เกษียณทหารแล้วไปทำฟาร์มที่ต่างโลก - ตอนที่ 200
“เคล้งๆๆๆๆๆๆๆ!!!” เสียงคมดาบปะทะกันดังก้องป่าอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นพายุดาบที่รุนแรง และน่ากลัวอย่างยิ่งในสายตาของไซเลอร์ที่ตอนนี้ยืนอึ้งอ้าปากค้างไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อครู่ที่คิดว่าตนจะไม่รอดจากคมดาบของศัตรู จนมาถึงตอนนี้ที่ตัวเองรอดแล้วแต่กลับได้เห็นถึงพลังที่เหนือกว่าจินตนาการ
แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง จากแทนที่จะเบาบางลงด้วยหมดเรี่ยวแรง แต่กลับกลายเป็นโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น รัศมีคมดาบกว้างขึ้นเรื่อยๆจนเฉี่ยวแขนของนักธนูหนุ่มไปเล็กน้อย
“โอ้ย!” ไซเลอร์ก้มสำรวจต้นแขนตัวเองที่บาดเจ็บทันที และก็พบว่าชุดแบทเทิลสูทตรงจุดนั้นขาดออกเพราะไม่มีส่วนเกราะป้องกัน จึงปรากฏเป็นแผลเลือดออกเหมือนโดนมีดบาดขึ้นมา
‘อะไรวะ! มีดสายลมนั่นแรงขนาดที่ทำให้แบทเทิลสูทขาดได้เลยเหรอ ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเมื่อตะกี้ข้าไม่ได้ใส่ชุดนี้อยู่จะเป็นอย่างไร’ ชายหนุ่มคิดในใจอย่างหวาดเสียว ซึ่งหลังจากที่ได้รู้ฤทธิ์ของการประมาทจากลูกหลงมาแล้วไซเลอร์ก็ตัดสินใจถอยห่างออกจากวงต่อสู้ทันที
เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับการมาถึงของพายุดาบอีกลูก เพราะสัญญาณเตือนที่หน้ากากได้บ่งบอกชัดเจนว่านั่นก็คือเรญ่าที่เข้ามาช่วยตนนั่นเอง แต่ฉากต่อสู้ดั่งภัยพิบัติตรงหน้านี้ก็ทำให้ชายหนุ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาบางอย่างแทน
‘ทำไมพี่เรญ่าถึงใช้ท่าโจมตีได้เหมือนกับอีกฝ่ายเลยล่ะ?’ เขาก็ได้เพียงแต่สงสัยโดยยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัด จึงได้แต่ยืนเตรียมพร้อมสนับสนุนหากเรญ่าเพลี่ยงพล้ำเท่านั้น
นอกจากนักธนูหนุ่มแห่งซีเคร็ทการ์เด้นแล้ว ยังมีอีกหนึ่งนักดาบที่ยืนสังเกตการต่อสู้อยู่บนต้นไม้ห่างไปไม่ไกลนัก เดนิสมาถึงที่นี่พร้อมกับเห็นการจู่โจมด้วยท่าพายุหมุนของเรญ่าเพื่อช่วยชีวิตไซเลอร์พอดี ซึ่งนั้นก็ทำให้บุตรชายบารอนมีความสงสัยในเรื่องนี้ไม่ต่างจากสหายของตน
แต่สิ่งแรกที่เดนิสวิเคราะห์จากสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นชัดเจนยิ่งกว่า ด้วยประสบการณ์ และความรู้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ที่สถาบันลูน่าซองค์
‘หรือว่าผู้หญิงคนนั้นคือนักดาบคู่ผู้โด่งดัง จันทราพิฆาต แต่ทำไมพี่เรญ่าถึงใช้วิชาเดียวกันได้ด้วยล่ะ?’ ความสงสัยเข้ามาเกาะกุมในจิตใจของชายหนุ่ม ส่วนสถานการณ์ตรงหน้านั้นหนักหนาเกินกว่าที่เขาจะไปแทรกแซงได้ จึงต้องรอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
ทั้งเรญ่า และผู้หญิงลึกลับต่อสู้กันอย่างไม่หยุดยั้งอยู่กลางอากาศ เกลียวพายุหมุนวนอย่างรุนแรงไร้สิ้นสุด ทั้งต้นไม้ ใบไม้แห้งต่างก็ถูกบดขยี้จนย่อยยับเป็นผุยผง ภัยพิบัติวายุดาบที่เกิดขึ้นท่ามกลางรัตติกาลใต้ดาวอันมืดมน แต่ผู้คนในที่นั้นก็สังเกตเห็นมันได้อย่างชัดเจน
