เกษียณทหารแล้วไปทำฟาร์มที่ต่างโลก - ตอนที่ 185
เมื่อสเตล่าได้ยินว่าเจ้าของฟาร์มสนใจในเรื่องของผู้เดือดร้อนที่มาพักพิงในโรงเรียนลูน่าซองค์ ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย เพราะนี่คือหนึ่งในเรื่องที่เธอต้องการจะบอกกับภาม และฮาคิมนั่นเอง
“ครูใหญ่ได้ช่วยชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ เธอมีชื่อว่าเดซี่ เป็นภรรยาของพ่อค้าเคลย์” หญิงสาวผมขาวอธิบายออกมาเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ชายหนุ่มทั้งสองได้มีเวลาคิดก่อน
“ชื่อคุ้นๆ แต่คิดไม่ออก” ภามกล่าวออกมาพร้อมเกาหัวไปด้วย
“เคลย์ ก็ไอ้พ่อค้าหลังค่อมที่เอากล่องเวทย์ติดตามมาติดท้ายเกวียนของเจ้าไงล่ะ ภาม” ฮาคิมผู้อยู่ในวงการค้าย่อมจดจำพ่อค้าที่มีเอกลักษณ์คนนั้นได้ดี ยิ่งเมื่อรู้จากภามก่อนหน้านี้ว่าชายคนนั้นร่วมมือกับพวกโอเมก้าเพื่อเข้าถึงฟาร์มกลางหุบเขา จึงถือว่าคนคนนี้เป็นศัตรูไปด้วย
“อ้อ! ที่แท้ก็เจ้านั่นนี่เอง แล้วทำไมภรรยาของเขาถึงไปอยู่ที่ลูน่าซองค์ได้ล่ะ คงไม่ใช่ว่าแค่ครูใหญ่ช่วยเอาไว้ก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นเฉยๆหรอกนะ” ภามเข้าใจความหมายที่สเตล่าต้องการจะสื่อแล้วจึงสอบถามรายละเอียดอีกครั้ง
“เคลย์ถูกจับตัวไปลงโทษที่ทำงานพลาด สำหรับโอกาสการครอบครองฟาร์มที่สามารถเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี หากพลาดเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเสียกำไรไปมหาศาล ฮาเซลจึงยอมไม่ได้ และที่จริงเขาต้องการจับตัวเดซี่ไปขายเป็นทาสด้วย แต่เธอหนีมาได้จนพบกับครูใหญ่โดยบังเอิญ” เล่ามาจนถึงตรงนี้เลขาสาวก็ไม่พูดอะไรต่อ เพราะอารมณ์โกรธที่มีต่อฮาเซลกำลังถาโถมเข้ามา จนใบหน้าสวยๆนั้นกลายเป็นบิดเบี้ยวน่ากลัวขึ้นมาทันที
ภาม และฮาคิมถึงกลับต้องกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นความโกรธของหญิงสาวตรงหน้า แถมยังคิดในใจออกมาเป็นเรื่องเดียวกันอีกต่างหาก
‘ผู้หญิงเวลาโกรธนี่น่ากลัวจริงๆ นี่เราควรจะมีเมียดีไหมเนี่ย!’
