เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ - ตอนที่ 89 สหายชั่วชีวิต
หลงนึกไปว่าเป็นสมบัติวิเศษอันใด สมัยนี้หากพูดกันเรื่องฝีมือเขาต้องดูกันที่ทักษะ กู่ชี่ (ความซื่อตรง) มีประโยชน์ใด
“กู่ชี่ (ศาสตราบรรพกาล) ไม่เข้าตาเจ้าเลยรึ? ” ซูมู่ซวนแสร้งเป็นเมามาย ศาสตราบรรพกาลที่ว่าไม่ใช่ของแหกตาที่ไหน อาจจะพิสดารไปบ้างเท่านั้น พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดของตระกูลซูไม่อาจนำมาใช้งานได้
จะมีประโยชน์อะไร ศาสตราบรรพกาลต่อให้ร้ายกาจขนาดไหนก็เป็นแค่วัตถุชิ้นหนึ่ง หากสามารถเอามาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนเพื่อช่วยให้ตระกูลซูรอดพ้นวิกฤติไปได้ ย่อมนับว่าคุ้มค่าแล้ว
ดังนั้นซูมู่ซวนจึงวางอุบาย ตั้งใจดื่มให้เมาแล้วบอกเล่าถึงศาสตราบรรพกาลให้ฉินจิ่วเกอได้ทราบ ล่อให้อีกฝ่ายติดกับ ส่วนเรื่องที่ว่ามันจะใช้ศาสตราบรรพกาลได้หรือไม่นั้น เกรงว่าจะมีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิด เป็นการลงแรงอย่างเสียเปล่า
ศาสตราวุธทุกชนิดแบ่งตามระดับ เหนือกว่าศาสตรากฎเกณฑ์คืออาวุธเต๋า เหนือกว่าอาวุธเต๋าก็คือศาสตราบรรพกาล
กระบี่หนักไร้คมของฉินจิ่วเกอก็คืออาวุธเต๋า
โลกนี้นอกจากผู้ฝึกตนยังมีนักปรุงยาและนักจัดวางค่ายกลอยู่อีก นักจัดวางค่ายกลยังรวมถึงยันต์อักขระและการผลิตอาวุธ
ยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุสามารถใช้ดวงธาตุของตนผลิตอาวุธเต๋า แต่กับศาสตราบรรพกาลนั้นไม่ได้ ศาสตราระดับนั้นมีแต่นักจัดวางค่ายกลจึงจะสร้างออกมาได้
ศาสตราบรรพกาลมีอายุการใช้งานยาวนานนานหลายร้อยปี ภายในมีไอวิญญาณบรรจุอยู่ ทั้งพลานุภาพและพลังจู่โจมล้วนไม่ใช่สิ่งที่อาวุธเต๋าจะเทียบเทียมได้
อาวุธเต๋าและศาสตราบรรพกาลถือเป็นจุดแบ่งความต่างชั้น ศาสตราวุธที่นักจัดวางค่ายกลตั้งใจรังสรรค์ออกมานั้นย่อมต้องเป็นของล้ำค่าอย่างไม่ต้องสงสัย
ขบคิดอยู่ครึ่งค่อนวันฉินจิ่วเกอถึงค่อยเข้าใจ กู่ชี่ (ความซื่อตรง) ที่มันพูดกับ (กู่ชี่) ศาสตราบรรพกาลที่ซูมู่ซวนว่าเป็นคนละเรื่องกัน ที่แท้ดันปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเริ่ม
“ความหมายของเจ้าคือหากข้าช่วยพวกเจ้าเข้าแข่ง ไม่เพียงศิลาวิญญาณที่เจ้าติดค้างเท่านั้น แม้แต่ศาสตราบรรพกาลก็ยังจะมอบให้ข้า? ”
ฉินจิ่วเกอไม่กล้าเชื่อเลยว่าโชคดีจะมาอย่างปุบปับแบบนี้ หัวใจดวงน้อยๆ ของมันเริ่มจะเต้นถี่กระชั้นขึ้นมาแล้ว
ซูมู่ซวนไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของตน เพียงผงกศีรษะเหมือนจำใจยอม “ย่อมแน่นอน เจ้าแค่ต้องทำพิธีกรีดเลือดยอมรับนาย ศาสตราบรรพกาลก็จะเป็นของเจ้าทันที”
“สายลมโชยผ่าน เถาวัลย์เก่าไม้ชรายังหอมหวน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าที่ยังหนุ่มยังแน่นเยี่ยงนี้จะไปทนได้อย่างไร”