อดีตนักฆ่าสาวพุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความเร็ว และแม่นยำแต่เธอก็ไม่อาจฝ่าฟันผ่านการป้องกันที่ไร้ช่องโหว่ของอีกฝ่ายไปได้ ความกังวลใจเริ่มปรากฏผ่านสีหน้าใต้หน้ากากสีดำทมิฬ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เรญ่าต้องเสียสมาธิแม้แต่น้อย เพราะเธอยังพยายามหาโอกาสโจมตีอย่างไม่สิ้นสุด
ต่างจากสตรีลึกลับฝ่ายตรงข้ามเธอเริ่มจะอ่อนล้า จากการใช้มานาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน สายลมที่พัดพาเริ่มไม่สม่ำเสมอแต่เธอก็ไม่ได้ลดหย่อนการระวังภัยเลยแม้แต่น้อย ถึงพลังจะลดลงไปเยอะแต่การป้องกันในจุดที่สำคัญเธอก็สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ที่ติ
พายุที่ห่อหุ้มร่างยอดฝีมือทั้งสองเริ่มเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ ทั้งสองสอดประสานกันหมุนวนไปมา ดุจดั่งเชือกพันเกลียวม้วนขดกันขึ้นไปบนท้องฟ้า มันทั้งรุนแรงขึ้น เร็วขึ้น สูงขึ้น เสียงปะทะกันของคมดาบก้องกังวานมากขึ้นไม่หยุด จนกระทั่งมันขึ้นไปสูงหลายสิบเมตรคลื่นวายุก็ระเบิดออกกลางท้องฟ้า
“ตู้ม!” ระเบิดแรงอัดอากาศรุนแรงมาก แม้ความสูงจะยังไม่ถึงชั้นเมฆแต่ลมแรงนั้นก็พัดพาเมฆครึ้มบนท้องฟ้าให้กระจายออกไปไกลเปิดให้เห็นซึ่งพระจันทร์เสี้ยว และดวงดาวส่องสว่างลงมาจากฟ้า
ร่างของผู้หญิงสองคนลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางแสงดาว ดุจดั่งเทพีแห่งจันทราที่เสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่เพาะว่าสวมชุดต่อสู้สีดำกันทั้งสองฝ่าย ภาพคงจะงดงามกว่านี้เป็นแน่ ซึ่งนี่ก็เป็นความคิดของไซเลอร์ที่เงยหน้ามองขึ้นไปดูนั่นเอง
การต่อสู้หยุดลงสตรีทั้งสองยืนกำดาบคู่นิ่ง สายตาที่จดจ้องกันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แม้ว่าจะมีเพียงเรญ่าคนเดียวที่มองเห็นแววตาของอีกฝ่ายได้ชัดเจนจากแสงจันทร์ที่สาดลงมา แต่ท่าทางของเธอเองก็ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจเช่นกันว่าหญิงสาวใต้หน้ากากกำลังประหม่าอยู่ไม่น้อย
“ไม่เจอกันนาน เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเพียงนี้เชียวรึ เรญ่า” เสียงผู้หญิงลึกลับราบเรียบไร้ความรู้สึกกล่าวถามออกมา น้ำเสียงพอจะบ่งบอกได้ว่าเธออายุเลยวัย 40 ขึ้นไปแล้ว คำพูดนี้ยืนยันได้เลยว่าเธอผู้นี้เคยรู้จักอดีตนักฆ่าสาวมาก่อน
“อย่างไรข้าก็เทียบกับท่าน ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” น้ำเสียงของหญิงสาวฟังดูกังวลเมื่อต้องกล่าวออกมา แม้จะลอยตัวนิ่งกลางอากาศอย่างสง่างาม และมีหน้ากากปกปิดก็ตาม
“มาเข้าเรื่องกันดีกว่า เหตุใดเจ้าจึงมาปล้นนักโทษที่นี่? ทั้งที่ข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าตายไปแล้วด้วยฝีมือเจ้าป่าในเทือกเขาแม็กซิมัส” คำถามที่ฟังดูไร้เยื่อใยแบบแปลกๆนี้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ จนทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกกดดันไม่น้อย
“…เจ้าป่า ไว้ชีวิตข้า และให้โอกาสข้าติดตามเขา” ประโยคที่เรญ่ากล่าวออกมานี้เป็นความจริง แต่แน่นอนว่าคนภายนอกฟาร์มไม่อาจเข้าใจความหมายนี้ได้