แต่ก็เพียงครู่เดียวหลังจากที่สเตล่าจิบชาหอมๆจนหมดถ้วย ใจของเธอก็สงบลง และสามารถคุยเรื่องงานต่อได้อีกครั้ง
“ที่ข้ากล่าวถึงเรื่องราวของเดซี่ขึ้นมาก็เพราะว่า ข้าอยากให้ท่านภามไปช่วยชีวิตสามีของนางออกมา เพราะเขาน่าจะมีข้อมูลเบื้องลึกของฮาเซล และกลุ่มโอเมก้าอยู่ มันเป็นเรื่องดีที่เราจะใช้จุดอ่อนทางการค้าจัดการศัตรูโดยไม่ใช้กำลังทหาร
“อืม…แต่เคลย์ก็ยังถือว่าเป็นคนนอกสำหรับโอเมก้านะ ขนาดคนของข้าที่เคยเป็นลูกน้องข้างกายฮาเซลนางยังไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับแผนการเหล่านั้นเลย สเตล่าเจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะรู้ลึกรู้จริง?” ภามกล่าวถามกลับไปตามตรง เพราะที่ผ่านมาข้อมูลที่เรญ่าบอกกับภามทั้งหมด นั่นเกี่ยวกับหน่วยนักฆ่าของโอเมก้าเป็นส่วนใหญ่
“ถึงเขาจะไม่รู้เรื่องของฮาเซลลึกมากเท่าไร แต่ความสามารถที่แท้จริงของคนคนนี้ก็คือการหาข่าว ด้วยเครือข่ายข่าวสารใต้ดินที่เคลย์มี พวกเราจะสามารถล้วงลึกถึงข้อมูลของทั้งจักรวรรดิได้ไม่ยาก ยิ่งเมื่อรวมกับการเคลื่อนย้ายพริบตาของประตูมิติแล้ว มันก็เป็นการดีต่อการยับยั้งสงครามทางใต้ไม่ใช่เหรอ” สเตล่าพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มสดใสที่ดูมีเลศนัยผิดปกติ เพราะปกติผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนมาดนิ่ง และดูเย่อหยิ่งอยู่บ้าง
“…ข้าเข้าใจแล้วข้าจะช่วยเขาออกมาเอง แต่การรับคนร้ายกาจแบบนั้นมาเป็นพวกนี่รู้สึกไม่ค่อยดีเลยแฮะ” ภามนิ่งคิดไปสักครู่ก่อนที่จะตอบรับคำแนะนำจากหญิงสาว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
“คนที่ร้ายกาจกว่าเจ้านั่น ข้าก็ยังร่วมมือมาแล้ว เรื่องแค่นี้คงไม่ใช่ปัญหาของท่านภามหรอกนะเจ้าคะ” สเตล่าจ้องตาภามเพื่อต้องการคำยืนยันอีกครั้ง
“ข้าจัดการได้ ไม่มีปัญหาหรอก ว่าแต่คนที่ร้ายกว่าเจ้าเคลย์นั้นคือใครกันเหรอ? การที่เจ้ากล้าร่วมมือกับคนแบบนั้นแล้วไม่ระวังอาจมีปัญหาตามมาทีหลังได้นะ” เจ้าของฟาร์มถามกลับด้วยความเป็นห่วง
“เฮ้อ! นี่ท่านยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ? ข้าก็หมายถึงท่านนั่นแหละ ท่านภาม!” สเตล่ากรอกตามองบนแล้วตอบสวนกลับไปทันที
คำตอบของหญิงสาวทำให้ภามชะงักไปเหมือนกัน เมื่อเขาได้ยินพรรคพวกเรียกตัวเองว่าเป็นคนร้ายกาจ แต่หลังจากที่คิดดูดีๆอีกครั้งเมื่อเทียบกับเคลย์แล้ว สิ่งต่างๆที่ภามสามารถทำได้นั้นมันก็เรียกว่าร้ายกาจจริงๆนั่นแหละ แม้แต่คนมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างเคลย์ก็ไม่อาจเทียบได้เลยสักนิดเดียว
เมื่อธุระที่สเตล่ามาคุยกับภามเสร็จสิ้น เธอก็มอบเอกสารข้อมูลที่ได้จากเดซี่แก่ภาม และขอตัวกลับพร้อมฮาคิมที่เป็นคนพาเธอมา ซึ่งเจ้าของฟาร์มก็ไม่ลืมที่จะมอบบัตรประจำตัวข้ามมิติให้กับหญิงสาวใบหนึ่ง เมื่อคราวหน้าหากมีธุระก็สามารถเดินทางมาเองได้เลยโดยไม่ต้องมีใครพามาแล้ว
หลังจากนั้นภามก็ใช้เวลานั่งเงียบๆย่อยข้อมูลที่ได้มาจากสเตล่าทั้งหมด เพื่อวางแผนการช่วยเหลือพ่อค้าเคลย์ที่ถูกฮาเซลจับตัวเอาไว้ โดยส่วนตัวแล้วชายหนุ่มคิดว่าด้วยเวลาที่ผ่านไปนานแล้ว เคลย์อาจไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป แต่เมื่อเป็นคำขอจากทางครูใหญ่ภารกิจนี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรจะลองทำดู
ภายในย่านตลาดกลางเมืองฟลอริสตี้ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่มาจับจ่ายใช้สอยกัน ซึ่งแตกต่างไปจากเมืองฮาเวสตี้ดุจฟ้ากับเหว ทั้งที่สองเมืองนี้ต่างก็มีกลุ่มการค้าโอเมก้าควบคุมระบบเศรษฐกิจอยู่เช่นเดียวกัน
กลุ่มคนต่างถิ่นกลุ่มหนึ่งที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ที่เดินช้อปปิ้งซื้อของกันอย่างสนุกสนานนั้นเป็นที่สนใจของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดอย่างมาก พวกเขาหวังว่าคนกลุ่มนี้จะเข้ามารุมซื้อสินค้าในร้านของตน ทำให้วันนี้ตลาดครึกครื้นเป็นพิเศษด้วยเสียงตะโกนแข่งกันเรียกหาลูกค้า
“มาๆเร่เข้ามาเลยจ้า ขนมหวานอร่อยๆจ้า อ้ะ! แม่หนูคนนั้นน่ารักจังเลย อยากได้ขนมสักชิ้นสองชิ้นไหมจ๊ะ?” แม่ค้ารุ่นป้าหน้าตาใจดี เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อยก็รีบกวักมือเรียกทันที
“ว้าว! ทอฟฟี่ พี่วานีลเจ้าคะข้าอยากกินทอฟฟี่” เมื่อเด็กหญิงเห็นขนมสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลอ่อนชิ้นแบนๆโรยหน้าด้วยถั่ว อยู่ในถาดตรงหน้าก็รีบเรียกหญิงสาวที่ยืนข้างๆกายให้หันมาซื้อให้อย่างตื่นเต้น
“ได้สิ เดี๋ยวข้าซื้อให้แต่เอาแค่สามชิ้นพอนะ ถ้ากินมากเกินไปเดี๋ยวฟันผุแล้วแม่ของเจ้าจะว่าเอา” หญิงสาวผมแดงภายใต้ผ้าคลุมผมสีขาวลายลูกไม้กล่าวปรามเด็กหญิงเล็กน้อย ก่อนที่จะจ่ายเงินให้กับแม่ค้าทันที
หลังจากแอนเน่ได้รับห่อขนมมาถือไว้ดวงตาของเธอก็โตขึ้นด้วยความดีใจ แม้ว่าชีวิตในฟาร์มจะมีอาหารอร่อยไม่ขาด แต่เธอก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้กินขนมแบบนี้บ่อยนัก ยิ่งเป็นทอฟฟี่ที่เธอชอบนั้นก็เป็นเวลาเกือบสองปีได้ตั้งแต่ตกเป็นทาสก็ไม่ได้กินมันอีกเลย จนมาถึงวันนี้
ผู้คนรอบข้างต่างก็มองดูเด็กน้อยกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย แม้ว่ามันจะเหนียวติดฟันมากเพราะทำจากคาราเมลเป็นส่วนประกอบหลัก แต่แอนเน่ก็ยังคงเคี้ยวไม่หยุดทั้งที่ปกติวิธีกินมันก็แค่อมไว้ในปากแล้วค่อยๆกลืนน้ำตาลที่ละลายออกมาเท่านั้น ทำให้ทุกคนเห็นว่าเธอชอบทอฟฟี่นี้มากจริงๆ
ในขณะที่ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่แอนเน่ วานีลก็ถูกลากแขนออกมาจากกลุ่มโดยเพื่อนผมสีน้ำตาลอ่อนของเธอ หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นมีอาที่สวมผ้าคลุมผมสีน้ำตาลเข้มลายลูกไม้อยู่ ใบหน้าของแม่ค้าไวน์เหมือนจะไม่ค่อยพอใจเพื่อนของตัวเองสักเท่าไร
“นี่วานีล เจ้าซื้อของมากมายให้กับแอนเน่แบบนี้จะทำให้นางเสียนิสัยได้นะ ยิ่งน้าเมมี่เป็นคนเข้มงวดเรื่องเงินทองด้วย หากกลับไปแอนเน่อาจจะถูกดุได้เลย” มีอากล่าวเตือนเพื่อนด้วยความหวังดีที่มีต่อเด็กน้อย
“เจ้าก็คิดมากเกินไปนะมีอา พวกเราก็แค่อ้างว่าซื้อให้เองก็ได้ แล้วมันก็ไม่ใช่ของแพงอะไร แค่ผ้าสำหรับตัดชุดใหม่ และเครื่องประดับราคาถูกสองชิ้นเท่านั้นเอง สำหรับเด็กผู้หญิงที่ต้องผ่านความยากลำบากแสนสาหัส แค่นี้ก็ถือว่าไม่มากเกินไปหรอก” วานีลอธิบายอย่างยืดยาวจนจบก็เดินกลับไปหาเด็กน้อย โดยไม่สนใจเพื่อนสาวตัวดีอีก