ท่าทีของฉินจิ่วเกอเปลี่ยนไปทันที คนกลายเป็นอวดโอ่เทียมฟ้า
“หมายความว่ายังไง? ” ซูมู่ซวนไม่เข้าใจ ในความสิ้นหวังพบเจอแสงสว่าง นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะช่วยให้ตระกูลซูพลิกสถานการณ์กลับมาได้
“ให้ข้าช่วยเจ้า! ” ฉินจิ่วเกอยื่นมือพยุงซูมู่ซวนเป็นสัญญาณถึงความสัมพันธ์ฉันมิตร
“ขอบคุณ”
ซูมู่ซวนโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง บางทีตระกูลซูอาจรอดแล้วก็ได้
“คนหนุ่มย่อมต้องปล่อยวางบ้าง ชีวิตมนุษย์มีเรื่องราวมากหลาย เพียงโอบกอดความหวังไว้ ฟ้าดินยิ่งใหญ่ มีที่ใดไปไม่ได้ ที่ใดไม่อาจทำมาหากิน? ”
“ฉินต้าเกอช่างปราดเปรื่องยิ่ง”
ซูมู่ซวนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะล้ำลึกถึงเพียงนี้ ภายนอกแม้จะดูขาดๆ เกินๆ แต่คำพูดทุกคำกลับเหมือนมุกอันล้ำค่า
“อัคคีทั้งมวล มิใช่เผาผลาญตนเองเพื่อจุดไฟแก่ผู้อื่นหรอกหรือ ดวงดาวทั้งหลายล้วนส่องนำทางกลางความมืดมิด มิใช่ยามฟ้าส่องสว่างแจ้ง”
ฉินจิ่วเกอตบบ่าซูมู่ซวนสองสามที จากนั้นหันหลังให้สายลมอันคมกริบดั่งใบมีด ย่ำเดินจากไปท่ามกลางฝุ่นควันตลบฟุ้ง
เพียงพริบตากองไฟก็มอดดับ ส่งควันดำลอยฉุย ดินแดนรกร้างแห่งนี้เหลือแต่สะเก็ดไฟที่ค่อยๆ มอดดับไปท่ามกลางความมืด
ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว จากมุมเมฆเริ่มปรากฏลำแสงแย้มพรายออกมา
“มันใช่เป็นยอดคนหรือไม่? ” ซูมู่ซวนรู้สึกว่ามองฉินจิ่วเกอไม่ขาด ตรงข้ามกลับเป็นตนเองที่ถูกมองขาดมากกว่า
“จะว่าไปแล้ว จำไว้ด้วยว่าเจ้ายังติดเงินข้าอยู่ พอไปถึงตระกูลซูแล้วอย่าทำเป็นลืมเสียล่ะ ไม่งั้นข้าจะย้ายไปอยู่ข้างตระกูลหยวนแล้วมาจัดการกับเจ้า” ในความมืดยังไม่วายมีเสียงแว่วกระซิบมา อันธพาลจริงๆ ซูมู่ซวนแทบตะกายขึ้นจากพื้นไม่ได้
“สวรรค์เอย ช่วยเอาเจ้าปีศาจร้ายนี่ไปที! ”
ซูมู่ซวนคุกเข่าอยู่กับพื้น สองมือชูขึ้นฟ้าคล้ายกำลังแบกสวรรค์เอาไว้ พร้อมแหกปากคร่ำครวญไปด้วย
ในเมื่อเลี่ยงไม่พ้นถูกค่ายประหารเทพล้างแค้น ฉินจิ่วเกอจึงเร่งให้ทุกคนออกเดินทาง
เนื่องเพราะต้องการเข้าร่วมนัดประลองระหว่างตระกูลหยวนและตระกูลซู ฉินจิ่วเกอมองเมืองล่วนโต้วด้วยความหวัง ดังนั้นมันส่งมอบสินค้าของตนเองแก่หวังซาน คนรับเอาสัญญาหนี้มาพร้อมใบหน้ายิ้มย่องภายใต้รอยยิ้มขื่นขมของหวังซาน
ไม่ง่ายเลยจริงๆ กว่าจะได้เงินห้าหมื่นมาสักก้อน ทำเอามันผอมลงไปหลายขีด
ฉินจิ่วเกอขณะกำลังสงสารตัวเองก็หันไปถามซูมู่ซวนที่กำลังสลดหดหู่ว่า “พี่ซู ตระกูลพวกเจ้ามีศิษย์สตรีสวยๆ บ้างหรือไม่ เช่นว่าใครที่สามารถช่วยตระกูลซูของพวกเจ้าได้ก็จะได้นางไปครอบครอง”
อาวุโสตระกูลซูทางด้านข้างพอได้ฟังเป็นต้องร่ำร้องในใจ เจ้าต้องการเงินต้องการทั้งสมบัติ มายามนี้ยังต้องการสตรีที่ยังไม่ออกเรือนอีก?
