“ท่านดยุคมาเอล เรโคลเต้ เจ้าเมืองฮาเวสตี้ มาถึงแล้ว!” เสียงประกาศดังก้องไปทั่วห้องจัดเลี้ยง วงดนตรีบนเวทีเปลี่ยนเพลงในทันที เพื่อเป็นการต้อนรับเจ้าภาพของงานในวันนี้ แขกผู้มีเกียรติภายในงานต่างเข้ามารอต้อนรับผู้มีอำนาจสูงสุดในเมืองศูนย์กลางแคว้นตะวันออกแห่งนี้
เจ้าเมืองผมดำในชุดขุนนางประจำตระกูลสีเขียวเดินเข้ามาในงาน ตามหลังมาด้วยเหล่าผู้รับใช้คนสนิท และผู้ที่ใกล้ชิดดยุคมากที่สุดก็คือชายวัยกลางคนผมสีม่วงสดหน้าตาเจ้าเล่ห์ รอย เวเบอร์นั่นเอง เจ้าเมืองสอดส่องสายตาหาเหล่าคนสำคัญภายในงานอย่างรวดเร็ว
และเขาก็สามารถพบได้ในเวลาไม่นาน บีดีเลียผู้เป็นบุตรสาว เดอริกผู้เป็นหลานชายของภรรยา ท่านชายเดเมียนผู้งดงาม ท่านหญิงอิลม่าผู้ทรงเสน่ห์ ฮาเซลหัวหน้ากลุ่มการค้าโอเมก้า และมหาจอมเวทย์นาธาน ทั้งหมดยืนอยู่ภายในฝูงชนที่มาต้อนรับเขานี่เอง ดยุคยิ้มอย่างยินดีที่คนเหล่านี้อยู่กันครบ
เหมือนกับว่าภายในใจของเจ้าเมืองผู้นี้จะมีแผนการบางอย่างอยู่ แต่ก็ไม่มีใครที่สังเกตเห็นพิรุธนี้เลยสักคน เพราะพวกเขากำลังจดจ้องไปที่ชายหนุ่มสูงศักดิ์ผู้งดงามที่เดินเข้ามาหาเจ้าเมืองผู้เป็นประธานในงาน
“ข้าในนามของตระกูลกลาเซีย ต้องขอขอบคุณท่านดยุคเป็นอย่างยิ่งที่เชิญข้ามาในงานเลี้ยงที่อบอุ่นนี้ขอรับ” เป็นอีกครั้งที่ท่านชายผู้สูงส่งกล่าวขอบคุณต่อหน้าเจ้าภาพ
“ฮ่ะๆๆ ไม่เป็นไรๆ ถือว่าเป็นเกียรติของข้าเสียอีกที่ท่านให้เกียรติมางานเลี้ยงเล็กๆนี้” เจ้าเมืองตอบกลับด้วยมารยาทเป็นอย่างดี
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอดื่มเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน ขอบคุณท่านดยุค” ท่านชายผมขาวยกแก้วไวน์ชูขึ้นแล้วยกดื่มจนหมดแก้ว เมื่อมวลชนเห็นดังนั้นก็ยกขึ้นดื่มตามพร้อมกล่าวขอบคุณ
แม้ว่าแขกในงานจะมารวมตัวล้อมรอบเจ้าภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะยินดียิ้มแย้มไปด้วย
“เฮ้อ…ข้าละเบื่อจริงๆกับการต้องประจบเอาใจคนพวกนี้” ชายหนวดเครารุงรังกล่าวขึ้นมาเบาๆ
“ไม่ได้นะเจ้าคะครูใหญ่ ยังไงเราก็ต้องรักษามารยาทไว้ก่อน เขาอุตส่าห์เชิญเรามา อีกอย่างท่านก็ดื่มไวน์ของเขาเข้าไปตั้งเยอะแล้วด้วย” หญิงสาวผมขาวผู้เป็นเลขากระซิบเตือน
“โธ่! สเตล่าเจ้ากลัวเกินไปแล้ว ข้ายังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด แถมข้าก็เป็นแขกที่เจ้าเมืองเชิญมา เจ้าต่างหากที่ไม่มีทางได้มาหากไม่ใช่ผู้ติดตามของข้า” ผู้ห่มหนังเสือเข้าไปกระซิบที่ข้างหูหญิงสาว
“นี่ท่าน!” เลขาสาวถึงกับหนังตากระตุกในความกวนประสาทของเจ้านาย
“เดี๋ยวๆๆ ทั้งสองคนอย่าเพิ่งทะเลาะกัน ข้าว่าเราไปที่โต๊ะกันดีว่านะขอรับ” เดอริกเข้ามาห้ามทัพของทั้งสองคนไว้ก่อนที่เรื่องจะวุ่นวายโดยใช่เหตุ
