในบ้านตั้งแต่เด็กเพื่อให้แต่งงานเป็นสะใภ้บ้านนั้นๆ เมื่อโตขึ้น