“ไม่มี”
อาวุโสดับฝันฉินจิ่วเกออย่างไม่เกรงใจทันที ตระกูลซูศิษย์ชายมีมาก ศิษย์หญิงมีน้อย คนนอกแซ่ฉินยิ่งไม่มีหนทาง ตัดใจซะเถอะ
“ไม่มีจริงๆ รึ? ”
ฉินจิ่วเกอทอดถอนใจ หากเป็นพระเอกล่ะก็ จะต้องมีโอกาสได้เจอสาวงาม ได้นางในฝันมาปรนนิบัติเอาใจแน่นอน
แล้วตัวมันเล่า?
เพื่อขวนขวายถึงท้องนภาในอุดมคติที่เหนือยิ่งขึ้นไปจำต้องตัดขาดจากสตรีในฝัน นี่ไม่ต่างจากลมใบไม้ผลิอันน่าชังพัดพาน้ำใจรักจืดจางหายในคำกลอนเลื่องชื่อแม้แต่น้อย
“ไม่มีจริงๆ ” สีหน้าซูมู่ซวนยิ่งย่ำแย่ไปกว่าเดิม อีกฝ่ายใจดำดั่งน้ำหมึกจริงๆ มันน่าเอาขี้วัวยัดใส่ปากให้หายใจไม่ออกตายนักเชียว
“เจ้าลองคิดดูอีกที”
ฉินจิ่วเกอไม่ถอดใจ ตนยังหนุ่มยังแน่น ความต้องการเปี่ยมล้น “เจ้าแน่ใจนะว่าปีนั้นที่บิดาเจ้าไปพเนจรโลกกว้างไม่ได้ไปมีอนุน้อยที่ไหน? ไม่แน่ว่าหลังจากเจ้าไป บิดาเจ้าอาจจะแต่งตั้งอนุน้อยคนนั้นให้เข้าบ้านใหญ่ ให้น้องสาวที่พลัดพรากกันไปหลายปีคนนั้นมากราบไหว้บรรพบุรุษ”
“คุณชายฉินที่เคารพ ไม่มีจริงๆ นะท่าน”
สองอาวุโสสะกดกลั้นเลือดลมที่ตีตื้นขึ้นมา รีบถ่ายทอดคำสั่งกลับไปยังตระกูล ให้ซ่อนตัวสตรีที่ยังไม่ออกเรือนเอาไว้อย่างมิดชิด ไม่ให้ถูกเจ้าปีศาจร้ายนั่นพบเห็นเด็ดขาด
เมืองอันโดดเดี่ยวกลางทุ่งร้าง แม่น้ำหมื่นลี้ไหลบรรจบ
เมืองล่วนโต้วปรากฏอยู่เหนือทะเลทราย สิ่งปลูกสร้างจากเหนือจรดใต้ยาวจนสุดกรอบสายตา แนวกำแพงแผ่ขยายออกจากตะวันออกไปตะวันตกจนไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุด
สิ่งก่อสร้างและตัวตึกบางแห่งสูงชะลูดเหนือกำแพงเมืองนับร้อยเมตร นั่นคือขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ที่ภายในเมืองไม่อาจตอแยได้
เทียบความโอ่อ่าภูมิฐานกับเมืองซวนอู่แล้ว แทบเรียกได้ว่าเป็นเพียงกองปราสาทมอซอ ไหนเลยจะสามารถเรียกเป็นตัวเมืองอันใดได้
เมืองที่แท้จริง ย่อมต้องเป็นตัวเมืองเฉกเช่นเดียวกับเมืองล่วนโต้วนี้ ตึกรามบ้านช่องสูงตระหง่านค้ำฟ้า ถนนหนทางทอดยาวขวางจากเหนือจรดใต้ ภายในจุประชากรนับล้าน
