ณ ที่ว่าการเมืองฟลอริสตี้ สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ได้มีลักษณะแตกต่างจากที่ว่าการเมืองของเมืองฟลอริสตี้มากนัก มันยังคงเป็นตึกเพดานสูงสามชั้น ที่มีโครงสร้างเป็นรูปตัวU แต่ขนาดของอาคารหลังนี้จะเล็กกว่าเพียงไม่มากเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามแต่กำลังทรัพย์ของเจ้าเมืองผู้ดูแลนั่นเอง
ในส่วนของปีกซ้ายของอาคารตลอดทั้งชั้นหนึ่งของส่วนนี้ คือที่ทำการของเหล่าทหารรักษาการณ์ ผู้มีหน้าที่ดูแลความสงบภายในเมือง รวมทั้งมีหน้าที่ดูแลนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินของที่นี่ด้วย ตอนนี้บริเวณโถงต้อนรับผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังมีปากเสียงกันยกใหญ่
“ข้าขอย้ำอีกครั้ง! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ให้พวกเจ้าเข้าไปคุยกับนักโทษคนนั้นเด็ดขาด! กลับไปได้แล้ว พวกข้ามีงานต้องทำอีกมาก!” ชายอ้วนหนวดเคราดกดำวัยกลางคน ในชุดเครื่องแบบทหารฟลอริสตี้สีแดงสดตอกย้ำเสียงแข็งกับการตัดสินใจของตัวเอง
“แต่เขาถูกจับมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วเหตุใดท่านจึงไม่สอบสวนเสียที ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามันเข้ามาที่โกดังของเราทำไม จะขโมยของรึก็ไม่ใช่ หือจะเป็นคู่แข่งทางการค้าของเราก็ได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญของทางเราจริงๆนะขอรับ ถ้าท่านไม่สะดวกก็ให้พวกเราไปถามเองดูสักหน่อยก็ยังดี” ทีเรียนที่เป็นผู้จัดการของบริษัทแม็กซิมัสในเมืองฟลอริสตี้พยายามเจรจากับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลนักโทษอย่างสุดความสามารถ
“ข้าบอกแล้วว่าข้าจะสอบสวนเอง ยังไงเรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่ของข้าโดยตรง พวกเจ้าแค่รอฟังข่าวก็พอแล้ว! จะกลับไปดีๆ หรือจะให้ข้าโยนเจ้าออกไป!” เจ้าหน้าที่เคราดกดำตะคอกกลับอย่างรุนแรงด้วยความโมโหที่อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้เสียที
“แต่!…” ยังไม่ทันจะเถียงกลับไปอีกครั้ง มือหนึ่งก็มาแตะที่ไหล่ของทีเรียนเพื่อปรามเขาเสียก่อน
บาร์เทนเดอร์หนวดโค้งรู้ว่าใครเข้ามาห้ามตนไว้ แต่ก็เพื่อยืนยันให้แน่ใจเขาจึงหันกลับไปเพื่อถามให้แน่ใจอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เข้ามาห้ามทีเรียนก็คือเจ้าของบริษัทแม็กซิมัสนั่นเอง
“พอเถอะ อย่าทำให้เจ้าหน้าที่เขาลำบากใจเลย พวกเขาคงมีงานยุ่งจริงๆนั่นแหละ วันนี้พวกเรากลับกันก่อนแล้วค่อยมาใหม่พรุ่งนี้” ภาม ชายหนุ่มผมดำรูปหล่อในชุดทักซิโด้สีดำเรียบหรู กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบา และชัดเจน แต่ก็หนักแน่นมั่นคง ดุจดั่งชายจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ก็ไม่ปาน
“…ขอรับท่านภาม” ทีเรียนยอมถอยง่ายๆตามคำสั่งของเจ้านายทันทีโดยไม่มีข้อแม้ จากนั้นภามก็เดินนำคนของตนหันหลังเดินออกจากห้องโถงแห่งนี้ไปโดยไม่หันกลับมาอีก