“หึ! ข้าเห็นแก่ท่านชายเดอริกหรอกนะถึงได้ยอมท่านน่ะครูใหญ่” หญิงสาวหันหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง แต่สายตาเธอนั้นกลับจับจ้องไปที่ชายหนุ่มผมขาวผู้สูงศักดิ์ด้วยความหวั่นเกรงเล็กน้อย
ณ ร้านไวน์วีตาเร่
ยามพลบค่ำถึงเวลาที่ร้านไวน์ใหญ่ประจำเมืองต้องปิดทำการในวันนี้ ระหว่างที่พนักงานทุกคนภายในร้านกำลังรีบเร่งเก็บกวาดอยู่นั้น ฮาคิมผู้เป็นเจ้าของกิจการก็กำลังนั่งทำบัญชีอยู่ที่ห้องทำงานของเขาด้วยความตั้งใจ
กิจการในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงในปีนี้ถือว่าดีกว่าปีก่อนๆเป็นอย่างมาก นอกจากวัตถุดิบอาหารที่มีความสมบูรณ์ และมีมาเรื่อยๆ รวมกับไวน์ชนิดใหม่ที่ออกสู่ตลาดมันทำให้งานของชายหนุ่มรัดตัวเป็นอย่างยิ่ง ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่มันก็เต็มไปด้วยความสุขจากความมั่งคั่งนี้
ถึงแม้ธุรกิจจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่พ่อค้าหนุ่มก็ตระหนักดีถึงภัยมืดที่รอการปะทุ หน้าฉากทางการค้ากิจการของเขาดียิ่งกว่าใครในเมืองฮาเวสตี้ แต่ในโลกเบื้องหลังกำลังของเขาภายในเมืองแห่งนี้กลับน้อยยิ่งนัก ไม่รู้ว่าวันไหนที่เขาจะต้องสูญเสีย ยังโชคดีที่เขาเป็นผู้ผูกขาดสินค้าสำคัญเพียงคนเดียว
ไม่เช่นนั้นกลุ่มการค้าโอเมก้า เจ้าเมืองฮาเวสตี้ หรือแม้แต่สมาคมการค้าแห่งเมืองฮาเวสตี้เองก็อาจจะเล่นงานเขาได้ การสร้างความมั่งคั่ง และมั่นคงให้กับตระกูลวีตาเร่ในตอนนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำเร่งด่วนไม่อาจพลาดพลั้งไปได้ แต่แล้วก็อาจจะมีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้
“พรึบ!” จู่ๆตะเกียง และกองไฟในปล่องไฟที่ให้แสงสว่างทั้งห้องก็ดับลง ฮาคิมที่ระวังตัวอยู่ตลอดเวลารีบชักดาบสั้นที่อยู่ใต้โต๊ะออกมาทันทีโดยไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย พร้อมกับลุกจากเก้าอี้ และถอยหลังไปจนชิดกับมุมห้อง
จากนั้นเขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม แล้วหยิบลูกแก้วขนาดเท่าลูกมะนาวมาถือไว้ในมือ เขาถ่ายพลังเวทย์เข้าไปเล็กน้อยลูกแก้วนั้นส่องแสงสีขาวสว่างจ้า ภายในห้องอันมืดมิดสว่างขึ้นมาอีกครั้ง และโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ พ่อค้าหนุ่มตะโกนเรียกเหล่าลูกน้องทันที
“มีคนร้ายในห้องของข้า! รีบมาช่วยหน่อยเร็วเข้า!” ฮาคิมตะโกนดังสุดเสียงโดยทันที แม้ว่าเขาจะยังไม่เห็นใครอื่นในห้องนี้เลยก็ตาม
ชายหนุ่มสอดส่องสายตาไปทั่วห้อง พร้อมกับฟังเสียงของเหล่าลูกน้องไปด้วย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักกลับไม่มีลูกน้องเข้ามาในห้องสักคน ทั้งที่ภายนอกก็ยังมีเสียงคุยเล่นกันตามปกติของเหล่าคนงาน ใช่แล้วพวกเขายังคุยเล่นกันตามปกติเหมือนไม่ได้ยินเสียงเจ้านาย ทั้งที่ปกติจะต้องได้ยินชัดเจนแน่นอน