ตัวเมืองโบราณอันโอฬารเลิศหรู กำแพงเมืองอันแข็งแกร่งซุกซ่อนค่ายกลระดับสูงที่นักจัดวางค่ายกลลงอักขระไว้ ขอบเขตกลั่นดวงธาตุทั่วไปล้วนไม่อาจทำลายได้
จวบกระทั่งเข้าสู่ตัวเมืองล่วนโต้วแล้ว ซูมู่ซวนและอาวุโสทั้งสองจึงคลายความวิตกกังวล กลับคืนสู่ความนิ่งสงบใจ พวกมันยามนี้นับว่าปลอดภัยแล้ว
ตัวตึกในเมืองสูงส่งใหญ่โต ถนนหนทางเป็นระเบียบเรียบร้อย ปรากฏพิสุทธิ์ไพศาลท่องเที่ยวไปมา เสียงร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายดังเซ็งแซ่
“คุณชายฉิน เชิญทางนี้” สองอาวุโสผายมือ นำทางฉินจิ่วเกอไปยังฐานที่มั่นของพวกมัน
ภายในตระกูลซู ทุกที่ทางอัดแน่นด้วยบรรยากาศทะมึนหม่นหมอง แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากนักปรุงยาระดับสี่ ทว่าปรมาจารย์ท่านนั้นเชี่ยวชาญการปรุงกลั่นโอสถ กลับมิอาจลำเอียงเข้าข้างมอบความช่วยเหลือจนเกินขอบเขตได้
ภายในตระกูลหยวน ผู้นำตระกูลหยวนรับฟังข่าวการลงมือสังหารซูมู่ซวนอันล้มเหลวของค่ายประหารเทพ คนระเบิดเพลิงโทสะออกจนท่วมท้น
หากฆ่าซูมู่ซวนได้ เท่ากับตัดขวัญกำลังใจของตระกูลซูทิ้ง ส่วนถ้านักปรุงยาขั้นสี่นั่นคิดกระทำการยุ่งเกี่ยวอันใดต่อ กับตระกูลซูที่จบสิ้นแล้ว จะมีปัญญาช่วยได้ถึงระดับใด
“ไฉนล้มเหลวได้?” ผู้นำตระกูลหยวนตวาดว่า นายโจรหลิวที่ด้านล่างอดสูยิ่ง ผู้ใดเรียกมันสมาคมไม่ดูตาม้าตาเรือ กลับไปเจอคนบัดซบในหมู่คนบัดซบ
“พ่อ จะเป็นไรไป พลังฝีมือข้าอยู่ขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางแล้ว ให้จัดการพวกตระกูลซูไม่กี่คนพวกนั้น ง่ายดายดั่งปอกกล้วย”
หยวนหลงยื่นมือออก พลังอำนาจที่สำแดงกระทั่งนายโจรหลิวผู้อาวุโสเช่นนั้นยังต้องเปลี่ยนสีหน้า สวรรค์ส่งเสริมตระกูลหยวน ประทานหยวนหลงผู้มีพรสวรรค์มาให้ บุรุษหนุ่มผู้นี้มีคุณสมบัติทะลวงด่านกลั่นดวงธาตุได้ไม่ยากเย็น เป็นวาสนาของตระกูล
“ข้ารู้ดี เพียงแต่กังวลว่าพวกมันจะเล่นลวดลาย หากนักปรุงยานั่นคิดเสนอหน้า พวกเราตระกูลหยวนก็ไม่อาจไม่ไว้หน้ามัน”