“เจ้า! ไม่สิ เจ้าไม่ได้โกหก เพียงแต่เจ้าป่าไม่ใช่มอนสเตอร์วานรยักษ์สามตาอย่างที่คนร่ำลือกันสินะ” สตรีลึกลับแม้จะแปลกใจในตอนแรกที่ได้ยิน แต่เธอก็วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วในขั้นอัจฉริยะเลยทีเดียว
“วานรยักษ์นั่นได้พ่ายแพ้แก่เขา เจ้านายของข้า ดังนั้นเขาจึงกลายเป็นเจ้าป่าคนปัจจุบันเจ้าค่ะ” ครั้งนี้เรญ่ากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ภาคภูมิใจ เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาม
สตรีลึกลับถึงกับแปลกใจจนเบิกตากว้างไปแวบหนึ่ง แต่เธอก็ตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญมาก เพราะนั่นหมายความว่าคนผู้นั้นต้องมีความแข็งแกร่งในระดับจอมเวทย์ขั้นสูง หรือมากกว่านั้นเลยทีเดียว
ซึ่งก็ทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดเรญ่าจึงยอมรับใช้คนผู้นั้นแทนที่จะอยู่กับโอเมก้า ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลต่อความจริงอีกอย่างหนึ่งที่นักฆ่าของโอเมก้ายึดถือเป็นชีวิตจิตใจ นั่นก็คือซื่อสัตย์ต่อองค์กรด้วยชีวิต และจิตใจ เมื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโอเมก้าแล้วไม่อาจถอนตัวได้นั่นเอง
“แล้วเจ้านายของเจ้าคิดอย่างไรกับพวกเราโอเมก้ากันล่ะ?” ผู้หญิงลึกลับใต้ผ้าคลุมหน้าไม่ได้กล่าวโทษต่อความผิดของลูกศิษย์ แต่เธอข้ามไปเข้าเรื่องจุดยืนของภามแทน
“…ถ้าเพื่อยับยั้งสงครามที่เกิดขึ้นในภาคใต้ การทำลายโอเมก้าหากจำเป็นก็ต้องทำ!” เสียงที่เรญ่าพูดมาในครั้งนี้เด็ดขาดชัดเจน แสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่เป็นเพียงคำสั่งของเจ้านาย แต่มันคือสิ่งที่เธอยึดมั่นด้วยเช่นกัน
“นั่นคือทาง…ที่เจ้าเลือกสินะ” เสียงไร้อารมณ์กล่าวขึ้นเป็นการยอมรับในสิ่งที่หญิงสาวบอก ซึ่งมันก็หมายความว่าเรญ่าได้ตัดขาด และกลายเป็นศัตรูกับโอเมก้าแล้วนั่นเอง
เพียงกล่าวจบสายลมรอบตัวสตรีลึกลับก็หมุนวนรอบตัวของเธออีกครั้ง และมันก็เร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อยๆก่อนที่จะกลายเป็นพายุใหญ่ในที่สุด แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ผ้าปิดหน้าที่แน่นหนาหลุดออกไปเผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาววัย 20 ที่งดงามปานเทพธิดา แต่ให้ความรู้สึกที่เย็นชาดั่งยอดภูเขาน้ำแข็ง
เรญ่านั้นรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น เธอเคลื่อนไหวตั้งแต่ก่อนพายุจะก่อตัวเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะสายลมที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เธอที่ถอยหนีออกมาจึงยังคงอยู่ในขอบเขตของสายลมมรณะ
“ถอนตัวซะ! ข้าจะถ่วงเวลาเอาไว้ให้” นี่คือคำสั่งเดียวของหญิงสาวที่สั่งการไปยังลูกทีมชายหนุ่มทั้งสอง
“รับทราบ!” เสียงของเดนิส และไซเลอร์ตอบกลับมาแทบจะพร้อมกัน พวกเขาไม่ลังเลที่จะทำตามคำสั่งของหัวหน้าทีม แม้ว่าในใจจะเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ แต่พวกเขาเข้าใจเป็นอย่างดีถึงความอ่อนแอของตัวเอง จึงเลือกถอยแทนที่จะเป็นตัวถ่วง