“นี่! มีใครอยู่ด้านนอกบ้าง เข้ามาที” ฮาคิมตะโกนออกไป แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาสักคน หรือว่าเขาจะหลอนไปเอง
ลมอาจจะพัดเข้ามาในห้องทำให้ไฟดับ แต่…มันเป็นไปไม่ได้เพราะเขาปิดหน้าต่างทั้งหมดไว้เพื่อกันลมหนาวจากภายนอก และที่สำคัญชายหนุ่มยังสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ในห้องนอกจากเขา ด้วยสัญชาตญาณอันเฉียบคมของเขา ทำให้ตัวของฮาคิมเองเริ่มวิตกถึงสิ่งที่เขาไม่อาจต่อกรได้
“เจ้าเป็นใคร? เผยตัวออกมาซะ! อย่าคิดว่าซ่อนตัวอยู่แล้วจะเล่นงานข้าได้ง่ายๆหรอกนะ!” พ่อค้าผมสีน้ำตาลประกาศกล้า แววตาเผยชัดถึงความเข้มแข็งสามารถรับมือกับสิ่งลึกลับได้อย่างใจเย็น
‘หึๆๆ ข้าเชื่อว่าหากเป็นนักฆ่าของกลุ่มโอเมก้าก็ไม่อาจสังหารเจ้าได้โดยง่าย สมแล้วที่เป็นถึงว่าที่ผู้นำตระกูลวีตาเร่คนต่อไป’ เสียงแหบแห้งดังเข้ามาในสมองของพ่อค้าหนุ่ม หาใช่เสียงที่เปล่งออกมาจากปากไม่
“บัดซบ! แสดงตัวออกมา ถ้าอยากได้ชีวิตของข้านักก็เข้ามาได้เลยอย่าชักช้า!” ฮาคิมประกาศกล้าเสียงดังหวังให้อย่างน้อยคนภายนอกจะได้ยิน แม้ว่าสุดท้ายก็ไร้ความหมายก็ตาม
“แป๊ก!” เสียงดีดนิ้วดังขึ้นพร้อมกับไฟในเตาผิง และตะเกียงที่ลุกโชติช่วงขึ้นมาอีกครั้ง
ฮาคิมที่เห็นดังนั้นก็ยังคงมีสติมั่นคง แม้ในใจจะยังคงหวาดหวั่นกับสิ่งลึกลับตรงหน้า
‘มันคือจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งมาก ทั้งการปิดกั้นเสียงโดยรอบ การส่งโทรจิต การควบคุมไฟให้ติด และดับได้ แถมยังซ่อนตัวได้อย่างมิดชิด โดยไม่เห็นแม้แต่วงแหวนเวทย์แสดงออกมาสักนิด’ พ่อค้าหนุ่มสามารถวิเคราะห์พลังรูปแบบต่างๆของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างรวดเร็ว
‘โอ้โห! เก่งจริงๆนะเจ้าเนี่ยเป็นพ่อค้าแน่รึเปล่า หรือว่าเจ้าเป็นจอมเวทย์ที่ปลอมตัวมา?” เสียงแหบแห้งหยอกล้อชายหนุ่ม
“อ่านใจ! เจ้าสามารถอ่านใจข้าได้อย่างนั้นรึ?” คราวนี้ฮาคิมถึงกับหน้าซีด เพราะมีเพียงจอมเวทย์ระดับสูงที่สามารถอ่านใจได้แม้จะอยู่ในระยะไกล
ไม่ทันที่ฮาคิมจะได้หวาดหวั่นใจต่อไป อากาศที่ว่างเปล่าด้านหน้าของเขาก็เริ่มบิดเบี้ยว และค่อยๆปรากฏร่างสีดำตาสีแดงอันน่าเกรงขามขึ้นมาแทน
“ปะ…ปีศาจ!” เจ้าของร้านไวน์ตะโกนขึ้นมาเสียงดังด้วยความตกใจ จนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาทั้งตัว
“ปีศาจอย่างนั้นเหรอ? ฮ่ะๆๆ อืม…ก็คล้ายๆอยู่ล่ะนะ แต่เสียใจด้วยฮาคิม ที่ข้านั้นไม่ใช่ปีศาจ” เสียงแหบพล่าของร่างสองขาสีดำรู้สึกขำขันกับท่าทางเครียดขึงของคนตรงหน้า
“แล้วจะ…เจ้าเป็นใคร จอมเวทย์แห่งความตายอย่างนั้นรึ?” แม้จะขนลุกซู่ไปทั้งตัวแต่พ่อค้าหนุ่มก็ยังถามกลับไป
“ไม่ได้เจอกันแป๊บเดียว เจ้าก็ลืมข้าเสียแล้วเหรอเพื่อน” กล่าวจบชายชุดดำก็ปลดหน้ากากออกซึ่งมันทำให้ชิ้นส่วนที่ครอบศีรษะทั้งหมดหายไป จนเห็นทั้งหัวได้ชัดเจน
“ภาม!”
MANGA DISCUSSION