ผู้นำตระกูลหยวนมองดูบุตรสุดสวาทของมัน ต้องผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ ในใจแม้มั่นอกมั่นใจว่าสามารถกุมชัยชนะ ทว่ากลับมีความรู้สึกไม่สุขสงบบางประการตลอดเวลา
“ข้าให้พวกเจ้าไปเฝ้าดูตระกูลซู พวกมันมีความเคลื่อนไหวใดบ้าง”
“ซูมู่ววนกลับถึงคฤหาสน์ ยังพาชาวบ้านมาด้วยคนหนึ่ง อายุราวยี่สิบปี พลังขอบเขตปราณสุริยันขั้นปลาย”
ฉินจิ่วเกอพลังฝีมือไม่สูงส่ง ผู้ที่เฝ้าจับตาดูตระกูลซูอยู่คือระดับอาวุโสตระกูลหยวน ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมสามารถมองออกถึงระดับพลังฝึกปรือของฉินจิ่วเกออย่างง่ายดาย
“น่าขันแทบตายแล้ว” หยวนหลงกุมท้องหัวร่อก๊าก ท่วงท่าสูงส่งเหนือคน หมิ่นหยามทั่วใต้หล้า “ตระกูลซูรุ่นหลังช่างยากไร้จริงๆ สมควรชื่อย่อยยับตระกูลอับปางแล้ว”
“แล้วกันไปเถอะ ก็แค่เด็กน้อยที่ยังไม่บรรลุแม้แต่พิสุทธิ์ไพศาล ปล่อยมันไป บรรพชนผู้เฒ่ายามนี้กำลังทะลวงดวงธาตุที่สอง หากรอจนมันสำเร็จ ย่อมไม่ต้องหวาดเกรงต่อนักปรุงยาระดับสี่แล้ว”
ผู้นำตระกูลหยวนโบกมือ ให้นายโจรหลิวถอยออกไป ตนเองหลบไปสงบจิตที่ด้านข้าง
เมื่อกล่าวถึงตระกูลซู อาวุโสทั้งสองรวดเร็วกว่าฉินจิ่วเกอก้าวหนึ่ง ล่วงหน้ามาบอกกล่าวเรื่องราวทั้งหมดแก่ผู้นำตระกูลซูแล้วเรียบร้อย
เมื่อเข้ามาถึงห้องโถง สภาพของผู้นำตระกูลซูกำลังกุมหน้าอก สีหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความปวดร้าวใจสลายยากทานทน ชัดเจนว่าไม่ใช่สีหน้าของคนที่ยินดีที่บุตรชายรอดตายมาได้สักเท่าใด
สองหมื่นศิลาวิญญาณ อา เจ้าลูกทรพีบอกให้ก็ให้ ยังถวายสินค้าไปอีกสามหมื่นศิลาวิญญาณ แทบผลาญทุนรอนทั้งหมดของตระกูลซูจนสิ้นซาก
ส่วนศาสตราบรรพกาลนั่น สามร้อยปีที่ผ่าน ตระกูลซูแม้นับว่าได้รับสืบทอดต่อมา ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถปลุกกระตุ้นออกมาใช้ นับเป็นของไร้ค่า
เมื่อเห็นบุตรของตนปรากฏกายขึ้นในห้องโถงใหญ่ อาวุโสทั้งหลายในห้องโถงต่างแค่นเสียงเฮอะฮะ ต่างคั่งแค้นแน่นอกเช่นเดียวกับผู้นำตระกูลซู สมควรตีทายาททรพีผู้นี้ให้ดับดิ้น!