ด้วยอารมณ์ที่ปรับเปลี่ยนจากรุนแรง เป็นเงียบงันในทันทีทันใดของบาร์เทนเดอร์วัยกลางคนทำให้เจ้าหน้าที่อ้วนถึงกับทำตัวไม่ถูกงงชะงักไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว เพราะเขาคิดว่าคงจะต้องทะเลาะกันนานจนอาจถึงขั้นลงไม้ลงมือกันก็ได้ ซึ่งกว่าเขาจะรู้ตัวคนจากบริษัทแม็กซิมัสก็ออกไปจากห้องโถงนี้กันหมดแล้ว
“บัดซบ! นี่พวกมันไม่ไว้หน้าข้าเลยรึไง!” เจ้าหน้าที่อ้วนถึงกับสบถออกมาอย่างหัวเสีย ที่พวกของภามกลับไปโดยไม่ล่ำลาสักคำ เท่ากับเป็นการดูถูกเจ้าหน้าที่รักษาการณ์อย่างตน
บนรถม้าหรูสีดำที่ลากด้วยอาชาดำรูปลักษณ์ดีสี่ตัววิ่งไปตามถนนสายหลักของเมืองฟลอริสตี้ มุ่งไปสู่เขตการค้าด้านตะวันตกของเมือง ชาวบ้านต่างจ้องมองรถม้าที่ไม่คุ้นตาคันนี้อย่างสนอกสนใจ และสิ่งหนึ่งที่ดูเป็นเอกลักษณ์มากก็คือ ลวดลายอักษรตัว M สีขาวที่ล้อมรอบด้วยเครือเถาองุ่น
ภายในรถม้าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากภาม และทีเรียน ซึ่งพวกเขาก็กำลังปรึกษากันเกี่ยวกับเรื่องของชายหนุ่มที่แอบเข้ามาในโกดังของตน แต่ตอนนี้กลับถูกทหารซึ่งแน่นอนว่าเป็นพวกเดียวกับกลุ่มโอเมก้าจับตัวไปขังคุกไว้เฉยๆ โดยที่ยังไม่ได้สอบปากคำ และข้อมูลอะไรเลยสักนิด
“ท่านภามขอรับ การที่เรายอมถอยกลับมาแบบนี้ ข้าเกรงว่าเราอาจจะไม่ได้พบกับชายคนนั้นอีกแล้ว รวมถึงเบาะแสที่เราต้องการก็คงจะหายไปด้วย ถ้าแย่ที่สุดก็คือพวกโอเมก้ามันอาจจะได้ข้อมูลจากการทรมานเจ้านั่นแทน แต่เรากลับไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง” บาร์เทนเดอร์ที่ตอนนี้รับหน้าที่ผู้จัดการบริษัทขนส่งอดเป็นกังวลแทนเจ้านายไม่ได้
“เรื่องนี้มีทางออกอยู่นะเจ้าก็ใจเย็นลงก่อนเถอะ ข้าไม่ปล่อยให้ชายคนนั้นตายหรอก เพราะเขาคือโอกาสที่จะทำให้เราได้เป็นพันธมิตรกับผู้มีอำนาจระดับสูงได้เลยล่ะ ก่อนออกมาจากที่ว่าการเมืองข้าได้แจ้งเรญ่าผ่านบัตรประจำไปแล้วให้เธอคอยคุ้มกันเจ้านั่นอย่างลับๆ” ภามนั่งไขว่ห้างอิงหน้าต่างพร้อมกับตอบคำถามอย่างสบายใจ แม้ว่าท่าทางแบบนี้จะไม่สุภาพเมื่ออยู่ต่อหน้าแขก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนกันเองชายหนุ่มก็ยังทำตัวสบายๆเช่นเคย และหากสาวๆได้เห็นเขาในตอนนี้ก็คงจะต้องหลงเสน่ห์เป็นแน่
“เอ๋? หรือว่าท่านภามพอจะรู้เบื้องหลังของไอ้หนุ่มนั่นกับผู้หญิงที่หนีไปได้แล้วหรือขอรับ?” ทีเรียนจากเดิมที่อารมณ์เสีย แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นสนใจแทน
“สายลับที่ข้าส่งให้ติดตามผู้หญิงคนนั้นไปเพิ่งรายงานกลับมา ก่อนที่เราจะเข้าไปที่ว่าการเมืองน่ะ แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกนั้น แต่ก็ได้รู้ว่าเธอยังมีพวกอยู่อีกที่เมืองทางใต้ของเทือกเขาคูเลบรา และน่าจะกลับมาพร้อมพรรคพวกเพื่อช่วยผู้ชายที่เราจับได้นั่นแหละ” ชายหนุ่มอธิบายคร่าวๆถึงเรื่องที่เจ้ามังกรน้อยแพนดั้นแจ้งกลับมา
