ภายใต้แสงจันทร์ยามท้องฟ้าไร้เมฆนั้น สาดส่องความสว่างไสวให้กับเมืองฮาเวสตี้ยามค่ำคืน เพียงแต่ในมุมมืดที่บดบังแสงนวลเหล่านั้น กลับให้ความรู้สึกได้ว่ามันเป็นอาณาเขตลึกลับที่ไม่ควรย่างกรายเข้าไป แต่ในเมื่อยังมีคนอยู่ในที่มืดลับตาผู้อื่นเช่นนี้ก็คงต้องเป็นเรื่องที่ไม่อาจให้ใครรับรู้ได้
“ข้าขอกล่าวกับเจ้าตามตรง ข้าต้องการให้มหาจอมเวทย์เกลเลียนมาเป็นพันธมิตรกับตระกูลกลาเซียของเรา และเจ้าจะต้องช่วยข้าเชิญชวนเขามาให้ได้” ท่านชายแห่งตระกูลกลาเซียกล่าวกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“…ข้าจะชักชวนเขาอย่างที่ท่านต้องการ…แต่ข้าไม่คิดว่าเขาจะเข้าร่วมกับตระกูลกลาเซีย” สเตล่ายังคงก้มต่ำไม่สบตาชายหนุ่ม และแม้ว่าสิ่งที่เขาบอกกับเธอจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่หญิงสาวก็ไม่แสดงอาการอะไร แถมยังตอบรับคำว่าที่ผู้นำตระกูล เพียงแต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวความคิดเห็นส่วนตัวให้กับชายตรงหน้าได้รับฟัง
“เรื่องนี้ไม่ได้เร่งด่วน แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะทำสำเร็จในเร็ววัน และเมื่อนั้นข้าจะพาเจ้ากลับไปยังตระกูลอย่างมีเกียรติ แต่ถ้าหากถึงเวลาแล้วเจ้าทำไม่สำเร็จ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับมายังตระกูลกลาเซียได้อีกต่อไป!” บุตรแห่งดยุคกล่าวถึงการมอบรางวัลอันสูงค่าให้กับหญิงสาว แต่ก็จบลงด้วยคำขู่ที่เด็ดขาด
“…ข้ารับทราบแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวคุกเข่าลงข้างหนึ่งก่อนจะกล่าวยืนยันรับคำสั่ง
ชายหนุ่มเหลือบตาลงมองหญิงสาวผู้คุกเข่าอยู่ตรงหน้าด้วยความเย็นชา ถ้าสเตล่าเงยหน้ามองสบตาผู้ยิ่งใหญ่ตรงหน้า ตัวเธอคงจะรู้สึกเหน็บหนาวไปถึงกระดูกเป็นแน่ แต่สิ่งนั้นเป็นเรื่องที่เธอตระหนักดีอยู่แล้ว เธอจึงเพียงก้มหน้ามองต่ำเลี่ยงการสบตาอย่างที่เคยเป็นมา
และในที่สุดเดเมียน กลาเซียก็เดินหันหลังจากไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก สเตล่ายังคงคุกเข่าอยู่อย่างนั้น ตัวของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อแม้ว่าอากาศภายนอกจะหนาวเย็นจับใจ ตอนนี้ทั้งร่างของเธอสั่นเทาไม่หยุด และมันไม่ใช่เพราะเธอหนาว แต่มันคือความอัดอั้นตันใจที่ใกล้จะปะทุออกมา
“แปะ!” ฝ่ามืออันอบอุ่นแตะลงที่ไหล่ของหญิงสาวผู้สั่นกลัว สัมผัสที่แผ่วเบา และไร้พลังยิ่งใหญ่อันใดมันกลับปลุกเธอให้ตื่นจากภวังค์ของฝันร้าย
“ฮะ!…ครูใหญ่!” สเตล่าประหลาดใจที่เจ้านายของเธอได้เข้ามานั่งอยู่เคียงข้าง ใบหน้าที่ถูกปกปิดด้วยผมเผ้าสีเทาอันยุ่งเหยิง ไม่อาจปิดบังสายตาอันอ่อนโยนของเขาได้ เพียงหญิงสาวได้สบตากับมหาจอมเวทย์ก็ทำให้น้ำตาของเธอถึงกับไหลออกมา