“ท่านพ่อ~ ข้าคิดถึงท่าน~”
ซูมู่ซวนเห็นบิดาตนเอง น้ำตานองอาบสองแก้ม มันอยู่ภายนอกไม่กี่วัน รับทราบความขมขื่นทรมารทรกรรมจนเกินไป เพิ่งรับรู้ว่าบ้านนั้นอบอุ่นสุขสบายถึงเพียงไหน
“เหอะเหอะ” ในใจเยือกเย็นแผดผลาญด้วยไฟโทสะ ผู้นำตระกูลซูหนึ่งเท้าตวัดวาดเตะบุตรชายของตนเองกระเด็นออกไปเจ็ดแปดเมตร
เสียงโอ๊ยดังคราหนึ่ง สายตาของซูมู่ซวนหกคะมำคว่ำคะเมน
เพียงพริบตา ตัวมันก็หมุนกลิ้งขลุกๆ มาจนหน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์ สภาพดูไม่ได้
เห็นผู้นำตระกูลผดุงธรรมเหนือความรู้สึกส่วนตัว อาวุโสทั้งหลายเบิกบานใจยิ่ง ตระกูลหยวนข่มเหงพวกมันอย่างสาหัสเกินไป เมื่อเสาะหาที่ระบายอารมณ์ได้ ย่อมสาแก่ใจยิ่ง
เสียงสรรเสริญท่านผู้นำตระกูลปรีชาสามารถและคำเยินยอสารพัดสารพันในทำนองเดียวกันพลันดังข้างหูผู้นำตระกูลซูไม่หยุด อาวุโสทั้งหลายสภาพจิตใจประเสริฐเลิศยิ่ง เริ่มถกถีงข้าวเที่ยงจะกินอะไรกันเลยทีเดียว
คนนอกหนึ่งเดียวคือฉินจิ่วเกอ ยืนตรงปากทางเข้าห้องโถงอย่างกระอักกระอ่วน เห็นภายในห้องโถงบรรยากาศเย็นเยือกพิกล ตระกูลซูนี่ท่าทางอาถรรพ์จริงๆ
มันหันกายกลับมา เห็นซูมู่ซวนยังค้างอยู่บนกำแพง หอบหายใจแต่แทบไม่ปล่อยออก
ไม่ดีแล้ว อีกฝ่ายคิดฆ่าคนปิดปาก!
ฉินจิ่วเกอสังหรณ์ร้าย หากซูมู่ซวนดันสิ้นชื่อขึ้นมา สัญญาหนี้สินของมันย่อมต้องพิการแล้ว ผู้นำตระกูลซูสามารถยกอ้างเหตุผลมาบอกปัด แถมยังจะขู่กรรโชกค่าทำศพจากมันอีก
ช่างชั่วร้ายนัก พยัคฆ์ดุร้ายยังไม่กินลูกในไส้ ผู้นำตระกูลซูกระทั่งบุตรหลานตนเองยังไม่ไว้หน้า!
ฉินจิ่วเกอยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงยิ่ง!
นอกจากนี้เบื้องสูงเบื้องต่ำในตระกูลซู เห็นนายน้อยถูกเตะกระเด็นแปะติดกำแพงเป็นแผ่นอักษรมงคลปีใหม่ คนกลับปรบไม้ปรบมือโห่ร้องสรรเสริญ ช่างมองไม่ออกจริงๆ
“พี่ซู ท่านไม่อาจตายเด็ดขาด!” หากซูมู่ซวนตกตาย หนึ่งหมื่นสองพันศิลาวิญญาณที่ติดค้างล้วนต้องจรลี ฉินจิ่วเกอไหนเลยจะตัดใจได้
มันรีบวิ่งเข้าไปด้วยสีหน้าแตกตื่นวิตกเต็มสิบ สองมือยกขึ้นคารวะกราบกรานต่อดวงจันทร์บนฟ้า “พี่ซู ข้าแรกพบท่านก็ถูกชะตา ผ่านด่านความเป็นความตายมาด้วยกัน กำเนิดเป็นน้ำใจอันลึกซึ้ง วันนี้คนลาลับ ดับขันธ์ก่อนวันอันควร ท่านจะให้ข้าทำอย่างไร”
ฉินจิ่วเกอร่ำไห้ราวใจสลาย อาวุโสทั้งหลายในห้องโถงก็พาลร่ำไห้ไปพร้อมกับมันขึ้นมา ตระกูลซูจู่ๆ ทั่วทั้งคฤหาสน์ก็พลันกลายเป็นฉากโศกนาฏกรรมขึ้นมา
.
.
.