“แล้วมันเกี่ยวกับผู้มีอำนาจระดับสูงอย่างไรรึขอรับ? หรือว่าคนของนางที่เมืองทางใต้จะเป็นกองทัพอัศวินเวทมนตร์อย่างนั้นรึ?” ทีเรียนยังคงนึกภาพไม่ออก เพราะภามก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามตรงๆ
“เอาไว้เมื่อข้าได้ข้อมูลครบถ้วนเมื่อไรก็จะบอกเจ้าแล้วกัน เอาเป็นว่าเราต้องรักษาชีวิตชายคนนั้นไว้ก่อนก็แล้วกัน” ภามยังไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ เพราะข้อมูลที่แพนดั้นให้มานั้นยังน้อยเกินไป
ณ ฟาร์มกลางหุบเขาลึกลับ ยามเย็นที่พระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าในดินแดนกลางหุบเขาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังคงเป็นภาพอันสวยงาม ที่ให้ความผ่อนคลายแก่ผู้คนในฟาร์มอยู่เสมอทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็ยังคงมีหลายๆคนที่กำลังอารมณ์เสียกับเรื่องราววุ่นวายตั้งแต่เช้า
“บ้าๆๆ บ้าที่สุด ทำไมท่านภามถึงไม่ให้ข้าอยู่ที่บริษัทต่อกันนะ ทั้งที่ข้าก็สามารถช่วยงานได้ตั้งหลายอย่างแท้ๆ” หญิงสาวผมแดงบ่นออกมาเสียงดังขณะขับเกวียนออกมาจากประตูมิติยักษ์ด้านข้างโกดังสินค้าของฟาร์ม
“นี่เรามาถึงฟาร์มแล้วนะ วานีลเจ้าก็เก็บอาการหน่อยเถอะ หากเด็กๆเห็นครูของพวกเขาบ่นใส่เจ้านายลับหลังมันจะดูไม่ดีนะ” หญิงสาวผมสีน้ำตาลอ่อนที่นั่งข้างๆกันกล่าวเตือนเพื่อน
“มีอา เจ้าก็รู้ว่าสำหรับข้าท่านภามไม่ได้เป็นเพียงแค่เจ้านาย แต่เป็น…” เมื่อวานีลกำลังจะพูดต่อ แต่เมื่อได้สบตากับเพื่อนสาวจู่ๆเธอก็หยุดพูดไปทันทีเสียอย่างนั้น
“หืม…เจ้าเป็นอะไรไป? เงียบทำไมรึ?” มีอาที่เห็นอาการที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเพื่อนก็เอ่ยถามขึ้นมาทันที
“ข้าก็คงจะไม่ต้องพูดอะไรมากอยู่แล้ว เพราะเราสองคนก็ไม่ได้ต่างกันนี่นะ” วานีลตอบกลับพร้อมสีหน้ามีเลศนัย ซึ่งแน่นอนว่าหมายถึงตอนนี้ทั้งตัวเธอ และมีอาต่างก็ถูกสั่งให้กลับมาทำงานต่อที่ฟาร์มเหมือนกัน รวมทั้งความรู้สึกในใจที่มีให้กับชายหนุ่มเจ้าของฟาร์มก็ยังเหมือนกันอีกด้วย
“หึ! พอแล้ว เจ้าหยุดพูดเรื่องนี้เถอะวานีล มันยิ่งทำให้ข้าหงุดหงิดเมื่อนึกถึงว่ายังมีคนหนึ่งที่เขาให้ทำงานอยู่ข้างกายตลอดเวลา” จู่ๆมีอาที่เป็นคนรับฟังก็บ่นขึ้นมาแทน
แต่ยังไม่ทันที่วานีลจะได้ตอบกลับ ก็มีคนโผล่ออกมาจากม่านของเต็นท์คลุมเกวียนเอาไว้เสียก่อน
“นี่พวกเจ้าไม่ได้กำลังนินทาข้าอยู่ใช่ไหม?” บีดีเลียที่นั่งอยู่ด้านในเต็นท์ตะโกนโพล่งเข้ามาขัดจังหวะบทสนทนาพอดี ทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งตกใจ
“ไม่ใช่!” แต่เมื่อตั้งสติได้ทั้งมีอา และวานีลก็ตอบออกมาพร้อมกันพร้อมกับผลักหน้าของบุตรสาวเจ้าเมืองให้กลับเข้าไปในเต็นท์อย่างเดิม
แม้ว่าเภทภัยจากสงครามจะใกล้ฟาร์มลึกลับเข้ามาเรื่อยๆ แต่ด้วยความรัก ความสามัคคีของพวกเขาทำให้แผนการเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น และยังใช้ชีวิตที่แสนสงบสุขได้อยู่นั่นเอง
MANGA DISCUSSION