“โอ๋ๆๆ อย่าร้องไห้เลยนะ โอ๋ๆนิ่งซะลูก” ชายวัยกลางคนผู้ไม่น่าเชื่อถือปลอบโยนหญิงสาวในแบบของเขา
“แง! แง!….” หญิงสาวถึงกับปล่อยโฮกลั้นน้ำตาไม่ได้อีกต่อไป ความกดดันของท่านชายผู้แสนเย็นชานั้นไม่ธรรมดา เพียงแต่เมื่อได้รับการปลอบโยนจากคนประหลาดที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความรู้สึกที่อัดแน่นไว้ในใจดั่งเขื่อนที่เต็มไปด้วยน้ำ ถึงกับแตกทะลายออกมาอย่างรุนแรง
ภาพเหตุการณ์ตั้งแต่ที่หญิงสาวคุกเข่าให้กับบุตรชายแห่งดยุคกลาเซียจนถึงปัจจุบันที่เธอทรุดตัวร้องห่มร้องไห้ออกมา ทั้งหมดอยู่ในสายตาของมหาจอมเวทย์ และผู้มาเยือน ผู้สวมหน้ากากราชสีห์ทมิฬ ภามที่ยืนห่างออกไปใต้ต้นไม้ใหญ่มีแววตาเป็นประกายภายใต้หน้ากาก เมื่อเขาเข้าใจบางอย่าง
‘ท่านชายคนนี้ไม่ธรรมดา พลังของเขามีมากเกินกว่าครึ่งของเรามาหน่อย นั่นไม่ใช่ระดับของคนในอายุเท่านี้จะมีได้ ถ้าเขาเติบโตต่อไปอาจจะไปถึงระดับมหาจอมเวทย์เลยก็เป็นได้’
ชายหนุ่มในชุดแบทเทิลสูท ตั้งจิตสมาธิอย่างรวดเร็ว
‘สเตลท์โหมด’ เพียงพูดในใจคำสั่งก็ส่งตรงไปยังชุดสีดำที่สวมใส่อยู่ และมันก็ค่อยๆพาร่างชายหนุ่มจางหายไปกับอากาศดุจดั่งไม่มีตัวตน ภามใช้พลังเวทย์ขับเคลื่อนร่างล่องหนของเขาให้ลอยไปบนอากาศดุจดั่งไร้น้ำหนัก เขาพุ่งตัวไปยังจุดหมายทันทีโดยที่ไม่มีใครสามารถสัมผัสได้เลย
ภามลอยมาหยุดอยู่บนระเบียงของห้องจัดเลี้ยงเพื่อชื่นชมละครของเหล่าชนชั้นสูง แม้เหตุการณ์ตรงหน้ายังไม่มีอะไรที่สำคัญเกิดขึ้น นอกจากเริ่มการเต้นรำที่เปิดฟลอร์โดยท่านหญิงเรโคลเต้เจ้าภาพของงาน และท่านชายกลาเซียที่เพิ่งกลับเข้ามาในงานหมาดๆ
‘เฮ้อ! เธอดูมีความสุขมากเลยแฮะ แต่จากที่ฮาคิมกับครูใหญ่บอกเรามา ตระกูลกลาเซียเป็นฝ่ายที่สนับสนุนกลุ่มโอเมก้านี่ หวังว่าเธอคงไม่เปลี่ยนใจไปร่วมมือกับพวกมันเสียก่อนนะ บีดีเลีย’ จากภาพตรงหน้าที่เห็น เกษตรกรหนุ่มไม่อาจจะคิดเป็นอย่างอื่นได้ แต่เขาก็คงได้แต่ต้องเชื่อใจฮาคิม และมีอาที่มั่นใจในตัวของบุตรีดยุคผู้นี้
ภามยืนดูอยู่ภายนอกระเบียงจนเบื่อหน่าย เพราะครั้งนี้เหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสังเกตการณ์เรื่องราวในห้องจัดเลี้ยงนี้ได้ เพราะครูใหญ่ตัดสินใจพาเลขาของเขากลับบ้านไปพักผ่อน ส่วนฮาคิม และคนของตระกูลวีตาเร่ถูกตรวจสอบ และกีดกันไม่ให้เข้าร่วมงานตั้งแต่ต้น ยกเว้นก็เพียงไวน์รสเลิศเท่านั้น
อดีตทหารจึงใช้ทักษะย่องเบา ค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านฝูงชนเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงแสนหรูหรา ที่สว่างไสวไปด้วยลูกแก้วเวทมนตร์เรืองแสงราคาไม่น้อยที่ติดตั้งไปทั่วห้อง ภามเลือกที่จะไปยืนในจุดซึ่งไม่ค่อยมีคน เพื่อไม่ให้ใครต้องบังเอิญมาสัมผัสกับตัวตนลึกลับเช่นเขา
ชายหนุ่มเฝ้าสังเกตบุคคลสำคัญหลายคนที่มหาจอมเวทย์ได้บอกกล่าวกับเขาไว้ ซึ่งมันก็เป็นตามที่พอจะรู้มา เดอริก เฟลมเมีย ชายผมแดงในชุดขุนนางสีแดง เขาแสดงออกด้วยรอยยิ้ม และอัธยาศัยไมตรีที่ดีต่อทุกคน แต่เจ้าตัวก็ได้แต่ถอนหายใจเบื่อหน่ายกับงานเลี้ยง
แถมชายหนุ่มยังเดินออกไปจากห้องจัดเลี้ยงแล้วนั่งจิบไวน์คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ และเดินเข้ามาคุยกับแขกบ้างเป็นครั้งคราวตามมารยาท ส่วนหญิงสาวผมเขียววัย 17 ปี ในชุดราตรีสีขาวผู้งดงามซึ่งเป็นหลานสาวของครูใหญ่ก็สามารถวางตัวได้ดีในงานสังคม ทำให้เธอเป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลได้
‘แตกต่างจากเจ้าฤาษีนั่นมากจริงๆ ไม่นึกว่าจะเป็นญาติใกล้ชิดขนาดนี้’ ภามได้แต่วิเคราะห์อยู่ในใจ
ในส่วนของดยุคเรโคลเต้ เวเบอร์ และฮาเซลนั้น ก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกตินอกจากการสนทนาเรื่องทั่วไปที่ได้แต่โอ้อวดถึงสมบัติ และอวยกันไปมา หรือว่านี่คือสิ่งที่คนที่มีเล่ห์เหลี่ยมเขาทำกัน แต่ในที่สุดภามก็จับพิรุธบางอย่างได้ หลังจากที่คู่เต้นรำเปิดฟลอร์ที่โดดเด่นที่สุดของงานกลับมานั่งที่โต๊ะ
ทั้งสามคนสูงวัยนั้นกล่าวอวยชื่นชมไปที่เดเมียนอย่างเกินหน้าเกินตา แม้ว่าเจ้าเมืองจะเป็นเจ้าภาพ แต่เขาดูเหมือนต้องการประจบเอาใจชายหนุ่มเสียมากกว่า แม้แต่บีดีเลียที่นั่งอยู่ด้านข้างก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดนี้ และไม่นานเรื่องราวที่น่าสนใจปรากฏขึ้น
เจ้าเมืองในชุดสีเขียวลุกขึ้นยืนจากที่นั่ง พร้อมให้สัญญาณมือแก่วงดนตรีให้เงียบลง เพียงชั่วครู่หลังจากที่ทุกคนหยุด และให้ความสนใจไปที่เจ้าภาพ
“ข้าดยุคมาเอล เรโคลเต้ เจ้าเมืองฮาเวสตี้ขอขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านที่มางานเลี้ยงในวันนี้ ทุกท่านคงสงสัยว่างานครั้งนี้จัดขึ้นด้วยจุดประสงค์ใด ข้าผู้นี้ที่ได้เรียนเชิญพวกท่านมาก็เพื่อเป็นสักขีพยานในการหมั้นหมายระหว่างท่านชายเดเมียน กลาเซีย และบุตรสาวของข้าบีดีเลีย เรโคลเต้ในวันนี้นั่นเอง!” เสียงป่าวประกาศจากเจ้าภาพดังก้องทั่วห้องจัดเลี้ยง และตามมาด้วยเสียงการแสดงความยินดี
“ยินดีด้วยขอรับท่านดยุค ยินดีกับท่านชาย และท่านหญิงด้วยขอรับ” ผู้คนมากมายกล่าวแสดงความยินดีด้วยรอยยิ้ม และความตื่นเต้น
แต่คู่หมั้นทั้งสองกลับไม่เป็นเช่นนั้น ทางฝ่ายชายเพียงพยักหน้าตอบรับผู้อวยพรตามมารยาทด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม ส่วนฝ่ายหญิงนั้นหนักไปใหญ่ เธอกลับเหงื่อออกหน้าซีดไม่พูดไม่จา แม้จะพยายามยิ้มตอบรับบทสนทนา แต่มันก็แสดงให้เห็นชัดถึงความอึดอัด และไม่เต็มใจอย่างยิ่ง
‘อืม…เราต้องทำอะไรบางอย่าง’ ภามที่เห็นเรื่องทุกอย่างเริ่มวางแผนในใจ
MANGA DISCUSSION